ก่อนอื่นขอเริ่มต้นจากคำถามที่คนฮิตถามกันมามาก ว่า ทำยังไงถึงจะฟังฝรั่งรู้เรื่อง ทำไมเค้าพูดเร็วจัง ต้องฝึกยังไงเหรอคะ
คำตอบส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นบอกว่า
ฟังเยอะๆ ฝึกเยอะๆ เริ่มจากการ์ตูนบ้าง ซีรี่ย์บ้าง
ฟังไปเรื่อยๆ เปิดsubtitle เอา
หาเพื่อนฝึก หาเพื่อนฝรั่ง
ทุกคำตอบไม่มีผิดเลยค่ะ ทุกอย่างดีหมด แต่....มันต้องใช้เวลาเท่าไหร่ มันต้องฟังไปกี่ปี กี่ชาติ กันรึ แล้วมันไม่มีวิธีการอะไรเลยที่จะทำให้เร็วขึ้นรึไง
ยกตัวอย่างง่ายๆ กันก่อน ตอนที่เราได้ยินเพื่อนฝรั่ง หรือซีรี่ย์ หรือ การ์ตูน ทั้งหลาย
สมมติว่าเราได้ยินว่า คัมดะไมพ้าทิ
คนที่ฟังบ่อยๆ อาจจะพอเดาได้ว่า มันมาจาก come to my party
ลองนึกถึงคนที่ไม่เคยฟังมาก่อน เฮ้ยยย อะไรอ่ะ คัมดะไม ไรอ่ะ ไมอ่ะ จริงดิ
แล้วยังไงอ่ะ มันจะมีแบบนี้อีกมั้ยหว่า
ลองคำต่อมา เว๊าะดิจุดูเทอะเด้
คือไร what did you do today? ใช่เหรอ
ปกติเราเรียนมาแบบนี้ นะ วอทดิดยูดูทูเดย์
(คำที่ออกเสียงภาษาไทย อาจจะไม่เป๊ะๆนะคะ เพราะมันหาทางให้ตรงกับภาษาไทยยากเหลือเกิน)
คือถ้าเป็น คำปกติ ออกเป็นคำๆ มันก็จะออกเสียง วอท ดิ๊ด ยู ประมาณนั้น ถูกต้องแล้ว
ซึ่งตอนเริ่มแรก อ่านเป็นคำๆให้ถูกก็เป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ เย้ยยยยยยยยย
นี่พอเอามารวมประโยค ยังต้องเปลี่ยนการออกเสียงอีก เย้ยยยยยยยยยย
เพราะฉะนั้น การที่เราจะฟังได้ เราก็ต้องเข้าใจการออกเสียงของเค้าก่อน จริงมั้ยเอ่ย.....
การจะฟังได้ดีจึงต้องฝึกไปพร้อมๆกับการพูดค่ะ (อันนี้หมายถึงการออกเสียงนะคะ ไม่นับทักษะการอ่าน เขียนที่จะช่วยในการเรียงประโยค)
ยกตัวอย่างนึงนะคะ
Silent T – กฏหนึ่งข้อของการออกเสียง T คือ ถ้า T ตามหลัง N จะไม่ออกเสียงค่ะ
Want – ถ้าเจอใครออกเสียง ว้อนท มี เสียง เทอะ สวยๆ สะกิดได้เลยนะคะ เพราะคำนี้ ตัว T ไม่ออกเสียงค่ะ ออกแค่ ว้อน
I don’t know – ไอด้อนโนว ไม่มีเสียง T นะคะ
Twenty – เทอะเว้นหนิ ไม่ใช่ ทะเว้นตี้ นะคะ
พอเราเข้าใจแบบนี้ ตอนเราไปฟังฝรั่งพูด เราก็จะฟังง่ายขึ้นมั้ยคะ
และเราก็จะเอาไปปรับใช้ได้กับทุกกรณีที่เป็นคำแบบนี้นะคะ ไม่ต้องรอใครมาบอกเป็นคำๆ ไป
ต่อไปถ้าเจอ international , printer, enter เราก็จะออกเสียงถูกแล้วชิมิคะ
ต่อ.......
ลองประโยค ง่ายๆ ที่เกิดการ ตัดเสียง เชื่อมเสียงกันนะคะ
I want to know ----- ไอว้อเนอะโนว เพราะ want ไม่ออกเสียง T ส่วน to พอรวมเป็นประโยค จะเกิดการตัดเสียง ออกแค่ เออะ (schwa sound) เบาๆ แต่พอไปเชื่อมต่อกับ เสียง N ท้ายคำว่า want จีงเชื่อมเสียง เป็น ว้อเนอะ
ตามเวปต่างๆ ปกติเวลาสอน ก็จะสอนเป็นคำๆ ภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ แล้วมันมีกี่ล้านคำหว่า
เมื่อไหร่จะเรียนจบทุกคำ ตายๆๆๆๆ แก่ตาย หาปั๋วฝรั่งไม่ทันแน่ๆ (ล้อเล่นนะคะ)
คำแนะนำจากใจเลยคือ.......
Step 1
การอ่านเป็นคำๆ ต้องเริ่มการออกเสียง แต่ละตัวอักษรแต่ละสระเป็นตัวๆให้ถูกต้องก่อน
การออกเสียงแต่ละตัวมันมีจุดกำเนิดเสียงของมัน ว่าอยู่ตรงไหนของช่องปาก
เสียงสั่น เสียงไม่สั่น เสียง กลม เสียงไม่กลม
การเอาตัวอักษรและสระมารวมกัน
มันจะมีกฏของมันอีก ว่า เสียงสั้น เสียงยาว สระผสม ถ้าเอาตัวนี้ไปรวมตัวนี้ จะเป็นอีกเสียงนึง
เอาให้รู้เรื่องก่อน เรียนรู้ IPA chart ไปเลยก็ได้ เราจะเรียนรู้ คำได้อีกมหาศาลจาก dictionary โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาสอนทีละคำ
เช่น For คำอ่านตาม dict คือ /fɔr/ อ่านว่า ฟอร มีเสียง R เรอะ เบาๆ (American English) แต่ออกเสียง แค่ ฟอ สำหรับ British English (R ตัวท้ายไม่ออกเสียง)
Step 2
เข้าใจ การ stress เสียง ในแต่ละคำ ซึ่งมันก็จะมีกฏให้เข้าใจอยู่ ด้วย เช่น
คำที่ลงท้ายด้วย
-al , -ate, -lly, …….. จะ stress ที่พยางค์ 3 นับจากท้าย เช่น co’nomical, ‘actually, ap’preciate
มีอีกหลายกฏเลย........
รวมไปถึงการ stress ในประโยคด้วยค่ะ
Step 3
ทำความเข้าใจภาษาพูดตอนที่มันมาต่อกันเป็นประโยค
ซึ่งมันจะเกิดจาก การตัดทอนเสียง เชื่อมเสียง หรือแม้แต่การเปลี่ยนเสียง เพิ่มตัวควบกล้ำที่มองไม่เห็นเข้าไป
ดูตัวอย่างข้างบนที่บอกไปแล้วก็ได้ จากประโยค I want to know
หรืออย่าง คำว่า for เมื่อกี้ที่ออกเสียง ฟอร แต่พอเป็นประโยค จะออกเสียงอีกแบบ
มันจะถูกตัดเสียงให้เป็น schwa sound คือ /fər/ หรือ เฟอะ เบาๆ สั้นๆ
I do it for you ---- ไอดูหวิดเฟอะยู
อะๆๆๆๆๆ ทำไม ใช้ ดูหวิด งงมั้ย.......
ยกตัวอย่าง อีกกฏนึง คือ การเชื่อม สระสองเสียง ในที่นี้คือ o กับ I ต้องเพิ่มเสียง w เข้าไป เพื่อให้มันระเริงรื่นหูนะจ๊ะ
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นแค่ตัวอย่างว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จะช่วยในการเพิ่มทักษะการพูดและฟังได้อย่างแน่นอน
คนที่สนใจ เรื่องพวกนี้ เดี๋ยวจะค่อยๆเรียบเรียงมาบอกกันทีละเรื่องนะคะ
พอดีต้องค่อยๆพิมพ์ แล้วพวกเรื่องการออกเสียงพวกนี้ พอต้องพิมพ์เอามันอาจจะไม่เป๊ะนะคะ
ใครที่ใจร้อน ลองsearch หัวข้อ พวก phonetics, pronunciation ดูก่อนว่า มีเรื่องพวกนี้รึเปล่า
คราวหน้าจะเริ่มจากการออกเสียงพยัญชนะ แต่ละตัวว่ามันมีจุดกำเนิดในแต่ละช่วงของปากและคออย่างไรนะคะ
ปล ไม่มี facebook ไม่มี youtube ให้ติดตามใดๆนะคะ ขอดูก่อนว่า ถ้าใช้เขียนเอาแล้วไม่เข้าใจในการออกเสียง อาจจะทำวีดีโอเสียงมาให้ลองฟังค่ะ
การเพิ่มทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
คำตอบส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นบอกว่า
ฟังเยอะๆ ฝึกเยอะๆ เริ่มจากการ์ตูนบ้าง ซีรี่ย์บ้าง
ฟังไปเรื่อยๆ เปิดsubtitle เอา
หาเพื่อนฝึก หาเพื่อนฝรั่ง
ทุกคำตอบไม่มีผิดเลยค่ะ ทุกอย่างดีหมด แต่....มันต้องใช้เวลาเท่าไหร่ มันต้องฟังไปกี่ปี กี่ชาติ กันรึ แล้วมันไม่มีวิธีการอะไรเลยที่จะทำให้เร็วขึ้นรึไง
ยกตัวอย่างง่ายๆ กันก่อน ตอนที่เราได้ยินเพื่อนฝรั่ง หรือซีรี่ย์ หรือ การ์ตูน ทั้งหลาย
สมมติว่าเราได้ยินว่า คัมดะไมพ้าทิ
คนที่ฟังบ่อยๆ อาจจะพอเดาได้ว่า มันมาจาก come to my party
ลองนึกถึงคนที่ไม่เคยฟังมาก่อน เฮ้ยยย อะไรอ่ะ คัมดะไม ไรอ่ะ ไมอ่ะ จริงดิ
แล้วยังไงอ่ะ มันจะมีแบบนี้อีกมั้ยหว่า
ลองคำต่อมา เว๊าะดิจุดูเทอะเด้
คือไร what did you do today? ใช่เหรอ
ปกติเราเรียนมาแบบนี้ นะ วอทดิดยูดูทูเดย์
(คำที่ออกเสียงภาษาไทย อาจจะไม่เป๊ะๆนะคะ เพราะมันหาทางให้ตรงกับภาษาไทยยากเหลือเกิน)
คือถ้าเป็น คำปกติ ออกเป็นคำๆ มันก็จะออกเสียง วอท ดิ๊ด ยู ประมาณนั้น ถูกต้องแล้ว
ซึ่งตอนเริ่มแรก อ่านเป็นคำๆให้ถูกก็เป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ เย้ยยยยยยยยย
นี่พอเอามารวมประโยค ยังต้องเปลี่ยนการออกเสียงอีก เย้ยยยยยยยยยย
เพราะฉะนั้น การที่เราจะฟังได้ เราก็ต้องเข้าใจการออกเสียงของเค้าก่อน จริงมั้ยเอ่ย.....
การจะฟังได้ดีจึงต้องฝึกไปพร้อมๆกับการพูดค่ะ (อันนี้หมายถึงการออกเสียงนะคะ ไม่นับทักษะการอ่าน เขียนที่จะช่วยในการเรียงประโยค)
ยกตัวอย่างนึงนะคะ
Silent T – กฏหนึ่งข้อของการออกเสียง T คือ ถ้า T ตามหลัง N จะไม่ออกเสียงค่ะ
Want – ถ้าเจอใครออกเสียง ว้อนท มี เสียง เทอะ สวยๆ สะกิดได้เลยนะคะ เพราะคำนี้ ตัว T ไม่ออกเสียงค่ะ ออกแค่ ว้อน
I don’t know – ไอด้อนโนว ไม่มีเสียง T นะคะ
Twenty – เทอะเว้นหนิ ไม่ใช่ ทะเว้นตี้ นะคะ
พอเราเข้าใจแบบนี้ ตอนเราไปฟังฝรั่งพูด เราก็จะฟังง่ายขึ้นมั้ยคะ
และเราก็จะเอาไปปรับใช้ได้กับทุกกรณีที่เป็นคำแบบนี้นะคะ ไม่ต้องรอใครมาบอกเป็นคำๆ ไป
ต่อไปถ้าเจอ international , printer, enter เราก็จะออกเสียงถูกแล้วชิมิคะ
ต่อ.......
ลองประโยค ง่ายๆ ที่เกิดการ ตัดเสียง เชื่อมเสียงกันนะคะ
I want to know ----- ไอว้อเนอะโนว เพราะ want ไม่ออกเสียง T ส่วน to พอรวมเป็นประโยค จะเกิดการตัดเสียง ออกแค่ เออะ (schwa sound) เบาๆ แต่พอไปเชื่อมต่อกับ เสียง N ท้ายคำว่า want จีงเชื่อมเสียง เป็น ว้อเนอะ
ตามเวปต่างๆ ปกติเวลาสอน ก็จะสอนเป็นคำๆ ภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ แล้วมันมีกี่ล้านคำหว่า
เมื่อไหร่จะเรียนจบทุกคำ ตายๆๆๆๆ แก่ตาย หาปั๋วฝรั่งไม่ทันแน่ๆ (ล้อเล่นนะคะ)
คำแนะนำจากใจเลยคือ.......
Step 1
การอ่านเป็นคำๆ ต้องเริ่มการออกเสียง แต่ละตัวอักษรแต่ละสระเป็นตัวๆให้ถูกต้องก่อน
การออกเสียงแต่ละตัวมันมีจุดกำเนิดเสียงของมัน ว่าอยู่ตรงไหนของช่องปาก
เสียงสั่น เสียงไม่สั่น เสียง กลม เสียงไม่กลม
การเอาตัวอักษรและสระมารวมกัน
มันจะมีกฏของมันอีก ว่า เสียงสั้น เสียงยาว สระผสม ถ้าเอาตัวนี้ไปรวมตัวนี้ จะเป็นอีกเสียงนึง
เอาให้รู้เรื่องก่อน เรียนรู้ IPA chart ไปเลยก็ได้ เราจะเรียนรู้ คำได้อีกมหาศาลจาก dictionary โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาสอนทีละคำ
เช่น For คำอ่านตาม dict คือ /fɔr/ อ่านว่า ฟอร มีเสียง R เรอะ เบาๆ (American English) แต่ออกเสียง แค่ ฟอ สำหรับ British English (R ตัวท้ายไม่ออกเสียง)
Step 2
เข้าใจ การ stress เสียง ในแต่ละคำ ซึ่งมันก็จะมีกฏให้เข้าใจอยู่ ด้วย เช่น
คำที่ลงท้ายด้วย
-al , -ate, -lly, …….. จะ stress ที่พยางค์ 3 นับจากท้าย เช่น co’nomical, ‘actually, ap’preciate
มีอีกหลายกฏเลย........
รวมไปถึงการ stress ในประโยคด้วยค่ะ
Step 3
ทำความเข้าใจภาษาพูดตอนที่มันมาต่อกันเป็นประโยค
ซึ่งมันจะเกิดจาก การตัดทอนเสียง เชื่อมเสียง หรือแม้แต่การเปลี่ยนเสียง เพิ่มตัวควบกล้ำที่มองไม่เห็นเข้าไป
ดูตัวอย่างข้างบนที่บอกไปแล้วก็ได้ จากประโยค I want to know
หรืออย่าง คำว่า for เมื่อกี้ที่ออกเสียง ฟอร แต่พอเป็นประโยค จะออกเสียงอีกแบบ
มันจะถูกตัดเสียงให้เป็น schwa sound คือ /fər/ หรือ เฟอะ เบาๆ สั้นๆ
I do it for you ---- ไอดูหวิดเฟอะยู
อะๆๆๆๆๆ ทำไม ใช้ ดูหวิด งงมั้ย.......
ยกตัวอย่าง อีกกฏนึง คือ การเชื่อม สระสองเสียง ในที่นี้คือ o กับ I ต้องเพิ่มเสียง w เข้าไป เพื่อให้มันระเริงรื่นหูนะจ๊ะ
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นแค่ตัวอย่างว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จะช่วยในการเพิ่มทักษะการพูดและฟังได้อย่างแน่นอน
คนที่สนใจ เรื่องพวกนี้ เดี๋ยวจะค่อยๆเรียบเรียงมาบอกกันทีละเรื่องนะคะ
พอดีต้องค่อยๆพิมพ์ แล้วพวกเรื่องการออกเสียงพวกนี้ พอต้องพิมพ์เอามันอาจจะไม่เป๊ะนะคะ
ใครที่ใจร้อน ลองsearch หัวข้อ พวก phonetics, pronunciation ดูก่อนว่า มีเรื่องพวกนี้รึเปล่า
คราวหน้าจะเริ่มจากการออกเสียงพยัญชนะ แต่ละตัวว่ามันมีจุดกำเนิดในแต่ละช่วงของปากและคออย่างไรนะคะ
ปล ไม่มี facebook ไม่มี youtube ให้ติดตามใดๆนะคะ ขอดูก่อนว่า ถ้าใช้เขียนเอาแล้วไม่เข้าใจในการออกเสียง อาจจะทำวีดีโอเสียงมาให้ลองฟังค่ะ