แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาจากวันแรกที่เริ่มออกกำลังกายมากว่าเดือน แต่จำนวนวันที่ลงมือปฏิบัติการจริงๆ คือครึ่งหนึ่งของระยะเวลาจริง สาเหตุสำคัญก็คือผมไม่ได้ลงมือทำมันทุกวัน หลายครั้งเหตุการณ์ในชีวิตกับสภาพความฟิตของร่างกาย ทำให้ใจที่ยังไม่มั่นคงผัดผ่อนที่จะลงมือทำ แต่เพราะวางเงื่อนไขไว้กับตัวเองว่าจะไม่ผัดผ่อนจนทำให้ร่างกายและจิตใจเฉื่อยชาไม่อยากลุกขึ้นมาออกกำลังกายเกิน 2 วัน ทำให้ยังคงรักษาจำนวนวันที่ออกกำลังกายไม่ให้น้อยไปกว่านี้ได้
15 วันผ่านมาแล้ว ระยะทางที่ทำได้ไม่ได้เพิ่มไปกว่าเดิมมากนัก ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะหลังจากที่หยุดออกกำลังกายไปวันหรือสองวัน วันถัดมาผมจะเริ่มต้นใหม่โดยกลับไปยังจุดเริ่มต้น คือเดิน 10 รอบเล็ก และ 1 รอบใหญ่ เพื่อทำให้ร่างกายรับรู้ว่า "ฉันกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วนะ เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม"
...ระยะทางที่ทำได้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือการรับรู้ว่ากำลังจะลงมือทำ และเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม...
ในทางเดินชีวิตแบบเดิม และการเริ่มออกเดินบนเส้นทางเดิม ในระยะทางที่เท่าเดิมหรือมากน้อยไปกว่าเดิมไม่มากนัก ผมพบว่า ปัญหาที่พบเจอในครั้งก่อนยังคงอยู่เหมือนเดิม และดูเหมือนจะเพิ่มเติมเรื่องใหม่ๆ เข้ามาทีละเล็กละน้อย...สารภาพตามตรง มีอยู่วันหนึ่งที่ผมไม่อยากลุกไปไหน รู้สึกว่าเรื่องราวในชีวิตที่ประเดประดังเข้ามาช่างหนักหน่วง จนไม่อยากแบกรับมันไว้...แต่โทรศัพท์ของเธอที่โทรมาปลุกผมในตอนเช้า ทำให้ผมได้คิด เสียงตามสายของเธอที่ผมได้ยิน ประโยคแรกก็คือ
"ตื่นหรือยัง ลุกได้แล้ว แล้วออกไปวิ่ง"
เธอไม่เพียงบอกให้ผมตื่น แต่บอกให้ผมลุกขึ้น แล้วออกไปวิ่ง
ถ้อยคำที่เธอเอ่ยบอกผมวันนั้น ทำให้ผมนึกถึงแม่ เพราะจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน แม่ก็เคยพูดประโยคคล้ายคลึงกันนี้กับผม
หลายปีก่อนในช่วงเวลาที่ผมประสบปัญหาชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง เช้าตรู่ของวันหนึ่ง แม่ผู้ซึ่งป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ของผมโทรมา ถามผมว่าทำอะไรอยู่ เมื่อแม่รู้ว่าผมยังขลุกอยู่บนที่นอนตอนหกโมงครึ่ง แม่บอกกับผมว่า
"ตื่นได้แล้ว สายแล้ว ลุกออกไปดูแลบ้าน แล้วก็เตรียมตัวไปทำงาน"
ผมถามแม่กลับไปว่า แม่กำลังทำอะไรอยู่ แม่เอ่ยตอบกลับมาว่า
"แม่กำลังหัดเดินอยู่" แม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งแม่จะเดินได้เหมือนเดิม (หรือมากกว่านั้นคือกลับมาขับรถยนต์ได้)
เรียนให้ทุกท่านทราบว่า ทุกวันนี้แม่ผมเดินได้แล้ว แม้จะเดินได้ไม่ค่อยดีนัก และมีโรครุมเร้ามากกว่าเดิมทั้งรูมาตอยน์ และกระดูกพรุน แต่แม่ก็ยังคงเดิน เดินอยู่ทุกวัน แม่ยังคงเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ระหว่างการเดินของแม่ แม่ล้มลงไปสองครั้ง ครั้งหนึ่งการล้มในครั้งนี้ทำให้กระดูกแขนของแม่หัก การล้มอีกครั้งหนึ่งทำให้แม่ปวดขาจนเดินไม่ได้ไปหลายวัน คนทางบ้านต้องช่วยกันอุ้มแม่ขึ้นรถไปหาหมอ โชคดีที่ผลเอกซเรย์บอกว่าแม่ไม่ได้กระดูกหักเป็นครั้งที่สอง
ความเจ็บปวดจากการล้มทั้งสองครั้ง ไม่ได้ทำให้แม่ล้มเลิกที่จะเดิน แม่ไม่เคยคิดที่จะหยุดเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง บรรดาโรคต่างๆ ที่มารุมเร้าอาจจะทำให้แม่รู้สึกท้อแท้ไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่คุยกับแม่ สิ่งที่ผมยังคงได้ยินจากแม่ ก็คือ "แม่อยากเดินได้เหมือนเดิม"
แม่ไม่เคยเลิกล้มความหวัง แม้จะรู้ว่าบางทีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุผล "เดินได้เหมือนเดิม" นั้นอาจจะมีเพียงน้อยนิด และในชีวิตแม่อาจจะล้มลงและได้รับความเจ็บปวดจากมันอีกหลายครั้ง
...ไม่ใช่ว่าแม่เก่งขึ้นหรอกครับ เพราะเวลาที่แม่เจ็บปวด ผมก็ยังเห็น

อแงเหมือนเดิม แต่สังเกตเห็นว่าแม่ทำใจยอมรับมันได้ดีขึ้น บ่นท้อแท้กับมันน้อยลง และทุกวันนี้แม้ร่างกายของแม่จะไม่สมบูรณ์เหมือนก่อน แต่แม่ก็ยังคงทำหน้าที่ของการเป็นแม่ที่ดีให้กับผมในหลายๆ เรื่อง
สารภาพกับคุณอีกครั้งประโยคแรกที่ผมได้ยินจากเธอในวันนั้น นอกจากจะทำให้ผมคิดถึงแม่แล้ว ยังทำให้ผมรู้สึกอายแม่ และอายคนรอบข้างอีกหลายๆ คน คำพูดของเธอมีน้ำหนัก และมีเหตุผลที่ไม่อาจถกเถียงได้
"นี่ไม่ใช่เวลาจะมานอน ลุกขึ้นได้แล้ว ลุกแล้วก็ไม่ควรซึมกะทือ ฉันไม่ได้บอกให้เธอลุกขึ้นมาแล้วเดินเอื่อยเฉื่อย แต่ฉันขอให้เธอลุกขึ้นมาวิ่ง"
ในชีวิตจริง ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา มันไม่อาจแก้ไขคลี่คลายได้อย่างง่ายได้ภายในสิบห้านาทีเหมือนเราดูละครตอนจบ ความเจ็บปวดก็ยังคงเป็นความเจ็บปวด มันไม่ได้หายไปเวลาเราเผชิญกับเรื่องราวร้ายๆ
สิ่งที่แม่ทำไม่ได้สอนให้ผมรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดจะลดน้อยลง มันอาจจะมีเท่าเดิมหรือมีมากกว่าเดิม สิ่งสำคัญก็คือ เราจะก้าวผ่านความเจ็บปวด และกล้าที่จะก้าวออกไปข้างหน้าได้หรือเปล่า หรือจะมัวหยุดอยู่กับที่พร้อมกับความรู้สึกสงสารตัวเองและเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น
วันนั้นผมลุกขึ้นมาออกกำลัง เคลื่อนไหวในระยะทางไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มเติมออพชั่น จากเดิน 10 รอบ มาเป็นเดิน 7 รอบ แล้ววิ่ง 3 รอบ ระหว่างที่เคลื่อนไหวได้กึ่งกลางทาง ผมสังเกตเห็นว่าร่างกายและจิตใจ ยอมรับความทรมานได้ดีกว่าเดิม
...สำหรับผมตอนนี้ ระยะทางที่ทำได้ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ร่างกายและจิตใจที่มุ่งมั่นจะเคลื่อนไหวต่างหาก คือสิ่งที่ผมจะต้องฝึกและทำให้มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง...
ท่ามกลางมรสุมและความเจ็บปวด
15 วันผ่านมาแล้ว ระยะทางที่ทำได้ไม่ได้เพิ่มไปกว่าเดิมมากนัก ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะหลังจากที่หยุดออกกำลังกายไปวันหรือสองวัน วันถัดมาผมจะเริ่มต้นใหม่โดยกลับไปยังจุดเริ่มต้น คือเดิน 10 รอบเล็ก และ 1 รอบใหญ่ เพื่อทำให้ร่างกายรับรู้ว่า "ฉันกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วนะ เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม"
...ระยะทางที่ทำได้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือการรับรู้ว่ากำลังจะลงมือทำ และเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม...
ในทางเดินชีวิตแบบเดิม และการเริ่มออกเดินบนเส้นทางเดิม ในระยะทางที่เท่าเดิมหรือมากน้อยไปกว่าเดิมไม่มากนัก ผมพบว่า ปัญหาที่พบเจอในครั้งก่อนยังคงอยู่เหมือนเดิม และดูเหมือนจะเพิ่มเติมเรื่องใหม่ๆ เข้ามาทีละเล็กละน้อย...สารภาพตามตรง มีอยู่วันหนึ่งที่ผมไม่อยากลุกไปไหน รู้สึกว่าเรื่องราวในชีวิตที่ประเดประดังเข้ามาช่างหนักหน่วง จนไม่อยากแบกรับมันไว้...แต่โทรศัพท์ของเธอที่โทรมาปลุกผมในตอนเช้า ทำให้ผมได้คิด เสียงตามสายของเธอที่ผมได้ยิน ประโยคแรกก็คือ
"ตื่นหรือยัง ลุกได้แล้ว แล้วออกไปวิ่ง"
เธอไม่เพียงบอกให้ผมตื่น แต่บอกให้ผมลุกขึ้น แล้วออกไปวิ่ง
ถ้อยคำที่เธอเอ่ยบอกผมวันนั้น ทำให้ผมนึกถึงแม่ เพราะจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน แม่ก็เคยพูดประโยคคล้ายคลึงกันนี้กับผม
หลายปีก่อนในช่วงเวลาที่ผมประสบปัญหาชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง เช้าตรู่ของวันหนึ่ง แม่ผู้ซึ่งป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ของผมโทรมา ถามผมว่าทำอะไรอยู่ เมื่อแม่รู้ว่าผมยังขลุกอยู่บนที่นอนตอนหกโมงครึ่ง แม่บอกกับผมว่า
"ตื่นได้แล้ว สายแล้ว ลุกออกไปดูแลบ้าน แล้วก็เตรียมตัวไปทำงาน"
ผมถามแม่กลับไปว่า แม่กำลังทำอะไรอยู่ แม่เอ่ยตอบกลับมาว่า
"แม่กำลังหัดเดินอยู่" แม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งแม่จะเดินได้เหมือนเดิม (หรือมากกว่านั้นคือกลับมาขับรถยนต์ได้)
เรียนให้ทุกท่านทราบว่า ทุกวันนี้แม่ผมเดินได้แล้ว แม้จะเดินได้ไม่ค่อยดีนัก และมีโรครุมเร้ามากกว่าเดิมทั้งรูมาตอยน์ และกระดูกพรุน แต่แม่ก็ยังคงเดิน เดินอยู่ทุกวัน แม่ยังคงเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ระหว่างการเดินของแม่ แม่ล้มลงไปสองครั้ง ครั้งหนึ่งการล้มในครั้งนี้ทำให้กระดูกแขนของแม่หัก การล้มอีกครั้งหนึ่งทำให้แม่ปวดขาจนเดินไม่ได้ไปหลายวัน คนทางบ้านต้องช่วยกันอุ้มแม่ขึ้นรถไปหาหมอ โชคดีที่ผลเอกซเรย์บอกว่าแม่ไม่ได้กระดูกหักเป็นครั้งที่สอง
ความเจ็บปวดจากการล้มทั้งสองครั้ง ไม่ได้ทำให้แม่ล้มเลิกที่จะเดิน แม่ไม่เคยคิดที่จะหยุดเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง บรรดาโรคต่างๆ ที่มารุมเร้าอาจจะทำให้แม่รู้สึกท้อแท้ไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่คุยกับแม่ สิ่งที่ผมยังคงได้ยินจากแม่ ก็คือ "แม่อยากเดินได้เหมือนเดิม"
แม่ไม่เคยเลิกล้มความหวัง แม้จะรู้ว่าบางทีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุผล "เดินได้เหมือนเดิม" นั้นอาจจะมีเพียงน้อยนิด และในชีวิตแม่อาจจะล้มลงและได้รับความเจ็บปวดจากมันอีกหลายครั้ง
...ไม่ใช่ว่าแม่เก่งขึ้นหรอกครับ เพราะเวลาที่แม่เจ็บปวด ผมก็ยังเห็น
สารภาพกับคุณอีกครั้งประโยคแรกที่ผมได้ยินจากเธอในวันนั้น นอกจากจะทำให้ผมคิดถึงแม่แล้ว ยังทำให้ผมรู้สึกอายแม่ และอายคนรอบข้างอีกหลายๆ คน คำพูดของเธอมีน้ำหนัก และมีเหตุผลที่ไม่อาจถกเถียงได้
"นี่ไม่ใช่เวลาจะมานอน ลุกขึ้นได้แล้ว ลุกแล้วก็ไม่ควรซึมกะทือ ฉันไม่ได้บอกให้เธอลุกขึ้นมาแล้วเดินเอื่อยเฉื่อย แต่ฉันขอให้เธอลุกขึ้นมาวิ่ง"
ในชีวิตจริง ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา มันไม่อาจแก้ไขคลี่คลายได้อย่างง่ายได้ภายในสิบห้านาทีเหมือนเราดูละครตอนจบ ความเจ็บปวดก็ยังคงเป็นความเจ็บปวด มันไม่ได้หายไปเวลาเราเผชิญกับเรื่องราวร้ายๆ
สิ่งที่แม่ทำไม่ได้สอนให้ผมรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดจะลดน้อยลง มันอาจจะมีเท่าเดิมหรือมีมากกว่าเดิม สิ่งสำคัญก็คือ เราจะก้าวผ่านความเจ็บปวด และกล้าที่จะก้าวออกไปข้างหน้าได้หรือเปล่า หรือจะมัวหยุดอยู่กับที่พร้อมกับความรู้สึกสงสารตัวเองและเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น
วันนั้นผมลุกขึ้นมาออกกำลัง เคลื่อนไหวในระยะทางไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มเติมออพชั่น จากเดิน 10 รอบ มาเป็นเดิน 7 รอบ แล้ววิ่ง 3 รอบ ระหว่างที่เคลื่อนไหวได้กึ่งกลางทาง ผมสังเกตเห็นว่าร่างกายและจิตใจ ยอมรับความทรมานได้ดีกว่าเดิม
...สำหรับผมตอนนี้ ระยะทางที่ทำได้ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ร่างกายและจิตใจที่มุ่งมั่นจะเคลื่อนไหวต่างหาก คือสิ่งที่ผมจะต้องฝึกและทำให้มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง...