13. ปริศนาภาพวาด
ย้อนกลับไปเมื่อชั่วยามที่แล้ว ถูซิ่นจงเพิ่งคล้อยหลังจากร้านเครื่องเรือน ฟ่านไป่หนิงก็หันมาหาเถ้าแก่ทันควัน “ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ ฉะนั้นท่านต้องตอบแทนข้า”
“ช่วยชีวิต” เถ้าแก่แผดเสียงตอบ “เจ้ามาเปิดโปงข้าจนเกือบตายต่างหาก”
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว เพราะเขารู้ตัวเสียก่อนจึงอภัยได้ง่าย หากเขาเกิดทราบเรื่องทีหลังขึ้นมา...” นางชี้ไปยังกองเศษไม้ “ตรงนั้นคงกลายเป็นร่างท่านแทนแล้ว นี่มิใช่เพราะข้าหรอกรึ”
เถ้าแก่กลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ฟ่านไป่หนิงจึงเอ่ยสำทับ “ข้าแค่อยากทราบว่าท่านรู้จักร้านขายพัดที่อยู่ถัดไปสองช่วงถนนหรือไม่” นางย่อมหมายถึงร้านที่ชายเคราดำแวะเป็นที่แรก
“ระ...รู้จัก”
“แล้วทราบหรือไม่ว่ามีคุณหนูบ้านไหนเป็นลูกค้าร้านนั่นบ้าง”
“อ่า พวกคุณหนูก็แวะร้านนู้นเข้าร้านนี้แทบทั้งนั้น แต่ร้านพัดดังกล่าวเป็นของตระกูลทัง คุณหนูบ้านนั้นคงยากจะไปซื้อพัดร้านอื่น”
นัยน์ตาดรุณีน้อยเปล่งประกายวิบวับ ซักไซ้ไม่ขาดช่วง “คุณหนูที่ว่ามีกี่คน แต่งงานบ้างแล้วหรือไม่”
“มีคนเดียว เจ้าบ้านทังทะนุถนอมดั่งไข่ในหิน ล้วนว่าไม่มีชายใดคู่ควร นางจึงยังไร้คู่”
“ตระกูลทังนี่ร่ำรวยมากหรือ”
เถ้าแก่พยักหน้ารับ “ตระกูลทังเพิ่งย้ายมาเมืองนี้ไม่กี่สิบปี แต่คงมีทรัพย์สินติดตัวไม่น้อย เพียงเริ่มตั้งรกรากก็กว้านซื้อร้านค้าสำคัญ ๆ ได้หลายแห่ง นับเป็นเศรษฐีใหม่ของเมือง”
ฟ่านไป่หนิงกระดกริมฝีปากเป็นรอยแย้มอย่างพอใจ “คำถามสุดท้าย บ้านตระกูลทังตั้งอยู่แถวใดหรือ”
ครั้นได้คำตอบพวกเขาก็พากันออกจากร้านขายเครื่องเรือน แล้วสือหย่งหลุนจึงถามขึ้นด้วยอดรนทนไม่ได้ “ไป่หนิง เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าจอมยุทธถูจะไปที่บ้านตระกูลทัง”
ดรุณีน้อยยิ้มกริ่ม “พี่สังเกตหรือไม่ จอมยุทธถูดูเร่งรีบมากตอนอยู่หน้าบ้านตนเอง แสดงว่าคงมีธุระร้อน แต่ธุระนั้นกลับเป็นการมาเอาพัดของผู้หญิงไปได้ ช่างพิกลเหลือรับ”
“อะไรกัน พัดที่จอมยุทธถูถืออยู่เป็นพัดผู้หญิงหรือ”
“ใช่ เพราะพัดมีอยู่ทั้งหมดสามสิบซี่ ปกติพัดที่ผู้ชายใช้นั้นมีไม่เกินยี่สิบซี่หรอก”
สือหย่งหลุนเกาหัว “เรื่องพัดนี่พี่ใหญ่คงรู้จักดี ส่วนข้าไม่ค่อยทราบความนัก”
ดรุณีน้อยหาใส่ใจนึกถึงพี่ชายของสหายไม่ “ลองพิจารณากันดู เหตุใดชายผู้หนึ่งจึงซื้อพัดผู้หญิง เอาไปให้ภรรยาหรือ...ก็รู้อยู่ว่าไม่มี แล้วถ้าจะมอบแก่คนรักไฉนต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ แอบดูพัดด้วยเล่า นอกจากว่านั่นเป็นวิธีฝากข้อความบางอย่างไว้ให้เขา ทว่าแค่ฝากข่าวกลับทำยุ่งยากถึงเพียงนี้เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองฝ่ายมาพบกันโจ่งแจ้งมิได้ และข้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเป็นผู้หญิง”
“ก็ไม่แน่นัก เหตุใดจะเป็นผู้ชายไม่ได้เล่า”
“ผู้ชายฝากพัดผู้หญิงให้ชายอีกคน? เรื่องมันประหลาดเสียจนคนที่พยายามปกปิดการส่งข่าวไม่คิดทำแน่ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงฝากพัดไว้แล้วอ้างว่าจะมีคนมาเอาไปอีกทอดก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่นับว่านั่นเป็นร้านตระกูลตนเอง คุณหนูฝากของเพื่อส่งต่อให้เพื่อนหญิงด้วยกัน มีอันใดผิดปกติ”
สือหย่งหลุนกลับเผยกิริยาเคร่งขรึมทันทีที่ฟังจบ “เจ้ากำลังบอกว่าจอมยุทธถูกับคุณหนูตระกูลทังลักลอบพบกันอย่างนั้นรึ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้หาควรพูดพล่อย ๆ ไม่”
ดรุณีน้อยหลิ่วตาตอบ “เช่นนั้นคงต้องพิสูจน์ให้รู้แน่”
*****
สือหย่งหลุนยืนกระวนกระวายหน้าร้านขายพัดตระกูลทัง อดเหลือบมองสหายที่หลบอยู่ข้างร้านมิได้ ฟ่านไป่หนิงเห็นแล้วรีบโบกมือเร่งเขาเป็นการใหญ่ เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก เดินเข้าร้านอย่างจำใจ
“เถ้าแก่” สือหย่งหลุนเกริ่นเสียงอ้อมแอ้ม “ข้ามาขอรับพัดที่คุณหนูตระกูลทังฝากไว้”
เจ้าของร้านขมวดคิ้ว “มีคนมาเอาไปตั้งแต่ตอนสายแล้วนี่”
เด็กหนุ่มตาลุกวาวเมื่อพบว่าการคาดเดาของดรุณีน้อยเริ่มเข้าเค้า จึงรีบกล่าวเพิ่ม “คนที่ว่าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ มีหนวดเคราใช่หรือไม่”
“ใช่” ตอบไปแล้วเถ้าแก่ค่อยเอะใจถามขึ้น “พวกเจ้าทำไมมาแล้วมาอีกซ้ำซาก”
อีกฝ่ายได้ยินคำถามจึงเริ่มกระวนกระวาย กิริยาส่อพิรุธฉับพลัน “เอ้อ...คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าขอตัวก่อน”
“ประเดี๋ยว” เจ้าของร้านคว้าแขนเด็กหนุ่มไว้ด้วยท่าทางระแวง “ปกติชายผู้นั้นจะเป็นคนมาเอาพัดไปอยู่ตลอด นี่เจ้าแอบอ้างเพราะเหตุใดกัน”
สือหย่งหลุนใจหายวูบ ด้วยกำลังของเขาย่อมสะบัดการเกาะกุมและหนีไปโดยง่าย ติดที่ว่าไม่อยากทำร้ายอีกฝ่าย ทั้งไม่ต้องการให้ยุ่งยากโดยใช่เหตุ สมองคิดเร็วรี่ก่อนแจ้งว่า “คืออย่างนี้ พัดที่ได้ไปเมื่อเช้าแนบข่าวจากคุณหนูตระกูลทังว่าอาจมีพัดมาให้อีกในตอนบ่าย เผอิญพี่ชายซึ่งมาประจำติดธุระ คุณหนูข้าผู้เป็นเพื่อนคุณหนูทังจึงส่งข้ามารับแทน แต่ถ้าพัดยังไม่มาก็ไม่เป็นอันใด” สีหน้าเถ้าแก่ยังคลางแคลงใจ เด็กหนุ่มจึงสำทับต่อ “ก็คุณหนูท่านบอกว่ากำลังจะมีข่าวดี อาจส่งพัดให้เพื่อนได้อีกไม่นาน จึงอยากเร่งส่งให้ดูหลาย ๆ แบบ เห็นคุณหนูข้าบอกเช่นนี้”
เท่านั้นเองเจ้าของร้านก็ปล่อยมือ พึมพำเบา ๆ “คุณหนูซื่อเนี่ยนก็เหลือเกิน ตื่นเต้นจนต้องรีบเล่าให้เพื่อนฟังเชียว น่าจะรอพรักพร้อมกว่านี้...”
สือหย่งหลุนไม่คอยให้อีกฝ่ายบ่นจนจบ รีบหนีออกนอกร้านทันควัน ฟ่านไป่หนิงซึ่งแอบฟังอยู่วิ่งตามมาขนาบข้าง หัวเราะคิกคัก “นึกไม่ถึงว่าพี่ก็แต่งนิทานเก่งไม่เบา”
เด็กหนุ่มเบ้ปาก “หากเจ้าของร้านไม่เผลอยืนยันเรื่องจอมยุทธถู ข้าคงไปต่อไม่รอดหรอก” เมื่อเห็นว่าไกลจากร้านมากแล้ว สือหย่งหลุนจึงเปลี่ยนเป็นเดินช้า ๆ “แต่พอมั่นใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เหลือก็ไม่ยากเกินเดา พวกเขาคงใช้วิธีนี้ติดต่อกันมานาน แต่วันนี้หลังจากจอมยุทธถูดูข่าวในพัดถึงกับมีอาการร้อนรน เร่งรวบรวมเงินเป็นการใหญ่ ข้าขอพนันหมดหน้าตัก ในนั้นต้องระบุว่ามีผู้มาสู่ขอคุณหนูซื่อเนี่ยนเป็นแน่”
ฟ่านไป่หนิงพยักหน้าเห็นด้วย จำได้ว่าตอนพบกันครั้งแรก ไม้ที่ถูซิ่นจงแบกมาด้วยคือไม้กรุ่นวาสนานี่เอง ถ้าคิดขายไฉนไม่นำติดตัวเข้าตลาดแต่ต้น หากไม่คิดขายทำไมต้องเถียงเรื่องราคาจนวุ่นวายเพียงนั้น เขาย่อมรอจนราคาสูงขึ้นก่อนก็ได้ แสดงว่าถูซิ่นจงเกิดต้องการเงินภายหลังดูพัดซึ่งใช้แทนจดหมายนั่น ต่อให้เป็นสือหย่งหลุนก็ไม่ยากจะเดาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
*****
ซาละเปาหมดจาน น้ำชาขอดถ้วยแล้ว ฟ่านไป่หนิงค่อยลุกขึ้น จงใจเดินทอดน่องตรงสู่ประตูบ้านตระกูลทัง ถูซิ่นจงปราดมาขวางนางไว้ กระชากเสียงถาม “เจ้าจะไปไหน”
เมื่อจับจุดอ่อนเขาได้ ดรุณีน้อยจึงเลิกใช้ไม้อ่อนกล่อมอีกฝ่าย นางกอดอกแกล้งยื่นหน้าเข้าหา กล่าวว่า “ย่อมมาเป็นเพื่อนท่านสู่ขอคุณหนูซื่อเนี่ยน”
ถูซิ่นจงสะดุ้ง นึกแทบตายก็คิดไม่ออกว่านังเด็กตัวดีรู้เรื่องได้อย่างไร สือหย่งหลุนเห็นแล้วไม่สบายใจ ตรงเข้ามาปรามสหาย “ไป่หนิง อย่าก่อกวนธุระจอมยุทธถูมากไปกว่านี้เลย”
“ขอเพียงจอมยุทธถูรับปากสอนวิชาให้พี่ ข้ายินดีนั่งเบื้อใบ้ตลอดวันเลยเอ้า”
“เจ้า...เจ้า...” ถูซิ่นจงริมฝีปากสั่นระริก แผดเสียงกึกก้อง “ศิษย์อาจารย์ช่างนิสัยแย่พอกัน ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
มีหรือที่นางจะถอยง่าย ๆ ดรุณีน้อยโต้ตอบมิยอมแพ้ “ไม่ไป จนกว่าท่านจะถอนคำพูดว่าร้ายอาจารย์ข้าก่อน มิเช่นนั้นข้าจะขวางอยู่ตรงนี้ ให้ยืนดูคุณหนูซื่อเนี่ยนแต่งงานไปก็แล้วกัน”
ถูซิ่นจงตบะแตกเงื้อกำปั้นขึ้นทันที ฟ่านไป่หนิงรีบเบี่ยงกายเตรียมหลบ พลันกำปั้นนั่นกลับเหเข้าใส่สือหย่งหลุนซึ่งวิ่งสวนเข้ามาเตรียมช่วยนาง เด็กหนุ่มไม่ทันระวังโดนฟาดเปรี้ยงจนตัวงอ ดรุณีน้อยเห็นแล้วถึงกับร้องลั่น
“ทำร้ายพี่หย่งหลุนทำไม!”
“ข้าไม่รังแกผู้หญิง ในเมื่อเขามากับเจ้าก็รับกรรมไปแล้วกัน”
กล่าวอาฆาตจบเขาก็หันมาเตะใส่ร่างกำยำตรงหน้าต่อ แต่คราวนี้สือหย่งหลุนพลิกตัวหลบแล้วส่งหมัดสวนเข้าที่ไหล่ ถูซิ่นจงรับไว้อย่างง่ายดายก่อนคว้าข้อมือเขาเหวี่ยงโดยแรง เด็กหนุ่มล้มทับโต๊ะร้านซาลาเปาหักเกลื่อนกลาด
ฟ่านไป่หนิงถลาเข้ามาช่วย นางฟาดฝ่ามือใส่ถูซิ่นจงด้วยท่ากระเรียนเพรียกลม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิชาฝ่ามือซึ่งจัดว่ารวดเร็วที่สุดของยุคปัจจุบัน ชายเคราดำหลบไม่ทันจึงโดนเข้าเต็มรัก ทว่าเขากลับยืนเฉยไม่แสดงอาการสะท้านสะเทือนแม้เพียงนิด เล่นเอาดรุณีน้อยตกใจยิ่ง ด้วยแม้นางรู้ดีว่ากำลังภายในยังอ่อนด้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ควรตั้งมั่นได้ถึงเพียงนี้ น่าจะมีเลศนัยบางอย่าง คิดแล้วจึงส่งท่าออกไปอีกครั้ง หวังมองหาสิ่งที่ถูซินจงซ่อนเร้นไว้ แต่ครานี้ชายเคราดำรอจังหวะให้ดรุณีน้อยโผนเข้ามาเต็มแรง แล้วหมุนตัวหลบจนนางถลาเซ ทับเก้าอี้กลายเป็นเศษไม้ไปอีกตัว
คนขายซาละเปาร้องไอ้หยา กระทืบเท้าเร่า ๆ “พวกเจ้าทะเลาะกันแบบนี้ ร้านข้าพังหมด”
เสียงร่ำร้องเรียกสติถูซิ่นให้มองความเสียหายรอบด้าน แววละอายพาดผ่านใบหน้าอย่างปิดไม่มิด เขารีบขอโทษเจ้าของร้านเป็นการใหญ่ “ข้าไม่ได้เจตนา ท่านลุงเอาเงินนี่ไปซื้อโต๊ะใหม่เถอะ”
คนขายซาละเปาเห็นจำนวนเงินพอซื้อโต๊ะได้ทีสี่ห้าตัวก็ตาลุก รับไว้ไม่เกี่ยงงอน ระหว่างนั้นประตูบ้านตระกูลทังพลันเปิดกว้าง ชายแก่ผู้หนึ่งเดินออกมาร้องถาม
“เอะอะอันใดกัน” ครั้นเห็นบุรุษเคราดำ ถ้อยคำก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น “ถูซิ่นจง! เจ้าไม่ควรมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ อยากให้นายท่านโกรธนักหรือ”
คนโดนทักหน้าเสีย ได้แต่กล่าวเสียงละห้อย “พ่อบ้าน โปรดเรียนคุณหนูซื่อเนี่ยนว่าข้ามาขอพบ”
ตรงข้ามกับเถ้าแก่ร้านพัด ดูท่าพ่อบ้านตระกูลทังจะรู้จักถูซิ่นจงเป็นอย่างดี และประโยคถัดมาก็เฉลยเรื่องราวมากกว่านั้นเสียอีก
“ไม่ได้ นายท่านมีนัดหมายกับคู่ดูตัวของคุณหนูและแม่สื่อในวันนี้แล้ว เจ้าตัดใจเสียเถอะ”
สือหย่งหลุนฉุดร่างสหายลุกยืน มองท่าทางหดหู่ของถูซิ่นจงอย่างนึกสงสาร แต่ไม่รู้จะทำเช่นใดนอกจากขอความช่วยเหลือคนเคียงข้าง
ฟ่านไป่หนิงไล่ปัดเศษฝุ่นจากตัว พูดไม่แยแส “ทำไมข้าต้องช่วยคนพรรค์นั้นด้วย”
“เพราะพวกเราเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน อีกอย่างจอมยุทธถูก็น่าเห็นใจอยู่”
ดรุณีน้อยอ้าปากจะเถียง ทว่าพอเจอสายตาละห้อยของสือหย่งหลุนก็ใจอ่อน ฝืนใจเจรจากับพ่อบ้านว่า “ขืนท่านไม่ยอมให้จอมยุทธถูกับพวกข้าเข้าไปแล้ว เกรงว่าจะทำให้เจ้าบ้านทังโกรธยิ่งกว่าเสียอีกนา”
พ่อบ้านขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอันใด ข้าไม่เห็นเข้าใจ”
“สหายข้าคนนี้” นางชูนิ้วโป้งไปทางถูซิ่นจงซึ่งแม้กำลังผิดหวัง ก็ยังอดแสดงสีหน้าระแวงยัยหนูตัวก่อกวนไม่ได้ “ตั้งใจแน่วแน่หากไม่ได้พบหน้าคุณหนูซื่อเนี่ยนอีกครั้ง จะยืนรอที่นี่ไม่ไปไหนเด็ดขาด”
คราวนี้กลายเป็นพ่อบ้านเริ่มหน้าเสียบ้าง เหลือบมองซากโต๊ะเก้าอี้จากฝีมือถูซิ่นจงระหว่างคำนวณในใจได้ว่า ถ้าคิดใช้กำลังไล่เขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นมีหรือจะรอดพ้นสายตาฟ่านไป่หนิง นางจึงสำทับ
“ท่านลองตรองดูเถิด หลังตกลงเรื่องการแต่งงานเรียบร้อย ขบวนที่มาสู่ขอกำลังเดินผ่านประตูหน้า ทันใดนั้นชายคนหนึ่งยืนจังก้าขวางทางออก ตะโกนว่าอยากพบคุณหนูซื่อ...”
พ่อบ้านรีบโบกมือให้หยุดพูด “เจ้าต้องการอันใดกันแน่”
“แก้ไขปัญหาให้ทุกฝ่ายอย่างไรเล่าท่าน” นางชี้นิ้วกรีดกรายไปมาขณะแจกแจง “ข้าเสนอให้เชิญจอมยุทธถูเข้าไปพูดคุยอย่างเปิดอก ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรพวกเราพร้อมยอมรับและไม่ขอระรานที่นี่อีก ใช่หรือไม่”
คำสุดท้ายนางวกไปถามชายเคราดำ ถูซิ่นจงรีบพยักหน้ายืนยันหนทางสายใหม่โดยไม่รีรอ พ่อบ้านยืนลังเลชั่วครู่ก่อนหายเข้าหลังประตู พักใหญ่จึงย้อนกลับมาว่า
“นายท่านขอเชิญไปพบที่ห้องหนังสือ”
ฟ่านไป่หนิงขยิบตาให้เหล่าบุรุษที่เหลือ ก่อนจะแสร้งทำท่าเปิดทางให้ถูซิ่นจงนำขบวนเข้าไปก่อน แล้วสองสหายก็เดินตามหลังโดยชายเคราดำไม่คิดห้ามปราม คล้ายยอมสงบศึกลงชั่วคราว
*****
(นิยายกำลังภายใน)ปีกวิหค ปานเมฆา <วิหคดั้นเมฆาฯ ฉบับปรับปรุง> ตอนที่ 13-15
ย้อนกลับไปเมื่อชั่วยามที่แล้ว ถูซิ่นจงเพิ่งคล้อยหลังจากร้านเครื่องเรือน ฟ่านไป่หนิงก็หันมาหาเถ้าแก่ทันควัน “ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ ฉะนั้นท่านต้องตอบแทนข้า”
“ช่วยชีวิต” เถ้าแก่แผดเสียงตอบ “เจ้ามาเปิดโปงข้าจนเกือบตายต่างหาก”
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว เพราะเขารู้ตัวเสียก่อนจึงอภัยได้ง่าย หากเขาเกิดทราบเรื่องทีหลังขึ้นมา...” นางชี้ไปยังกองเศษไม้ “ตรงนั้นคงกลายเป็นร่างท่านแทนแล้ว นี่มิใช่เพราะข้าหรอกรึ”
เถ้าแก่กลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ฟ่านไป่หนิงจึงเอ่ยสำทับ “ข้าแค่อยากทราบว่าท่านรู้จักร้านขายพัดที่อยู่ถัดไปสองช่วงถนนหรือไม่” นางย่อมหมายถึงร้านที่ชายเคราดำแวะเป็นที่แรก
“ระ...รู้จัก”
“แล้วทราบหรือไม่ว่ามีคุณหนูบ้านไหนเป็นลูกค้าร้านนั่นบ้าง”
“อ่า พวกคุณหนูก็แวะร้านนู้นเข้าร้านนี้แทบทั้งนั้น แต่ร้านพัดดังกล่าวเป็นของตระกูลทัง คุณหนูบ้านนั้นคงยากจะไปซื้อพัดร้านอื่น”
นัยน์ตาดรุณีน้อยเปล่งประกายวิบวับ ซักไซ้ไม่ขาดช่วง “คุณหนูที่ว่ามีกี่คน แต่งงานบ้างแล้วหรือไม่”
“มีคนเดียว เจ้าบ้านทังทะนุถนอมดั่งไข่ในหิน ล้วนว่าไม่มีชายใดคู่ควร นางจึงยังไร้คู่”
“ตระกูลทังนี่ร่ำรวยมากหรือ”
เถ้าแก่พยักหน้ารับ “ตระกูลทังเพิ่งย้ายมาเมืองนี้ไม่กี่สิบปี แต่คงมีทรัพย์สินติดตัวไม่น้อย เพียงเริ่มตั้งรกรากก็กว้านซื้อร้านค้าสำคัญ ๆ ได้หลายแห่ง นับเป็นเศรษฐีใหม่ของเมือง”
ฟ่านไป่หนิงกระดกริมฝีปากเป็นรอยแย้มอย่างพอใจ “คำถามสุดท้าย บ้านตระกูลทังตั้งอยู่แถวใดหรือ”
ครั้นได้คำตอบพวกเขาก็พากันออกจากร้านขายเครื่องเรือน แล้วสือหย่งหลุนจึงถามขึ้นด้วยอดรนทนไม่ได้ “ไป่หนิง เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าจอมยุทธถูจะไปที่บ้านตระกูลทัง”
ดรุณีน้อยยิ้มกริ่ม “พี่สังเกตหรือไม่ จอมยุทธถูดูเร่งรีบมากตอนอยู่หน้าบ้านตนเอง แสดงว่าคงมีธุระร้อน แต่ธุระนั้นกลับเป็นการมาเอาพัดของผู้หญิงไปได้ ช่างพิกลเหลือรับ”
“อะไรกัน พัดที่จอมยุทธถูถืออยู่เป็นพัดผู้หญิงหรือ”
“ใช่ เพราะพัดมีอยู่ทั้งหมดสามสิบซี่ ปกติพัดที่ผู้ชายใช้นั้นมีไม่เกินยี่สิบซี่หรอก”
สือหย่งหลุนเกาหัว “เรื่องพัดนี่พี่ใหญ่คงรู้จักดี ส่วนข้าไม่ค่อยทราบความนัก”
ดรุณีน้อยหาใส่ใจนึกถึงพี่ชายของสหายไม่ “ลองพิจารณากันดู เหตุใดชายผู้หนึ่งจึงซื้อพัดผู้หญิง เอาไปให้ภรรยาหรือ...ก็รู้อยู่ว่าไม่มี แล้วถ้าจะมอบแก่คนรักไฉนต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ แอบดูพัดด้วยเล่า นอกจากว่านั่นเป็นวิธีฝากข้อความบางอย่างไว้ให้เขา ทว่าแค่ฝากข่าวกลับทำยุ่งยากถึงเพียงนี้เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองฝ่ายมาพบกันโจ่งแจ้งมิได้ และข้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเป็นผู้หญิง”
“ก็ไม่แน่นัก เหตุใดจะเป็นผู้ชายไม่ได้เล่า”
“ผู้ชายฝากพัดผู้หญิงให้ชายอีกคน? เรื่องมันประหลาดเสียจนคนที่พยายามปกปิดการส่งข่าวไม่คิดทำแน่ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงฝากพัดไว้แล้วอ้างว่าจะมีคนมาเอาไปอีกทอดก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่นับว่านั่นเป็นร้านตระกูลตนเอง คุณหนูฝากของเพื่อส่งต่อให้เพื่อนหญิงด้วยกัน มีอันใดผิดปกติ”
สือหย่งหลุนกลับเผยกิริยาเคร่งขรึมทันทีที่ฟังจบ “เจ้ากำลังบอกว่าจอมยุทธถูกับคุณหนูตระกูลทังลักลอบพบกันอย่างนั้นรึ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้หาควรพูดพล่อย ๆ ไม่”
ดรุณีน้อยหลิ่วตาตอบ “เช่นนั้นคงต้องพิสูจน์ให้รู้แน่”
*****
สือหย่งหลุนยืนกระวนกระวายหน้าร้านขายพัดตระกูลทัง อดเหลือบมองสหายที่หลบอยู่ข้างร้านมิได้ ฟ่านไป่หนิงเห็นแล้วรีบโบกมือเร่งเขาเป็นการใหญ่ เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก เดินเข้าร้านอย่างจำใจ
“เถ้าแก่” สือหย่งหลุนเกริ่นเสียงอ้อมแอ้ม “ข้ามาขอรับพัดที่คุณหนูตระกูลทังฝากไว้”
เจ้าของร้านขมวดคิ้ว “มีคนมาเอาไปตั้งแต่ตอนสายแล้วนี่”
เด็กหนุ่มตาลุกวาวเมื่อพบว่าการคาดเดาของดรุณีน้อยเริ่มเข้าเค้า จึงรีบกล่าวเพิ่ม “คนที่ว่าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ มีหนวดเคราใช่หรือไม่”
“ใช่” ตอบไปแล้วเถ้าแก่ค่อยเอะใจถามขึ้น “พวกเจ้าทำไมมาแล้วมาอีกซ้ำซาก”
อีกฝ่ายได้ยินคำถามจึงเริ่มกระวนกระวาย กิริยาส่อพิรุธฉับพลัน “เอ้อ...คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าขอตัวก่อน”
“ประเดี๋ยว” เจ้าของร้านคว้าแขนเด็กหนุ่มไว้ด้วยท่าทางระแวง “ปกติชายผู้นั้นจะเป็นคนมาเอาพัดไปอยู่ตลอด นี่เจ้าแอบอ้างเพราะเหตุใดกัน”
สือหย่งหลุนใจหายวูบ ด้วยกำลังของเขาย่อมสะบัดการเกาะกุมและหนีไปโดยง่าย ติดที่ว่าไม่อยากทำร้ายอีกฝ่าย ทั้งไม่ต้องการให้ยุ่งยากโดยใช่เหตุ สมองคิดเร็วรี่ก่อนแจ้งว่า “คืออย่างนี้ พัดที่ได้ไปเมื่อเช้าแนบข่าวจากคุณหนูตระกูลทังว่าอาจมีพัดมาให้อีกในตอนบ่าย เผอิญพี่ชายซึ่งมาประจำติดธุระ คุณหนูข้าผู้เป็นเพื่อนคุณหนูทังจึงส่งข้ามารับแทน แต่ถ้าพัดยังไม่มาก็ไม่เป็นอันใด” สีหน้าเถ้าแก่ยังคลางแคลงใจ เด็กหนุ่มจึงสำทับต่อ “ก็คุณหนูท่านบอกว่ากำลังจะมีข่าวดี อาจส่งพัดให้เพื่อนได้อีกไม่นาน จึงอยากเร่งส่งให้ดูหลาย ๆ แบบ เห็นคุณหนูข้าบอกเช่นนี้”
เท่านั้นเองเจ้าของร้านก็ปล่อยมือ พึมพำเบา ๆ “คุณหนูซื่อเนี่ยนก็เหลือเกิน ตื่นเต้นจนต้องรีบเล่าให้เพื่อนฟังเชียว น่าจะรอพรักพร้อมกว่านี้...”
สือหย่งหลุนไม่คอยให้อีกฝ่ายบ่นจนจบ รีบหนีออกนอกร้านทันควัน ฟ่านไป่หนิงซึ่งแอบฟังอยู่วิ่งตามมาขนาบข้าง หัวเราะคิกคัก “นึกไม่ถึงว่าพี่ก็แต่งนิทานเก่งไม่เบา”
เด็กหนุ่มเบ้ปาก “หากเจ้าของร้านไม่เผลอยืนยันเรื่องจอมยุทธถู ข้าคงไปต่อไม่รอดหรอก” เมื่อเห็นว่าไกลจากร้านมากแล้ว สือหย่งหลุนจึงเปลี่ยนเป็นเดินช้า ๆ “แต่พอมั่นใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เหลือก็ไม่ยากเกินเดา พวกเขาคงใช้วิธีนี้ติดต่อกันมานาน แต่วันนี้หลังจากจอมยุทธถูดูข่าวในพัดถึงกับมีอาการร้อนรน เร่งรวบรวมเงินเป็นการใหญ่ ข้าขอพนันหมดหน้าตัก ในนั้นต้องระบุว่ามีผู้มาสู่ขอคุณหนูซื่อเนี่ยนเป็นแน่”
ฟ่านไป่หนิงพยักหน้าเห็นด้วย จำได้ว่าตอนพบกันครั้งแรก ไม้ที่ถูซิ่นจงแบกมาด้วยคือไม้กรุ่นวาสนานี่เอง ถ้าคิดขายไฉนไม่นำติดตัวเข้าตลาดแต่ต้น หากไม่คิดขายทำไมต้องเถียงเรื่องราคาจนวุ่นวายเพียงนั้น เขาย่อมรอจนราคาสูงขึ้นก่อนก็ได้ แสดงว่าถูซิ่นจงเกิดต้องการเงินภายหลังดูพัดซึ่งใช้แทนจดหมายนั่น ต่อให้เป็นสือหย่งหลุนก็ไม่ยากจะเดาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
*****
ซาละเปาหมดจาน น้ำชาขอดถ้วยแล้ว ฟ่านไป่หนิงค่อยลุกขึ้น จงใจเดินทอดน่องตรงสู่ประตูบ้านตระกูลทัง ถูซิ่นจงปราดมาขวางนางไว้ กระชากเสียงถาม “เจ้าจะไปไหน”
เมื่อจับจุดอ่อนเขาได้ ดรุณีน้อยจึงเลิกใช้ไม้อ่อนกล่อมอีกฝ่าย นางกอดอกแกล้งยื่นหน้าเข้าหา กล่าวว่า “ย่อมมาเป็นเพื่อนท่านสู่ขอคุณหนูซื่อเนี่ยน”
ถูซิ่นจงสะดุ้ง นึกแทบตายก็คิดไม่ออกว่านังเด็กตัวดีรู้เรื่องได้อย่างไร สือหย่งหลุนเห็นแล้วไม่สบายใจ ตรงเข้ามาปรามสหาย “ไป่หนิง อย่าก่อกวนธุระจอมยุทธถูมากไปกว่านี้เลย”
“ขอเพียงจอมยุทธถูรับปากสอนวิชาให้พี่ ข้ายินดีนั่งเบื้อใบ้ตลอดวันเลยเอ้า”
“เจ้า...เจ้า...” ถูซิ่นจงริมฝีปากสั่นระริก แผดเสียงกึกก้อง “ศิษย์อาจารย์ช่างนิสัยแย่พอกัน ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
มีหรือที่นางจะถอยง่าย ๆ ดรุณีน้อยโต้ตอบมิยอมแพ้ “ไม่ไป จนกว่าท่านจะถอนคำพูดว่าร้ายอาจารย์ข้าก่อน มิเช่นนั้นข้าจะขวางอยู่ตรงนี้ ให้ยืนดูคุณหนูซื่อเนี่ยนแต่งงานไปก็แล้วกัน”
ถูซิ่นจงตบะแตกเงื้อกำปั้นขึ้นทันที ฟ่านไป่หนิงรีบเบี่ยงกายเตรียมหลบ พลันกำปั้นนั่นกลับเหเข้าใส่สือหย่งหลุนซึ่งวิ่งสวนเข้ามาเตรียมช่วยนาง เด็กหนุ่มไม่ทันระวังโดนฟาดเปรี้ยงจนตัวงอ ดรุณีน้อยเห็นแล้วถึงกับร้องลั่น
“ทำร้ายพี่หย่งหลุนทำไม!”
“ข้าไม่รังแกผู้หญิง ในเมื่อเขามากับเจ้าก็รับกรรมไปแล้วกัน”
กล่าวอาฆาตจบเขาก็หันมาเตะใส่ร่างกำยำตรงหน้าต่อ แต่คราวนี้สือหย่งหลุนพลิกตัวหลบแล้วส่งหมัดสวนเข้าที่ไหล่ ถูซิ่นจงรับไว้อย่างง่ายดายก่อนคว้าข้อมือเขาเหวี่ยงโดยแรง เด็กหนุ่มล้มทับโต๊ะร้านซาลาเปาหักเกลื่อนกลาด
ฟ่านไป่หนิงถลาเข้ามาช่วย นางฟาดฝ่ามือใส่ถูซิ่นจงด้วยท่ากระเรียนเพรียกลม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิชาฝ่ามือซึ่งจัดว่ารวดเร็วที่สุดของยุคปัจจุบัน ชายเคราดำหลบไม่ทันจึงโดนเข้าเต็มรัก ทว่าเขากลับยืนเฉยไม่แสดงอาการสะท้านสะเทือนแม้เพียงนิด เล่นเอาดรุณีน้อยตกใจยิ่ง ด้วยแม้นางรู้ดีว่ากำลังภายในยังอ่อนด้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ควรตั้งมั่นได้ถึงเพียงนี้ น่าจะมีเลศนัยบางอย่าง คิดแล้วจึงส่งท่าออกไปอีกครั้ง หวังมองหาสิ่งที่ถูซินจงซ่อนเร้นไว้ แต่ครานี้ชายเคราดำรอจังหวะให้ดรุณีน้อยโผนเข้ามาเต็มแรง แล้วหมุนตัวหลบจนนางถลาเซ ทับเก้าอี้กลายเป็นเศษไม้ไปอีกตัว
คนขายซาละเปาร้องไอ้หยา กระทืบเท้าเร่า ๆ “พวกเจ้าทะเลาะกันแบบนี้ ร้านข้าพังหมด”
เสียงร่ำร้องเรียกสติถูซิ่นให้มองความเสียหายรอบด้าน แววละอายพาดผ่านใบหน้าอย่างปิดไม่มิด เขารีบขอโทษเจ้าของร้านเป็นการใหญ่ “ข้าไม่ได้เจตนา ท่านลุงเอาเงินนี่ไปซื้อโต๊ะใหม่เถอะ”
คนขายซาละเปาเห็นจำนวนเงินพอซื้อโต๊ะได้ทีสี่ห้าตัวก็ตาลุก รับไว้ไม่เกี่ยงงอน ระหว่างนั้นประตูบ้านตระกูลทังพลันเปิดกว้าง ชายแก่ผู้หนึ่งเดินออกมาร้องถาม
“เอะอะอันใดกัน” ครั้นเห็นบุรุษเคราดำ ถ้อยคำก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น “ถูซิ่นจง! เจ้าไม่ควรมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ อยากให้นายท่านโกรธนักหรือ”
คนโดนทักหน้าเสีย ได้แต่กล่าวเสียงละห้อย “พ่อบ้าน โปรดเรียนคุณหนูซื่อเนี่ยนว่าข้ามาขอพบ”
ตรงข้ามกับเถ้าแก่ร้านพัด ดูท่าพ่อบ้านตระกูลทังจะรู้จักถูซิ่นจงเป็นอย่างดี และประโยคถัดมาก็เฉลยเรื่องราวมากกว่านั้นเสียอีก
“ไม่ได้ นายท่านมีนัดหมายกับคู่ดูตัวของคุณหนูและแม่สื่อในวันนี้แล้ว เจ้าตัดใจเสียเถอะ”
สือหย่งหลุนฉุดร่างสหายลุกยืน มองท่าทางหดหู่ของถูซิ่นจงอย่างนึกสงสาร แต่ไม่รู้จะทำเช่นใดนอกจากขอความช่วยเหลือคนเคียงข้าง
ฟ่านไป่หนิงไล่ปัดเศษฝุ่นจากตัว พูดไม่แยแส “ทำไมข้าต้องช่วยคนพรรค์นั้นด้วย”
“เพราะพวกเราเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน อีกอย่างจอมยุทธถูก็น่าเห็นใจอยู่”
ดรุณีน้อยอ้าปากจะเถียง ทว่าพอเจอสายตาละห้อยของสือหย่งหลุนก็ใจอ่อน ฝืนใจเจรจากับพ่อบ้านว่า “ขืนท่านไม่ยอมให้จอมยุทธถูกับพวกข้าเข้าไปแล้ว เกรงว่าจะทำให้เจ้าบ้านทังโกรธยิ่งกว่าเสียอีกนา”
พ่อบ้านขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอันใด ข้าไม่เห็นเข้าใจ”
“สหายข้าคนนี้” นางชูนิ้วโป้งไปทางถูซิ่นจงซึ่งแม้กำลังผิดหวัง ก็ยังอดแสดงสีหน้าระแวงยัยหนูตัวก่อกวนไม่ได้ “ตั้งใจแน่วแน่หากไม่ได้พบหน้าคุณหนูซื่อเนี่ยนอีกครั้ง จะยืนรอที่นี่ไม่ไปไหนเด็ดขาด”
คราวนี้กลายเป็นพ่อบ้านเริ่มหน้าเสียบ้าง เหลือบมองซากโต๊ะเก้าอี้จากฝีมือถูซิ่นจงระหว่างคำนวณในใจได้ว่า ถ้าคิดใช้กำลังไล่เขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นมีหรือจะรอดพ้นสายตาฟ่านไป่หนิง นางจึงสำทับ
“ท่านลองตรองดูเถิด หลังตกลงเรื่องการแต่งงานเรียบร้อย ขบวนที่มาสู่ขอกำลังเดินผ่านประตูหน้า ทันใดนั้นชายคนหนึ่งยืนจังก้าขวางทางออก ตะโกนว่าอยากพบคุณหนูซื่อ...”
พ่อบ้านรีบโบกมือให้หยุดพูด “เจ้าต้องการอันใดกันแน่”
“แก้ไขปัญหาให้ทุกฝ่ายอย่างไรเล่าท่าน” นางชี้นิ้วกรีดกรายไปมาขณะแจกแจง “ข้าเสนอให้เชิญจอมยุทธถูเข้าไปพูดคุยอย่างเปิดอก ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรพวกเราพร้อมยอมรับและไม่ขอระรานที่นี่อีก ใช่หรือไม่”
คำสุดท้ายนางวกไปถามชายเคราดำ ถูซิ่นจงรีบพยักหน้ายืนยันหนทางสายใหม่โดยไม่รีรอ พ่อบ้านยืนลังเลชั่วครู่ก่อนหายเข้าหลังประตู พักใหญ่จึงย้อนกลับมาว่า
“นายท่านขอเชิญไปพบที่ห้องหนังสือ”
ฟ่านไป่หนิงขยิบตาให้เหล่าบุรุษที่เหลือ ก่อนจะแสร้งทำท่าเปิดทางให้ถูซิ่นจงนำขบวนเข้าไปก่อน แล้วสองสหายก็เดินตามหลังโดยชายเคราดำไม่คิดห้ามปราม คล้ายยอมสงบศึกลงชั่วคราว
*****