**** สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่รีวิวใน Pantip หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

****
หลายวันก่อนเช้งได้รับ e-mail จากโรงแรม The St. Regis ว่ามีโปรโมชั่นพิเศษที่ห้องอาหาร JoJo ยังไม่ทันได้อ่านรายละเอียดอะไรมาก แค่เห็นหน้าตาเชฟ มือก็คลิกไปที่ Reserve Now พร้อมบอกเฮียเชฟว่า เดี๋ยวเราไปกินอาหารอิตาเลี่ยนกันนะ
JoJo เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่ตั้งอยู่ในโรงแรม The St. Regis กรุงเทพฯ หาง่ายมากๆค่ะ โรงแรมจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ ลงรถไฟฟ้าปุ๊บก็เดินเข้าโรงแรมได้เลย แต่วันนี้ เช้ง กะ เฮียเชฟ ขับรถกันมาเอง มาถึงหน้าโรงแรมก็ขอใช้บริการ Valet Parking เลยไม่ต้องไปวนหาที่จอดรถเองให้เสียเวลา สะดวกมากๆเช่นกัน
เมื่อมาถึงหน้าห้องอาหาร จะมีพนักงานสาวสวยรอต้อนรับ และพาเราไปยังโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้ ซึ่งอยู่มุมด้านในสุดเลย
หลังจากได้ที่นั่งเรียบร้อย พนักงานก็จะนำ ผ้าเย็นและ Welcome Drink มาเสริ์ฟ พร้อมกับนำเมนูอาหารมาให้ ซึ่งเราสามารถเลือกสั่งได้ทั้งแบบ Set Menu และ แบบ A la carte แน่นอนว่า เราเลือกสั่งแบบ Set Menu เพราะช่วงนี้มีโปรโมชั่น สั่ง 1 Set แถม 1 Set
Welcome Drink ในวันนี้เป็น Mango Green tea Italian Soda รสชาติ เปรี้ยวๆหวานๆซ่าส์ๆ อร่อยและชื่นใจดีค่ะ
เมนูอาหาร แบบ Set menu จะมีให้เลือก 2 แบบ คือแบบ 2 คอร์ส หรือ 3 คอร์ส (เพิ่มของหวาน) .. ซึ่งเราเลือกแบบ 3 คอร์ส
ระหว่างรออาหาร ได้คุยกับพนักงานทำให้รู้ว่า อาหารมื้อกลางวันของที่นี่ จะมีการจัดแบบ Set menu (ก่อนหน้านี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน) และจะมีการเปลี่ยนเมนูใหม่ทุกๆเดือน แต่เฉพาะช่วงนี้ตั้งแต่วันที่ 18 - 29 เมษายนนี้ เท่านั้นที่จะมีโปรโมชั่น สั่ง 1 set ฟรี 1 set ผู้ดูแลอาหารของที่นี่ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคุณเชฟสุดหล่อ Stefano Merlo นั่นเอง ซึ่งวันนี้เชฟก็จะเป็นคนลงมือทำอาหารให้พวกเราด้วย ว้าวๆ
หลังจากคุยกับพนักงานพอหอมปากหอมคอ เราก็นั่งถ่ายรูปไปพลาง จิบไวน์ไปพลาง ไม่นาน อาหารจานแรกก็มาเสิร์ฟ เป็น Complimentary Dish จากทางร้านค่ะ ดูอลังการมากๆ ^^
ในจานนี้ก็จะประกอบไปด้วย :
• Seafood Salad - ซีฟู้ดส์สดดีค่ะ ปลาหมึกเนื้อกรอบมาก
• Chicken Liver Pate - อันนี้ข้าวเกรียบเหนียวมากแต่รสชาติตับบดอร่อยดีค่ะ
• Egg Mousse Carbonara Crispy Prosciutto - เนื้อมูสเนียนดี รสชาติกลมกล่อม เค็มๆมันๆ
• Bruschetta Tomato Ricotta Cheese - ขนมปังกรอบดี หน้ามะเขือเทศก็อร่อยค่ะ
• Parmesan Cloud - ด้านล่างจะเป็นไข่ขาวที่นำไปตีจนฟู และนำไปอบค่ะ ส่วนด้านบนจะเป็นพาเมซานชีส รสชาติดีค่ะ แต่ตัวไข่ขาวมันเหนียวๆแข็งๆไงไม่รู้
• Anchovy Brioche - อันนี้ไม่ได้ชิมค่ะ แอบชิมตัว Anchovy ด้านบนไปนิดเดียว นิดเดียวจริงๆแต่กลิ่นนี่แบบ ไม่ชอบเลย
• Risotto Arancini - ข้าวปั้นทอดอิตาเลียน ด้านในเป็นข้าว Risotto หอมๆ อร่อยใช้ได้ค่ะ
• ในส่วนของขนมปังก็จะมี Focaccia, Pizza dough และ Ciabatta - ขนมปังที่นี่เค้าทำเองค่ะ แป้งดีทีเดียว โดยเฉพาะ Ciabatta เหนียว นุ่ม จิ้มน้ำมันมะกอก ผสมกับ บัลซามิก โรยเกลือทะเล คืออร่อยมว๊ากกกก
กว่าจะได้ชื่อเมนูแต่ละชื่อ ต้องรบกวนถามน้องพนักงานอยู่หลายรอบเชียว
จบ Complimentary Dish แล้ว ก็มาต่อด้วย Set menu จานแรก ส้มเช้งเลือกเป็น Pumpkin Soup ส่วนของเฮียเชฟเลือกเป็น Herbs Smoked Fish Trio
ซุปฟักทอง เนื้อเนียนๆ รสชาติกลมกล่อม อร่อยค่ะ
จานของเฮียเชฟ จะเป็นปลา 3 ชนิด คือ Toothfish , Salmon Trout , Sea bass
ปลาสด หอมกลิ่นรมควันมว๊ากกกกกกก และทำมาได้สุกกำลังดีเลย
อันนี้เฮียเชฟแบ่งมาให้ จัดซะสวยเชียว 555
หลังจากชิมปลาทั้ง 3 ชนิด เช้งกะเฮียเชฟ ขอยกให้ ปลา Toothfish อร่อยมากที่สุด
มาต่อกันที่อาหารจานที่ 2 คราวนี้เฮียเชฟเลือกสั่ง Risotto, Sea Urchin ส่วนของเช้งเป็น Sword fish, Cherry Tomatoes, Black olives , Orange
จานนี้ไม่ค่อยโดนค่ะ คาดว่าปากเราทั้งคู่อาจจะไม่ถึง แต่รสชาติมันออกเปรี้ยวๆ เค็มๆ กลิ่นไข่หอยเม่นก็แรงแบบแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยสด สรุปว่า จานนี้ไม่โปรดทั้งคู่
ต่อกันที่ Sword fish จานนี้ไม่มีผิดหวัง เนื้อปลาสดค่ะ ทานคู่กับ มันบด กับ ซอสส้ม รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากั๊น เข้ากัน
หั่นให้ดูด้านในกันชัดๆ ปลาย่างมาดีมากจริงๆ อร่อยเลย
จบที่อาหารคาวแล้ว ก็มาเริ่มของหวานกันดีกว่า เราเลือกตามคำแนะนำของพนักงาน คือ Sabayon with Chocolate ice cream กับ Apple Strudel
จานนี้พนักงานจะมาราดซอส Sabayon ให้ที่โต๊ะค่ะ ไม่ได้ราดมาเลย ในจานก็จะมีพวกคุ้กกี้ ขนมปัง ชิ้นเล็กๆกับไอติมชอคโกแลตที่ทำขึ้นเอง
ราดซอส Sabayon แล้วพร้อมทานนน รสชาติหอม หวาน และขมนิดๆจากไอศรีมชอคโกแลต ก็อร่อยดีค่ะแต่เราคาดหวังว่ามันจะอร่อยกว่านี้
และแล้วก็มาถึงจานสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด Apple Strudel จานนี้คือดีงามมากกก แป้งพายกรอบๆ โรยอัลมอนด์ หอมๆ ไส้แอ๊ปเปิ้ลก็ไม่หวานเกินไป ทานกับไอศครีมรสวนิลา และ แผ่นแอ๊ปเปิ้ลบางกรอบ หืมมม อร่อย สรุปจานนี้ผ่านเลยค่ะ
ก่อนจะจบอาหารมื้อนี้ พนักงานก็ยก Complimentary Coffee มาให้อีก เป็น Moka Coffee หรือ กาแฟอิตาลี ที่เสิร์ฟมาใน หม้อชงกาแฟ Moka Pot ขอบอกว่ารสชาติเข้มมากถึงมากที่สุด ปิดท้ายมื้อนี้ไปแบบตาสว่างกันเลย
สรุป : ห้องอาหาร JoJo เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่มากี่ครั้ง ก็ประทับใจทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรสชาติอาหาร หรือ การบริการที่ดีมากๆ พนักงานทุกคนยิ้มแย้ม พร้อมให้บริการเต็มที่ และยังมีความรู้ในเรื่องของอาหารในร้านเป็นอย่างดี ไม่ว่าเราจะสอบถามอะไร พนักงานก็สามารถอธิบายได้หมด เรื่องของราคาอาหารถ้าไม่มีโปรโมชั่นก็ถือว่าค่อนข้างแพง แบบราคาของร้านอาหารในโรงแรม แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพ และ การบริการ นานๆทีมาครั้งก็จะถือเป็นการให้รางวัลกับชีวิตเหมือนกันนะ
*** ข้อมูลทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ใช่นักชิมอาหาร เป็นเพียงคนที่ชื่นชอบในการทานอาหาร และมีจุดประสงค์ที่จะเขียนรีวิวเพื่อแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวของอาหารที่ผู้เขียนได้ไปชิมมาเท่านั้น ***
[CR] >>ส้มเช้งกะเชฟอึ่งพาชิม<< อาหารอิตาเลี่ยนสุดหรู ในราคาหาร 2
หลายวันก่อนเช้งได้รับ e-mail จากโรงแรม The St. Regis ว่ามีโปรโมชั่นพิเศษที่ห้องอาหาร JoJo ยังไม่ทันได้อ่านรายละเอียดอะไรมาก แค่เห็นหน้าตาเชฟ มือก็คลิกไปที่ Reserve Now พร้อมบอกเฮียเชฟว่า เดี๋ยวเราไปกินอาหารอิตาเลี่ยนกันนะ
JoJo เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่ตั้งอยู่ในโรงแรม The St. Regis กรุงเทพฯ หาง่ายมากๆค่ะ โรงแรมจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ ลงรถไฟฟ้าปุ๊บก็เดินเข้าโรงแรมได้เลย แต่วันนี้ เช้ง กะ เฮียเชฟ ขับรถกันมาเอง มาถึงหน้าโรงแรมก็ขอใช้บริการ Valet Parking เลยไม่ต้องไปวนหาที่จอดรถเองให้เสียเวลา สะดวกมากๆเช่นกัน
เมื่อมาถึงหน้าห้องอาหาร จะมีพนักงานสาวสวยรอต้อนรับ และพาเราไปยังโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้ ซึ่งอยู่มุมด้านในสุดเลย
หลังจากได้ที่นั่งเรียบร้อย พนักงานก็จะนำ ผ้าเย็นและ Welcome Drink มาเสริ์ฟ พร้อมกับนำเมนูอาหารมาให้ ซึ่งเราสามารถเลือกสั่งได้ทั้งแบบ Set Menu และ แบบ A la carte แน่นอนว่า เราเลือกสั่งแบบ Set Menu เพราะช่วงนี้มีโปรโมชั่น สั่ง 1 Set แถม 1 Set
Welcome Drink ในวันนี้เป็น Mango Green tea Italian Soda รสชาติ เปรี้ยวๆหวานๆซ่าส์ๆ อร่อยและชื่นใจดีค่ะ
เมนูอาหาร แบบ Set menu จะมีให้เลือก 2 แบบ คือแบบ 2 คอร์ส หรือ 3 คอร์ส (เพิ่มของหวาน) .. ซึ่งเราเลือกแบบ 3 คอร์ส
ระหว่างรออาหาร ได้คุยกับพนักงานทำให้รู้ว่า อาหารมื้อกลางวันของที่นี่ จะมีการจัดแบบ Set menu (ก่อนหน้านี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน) และจะมีการเปลี่ยนเมนูใหม่ทุกๆเดือน แต่เฉพาะช่วงนี้ตั้งแต่วันที่ 18 - 29 เมษายนนี้ เท่านั้นที่จะมีโปรโมชั่น สั่ง 1 set ฟรี 1 set ผู้ดูแลอาหารของที่นี่ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคุณเชฟสุดหล่อ Stefano Merlo นั่นเอง ซึ่งวันนี้เชฟก็จะเป็นคนลงมือทำอาหารให้พวกเราด้วย ว้าวๆ
หลังจากคุยกับพนักงานพอหอมปากหอมคอ เราก็นั่งถ่ายรูปไปพลาง จิบไวน์ไปพลาง ไม่นาน อาหารจานแรกก็มาเสิร์ฟ เป็น Complimentary Dish จากทางร้านค่ะ ดูอลังการมากๆ ^^
ในจานนี้ก็จะประกอบไปด้วย :
• Seafood Salad - ซีฟู้ดส์สดดีค่ะ ปลาหมึกเนื้อกรอบมาก
• Chicken Liver Pate - อันนี้ข้าวเกรียบเหนียวมากแต่รสชาติตับบดอร่อยดีค่ะ
• Egg Mousse Carbonara Crispy Prosciutto - เนื้อมูสเนียนดี รสชาติกลมกล่อม เค็มๆมันๆ
• Bruschetta Tomato Ricotta Cheese - ขนมปังกรอบดี หน้ามะเขือเทศก็อร่อยค่ะ
• Parmesan Cloud - ด้านล่างจะเป็นไข่ขาวที่นำไปตีจนฟู และนำไปอบค่ะ ส่วนด้านบนจะเป็นพาเมซานชีส รสชาติดีค่ะ แต่ตัวไข่ขาวมันเหนียวๆแข็งๆไงไม่รู้
• Anchovy Brioche - อันนี้ไม่ได้ชิมค่ะ แอบชิมตัว Anchovy ด้านบนไปนิดเดียว นิดเดียวจริงๆแต่กลิ่นนี่แบบ ไม่ชอบเลย
• Risotto Arancini - ข้าวปั้นทอดอิตาเลียน ด้านในเป็นข้าว Risotto หอมๆ อร่อยใช้ได้ค่ะ
• ในส่วนของขนมปังก็จะมี Focaccia, Pizza dough และ Ciabatta - ขนมปังที่นี่เค้าทำเองค่ะ แป้งดีทีเดียว โดยเฉพาะ Ciabatta เหนียว นุ่ม จิ้มน้ำมันมะกอก ผสมกับ บัลซามิก โรยเกลือทะเล คืออร่อยมว๊ากกกก
กว่าจะได้ชื่อเมนูแต่ละชื่อ ต้องรบกวนถามน้องพนักงานอยู่หลายรอบเชียว
จบ Complimentary Dish แล้ว ก็มาต่อด้วย Set menu จานแรก ส้มเช้งเลือกเป็น Pumpkin Soup ส่วนของเฮียเชฟเลือกเป็น Herbs Smoked Fish Trio
ซุปฟักทอง เนื้อเนียนๆ รสชาติกลมกล่อม อร่อยค่ะ
จานของเฮียเชฟ จะเป็นปลา 3 ชนิด คือ Toothfish , Salmon Trout , Sea bass
ปลาสด หอมกลิ่นรมควันมว๊ากกกกกกก และทำมาได้สุกกำลังดีเลย
อันนี้เฮียเชฟแบ่งมาให้ จัดซะสวยเชียว 555
หลังจากชิมปลาทั้ง 3 ชนิด เช้งกะเฮียเชฟ ขอยกให้ ปลา Toothfish อร่อยมากที่สุด
มาต่อกันที่อาหารจานที่ 2 คราวนี้เฮียเชฟเลือกสั่ง Risotto, Sea Urchin ส่วนของเช้งเป็น Sword fish, Cherry Tomatoes, Black olives , Orange
จานนี้ไม่ค่อยโดนค่ะ คาดว่าปากเราทั้งคู่อาจจะไม่ถึง แต่รสชาติมันออกเปรี้ยวๆ เค็มๆ กลิ่นไข่หอยเม่นก็แรงแบบแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยสด สรุปว่า จานนี้ไม่โปรดทั้งคู่
ต่อกันที่ Sword fish จานนี้ไม่มีผิดหวัง เนื้อปลาสดค่ะ ทานคู่กับ มันบด กับ ซอสส้ม รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากั๊น เข้ากัน
หั่นให้ดูด้านในกันชัดๆ ปลาย่างมาดีมากจริงๆ อร่อยเลย
จบที่อาหารคาวแล้ว ก็มาเริ่มของหวานกันดีกว่า เราเลือกตามคำแนะนำของพนักงาน คือ Sabayon with Chocolate ice cream กับ Apple Strudel
จานนี้พนักงานจะมาราดซอส Sabayon ให้ที่โต๊ะค่ะ ไม่ได้ราดมาเลย ในจานก็จะมีพวกคุ้กกี้ ขนมปัง ชิ้นเล็กๆกับไอติมชอคโกแลตที่ทำขึ้นเอง
ราดซอส Sabayon แล้วพร้อมทานนน รสชาติหอม หวาน และขมนิดๆจากไอศรีมชอคโกแลต ก็อร่อยดีค่ะแต่เราคาดหวังว่ามันจะอร่อยกว่านี้
และแล้วก็มาถึงจานสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด Apple Strudel จานนี้คือดีงามมากกก แป้งพายกรอบๆ โรยอัลมอนด์ หอมๆ ไส้แอ๊ปเปิ้ลก็ไม่หวานเกินไป ทานกับไอศครีมรสวนิลา และ แผ่นแอ๊ปเปิ้ลบางกรอบ หืมมม อร่อย สรุปจานนี้ผ่านเลยค่ะ
ก่อนจะจบอาหารมื้อนี้ พนักงานก็ยก Complimentary Coffee มาให้อีก เป็น Moka Coffee หรือ กาแฟอิตาลี ที่เสิร์ฟมาใน หม้อชงกาแฟ Moka Pot ขอบอกว่ารสชาติเข้มมากถึงมากที่สุด ปิดท้ายมื้อนี้ไปแบบตาสว่างกันเลย
สรุป : ห้องอาหาร JoJo เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่มากี่ครั้ง ก็ประทับใจทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรสชาติอาหาร หรือ การบริการที่ดีมากๆ พนักงานทุกคนยิ้มแย้ม พร้อมให้บริการเต็มที่ และยังมีความรู้ในเรื่องของอาหารในร้านเป็นอย่างดี ไม่ว่าเราจะสอบถามอะไร พนักงานก็สามารถอธิบายได้หมด เรื่องของราคาอาหารถ้าไม่มีโปรโมชั่นก็ถือว่าค่อนข้างแพง แบบราคาของร้านอาหารในโรงแรม แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพ และ การบริการ นานๆทีมาครั้งก็จะถือเป็นการให้รางวัลกับชีวิตเหมือนกันนะ
*** ข้อมูลทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ใช่นักชิมอาหาร เป็นเพียงคนที่ชื่นชอบในการทานอาหาร และมีจุดประสงค์ที่จะเขียนรีวิวเพื่อแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวของอาหารที่ผู้เขียนได้ไปชิมมาเท่านั้น ***
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น