สายใยรักจิ้งจอกพันปี (yaoi) บทที่ 13 ตุ๊กตาที่ถูกชักใย

กระทู้สนทนา
บทที่ 1-2 http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/34910335
          
บทที่ 13 ตุ๊กตาที่ถูกชักใย

          เสียงสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตายดังมาจากบ้านคิตายามะ มันเป็นงานไว้อาลัยที่ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะนอกจากญาติทางฝ่ายภรรยาซึ่งน้อยจนนับคนได้กับเพื่อนที่เคยร่วมสังสรรค์ของนายคิตายามะแล้วก็ไม่มีใครอีก ญาติใกล้ชิดเพียงคนเดียวคือฟุรุคาวะซึ่งแม้จะเกลียดชังลุงกับป้ามาเพียงใดก็ยังจัดงานศพอย่างดีที่สุด และด้วยความช่วยเหลือของซาคาโมโตะ งานนั้นจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นแม้จะโดนบรรดาเจ้าหนี้ของลุงก่อกวนบ้าง แต่พอรู้ว่าเด็กหนุ่มอยู่ในความคุ้มครองของใครอันธพาลเหล่านั้นก็เผ่นป่าราบกันไปหมด

          เสร็จสิ้นจากงานศพฟุรุคาวะก็กลับมาเรียนอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูสดชื่นกว่าแต่ก่อน กระนั้นเขาก็ยังคงเป็นคนเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นทาคุ ด้วยนิสัยขี้เล่นแถมยังสรรหาเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังได้ตลอดเวลา เด็กหนุ่มจึงสนิทกับเขามากกว่าซาคาโมโตะที่แม้จะหยอกเย้าบ้างเป็นบางครั้งสีหน้าท่าทางของเขาก็ยังดูน่าเกรงขาม ฟุรุคาวะจึงคิดเอาเองว่าอาจเป็นเพราะตำแหน่งบุตรชายหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลทำให้ไม่สามารถแสดงอะไรออกมาได้มากนอกจากความห่วงใยที่ฉายออกมาจากดวงตา

          เห็นการมองแบบนั้นทีไรเป็นได้ใจสั่นทุกครั้งซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

          การตายของลุงกับป้ามีผลในแง่บวกกับเด็กหนุ่มเพราะนับจากนั้นเขาฝันถึงพ่อกับแม่น้อยลง แต่สิ่งที่มาแทนที่กลับน่าตระหนกกว่าเพราะเกือบทุกคืนเขามักฝันเห็นตัวเองในเครื่องแต่งกายโบราณยืนอยู่บนสะพานโค้งหน้าเรือนหลังใหญ่และโดนผู้ชายผมยาวสีขาวเข้ามาสวมกอดพร้อมกับเรียกเขาว่า ฟูจิน ลงท้ายด้วยรสจูบอันดื่มด่ำและคงมีอะไรมากไปกว่านั้นหากไม่ตกใจตื่นขึ้นมาก่อน พอเจอซาคาโมโตะนอนอยู่ข้างๆแถมบางทียังกอดเขาด้วยแล้วก็ยิ่งใจคอไม่ดี แรกๆยังพอทนแต่พอเจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกันหลายครั้งเข้าเด็กหนุ่มก็ชักจะกลัวแล้วว่า ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงพลาดท่าเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายในฝันหรือคนที่นอนด้วยกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง จะออกปากไล่ก็ไม่กล้าเพราะนับตั้งแต่ซาคาโมโตะมาอยู่ด้วยนอกจากฝันร้ายจะลดลงแล้วพวกปิศาจก็แทบจะไม่โผล่มาให้เห็น รวมถึงเจ้าคาวาเบะที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนอยากจะปล้ำเขาเต็มแก่แต่พอเห็นคนเดินตามติดเป็นเงาแล้วเจ้าตัวร้ายจึงได้แต่ส่งสายตาอาฆาตอยู่ห่างๆ

          เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและอะไรหลายอย่างเด็กหนุ่มจึงจำต้องยอมให้ชายหนุ่มอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าระหว่างตัวร้ายที่โรงเรียนกับคนร่วมห้องสิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน

          พอมานั่งนึกให้ดีๆแล้วเขาคิดว่าน่าจะอันตรายพอกันทั้งคู่นั่นแหละ

          เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงเคาะประตูของทาคุที่มาพร้อมกับมื้อเช้าและคำกระเซ้าเย้าแหย่ที่ฟังแล้วทำให้ใจหวิวแต่ฟุรุคาวะทำเป็นไม่สนใจ พอแกะอาหารออกจากกล่องเขาก็ก้มหน้าก้มตากินจนอิ่มก่อนเพื่อน ล้างจานเสร็จก็คว้ากระเป๋าเดินแน่บไปที่ประตูทำเอาสองหนุ่มต้องรีบวางช้อนวิ่งตาม พอถึงโรงเรียนยังไม่ทันที่ซาคาโมโตะจะทันก้าวลงจากรถเด็กหนุ่มก็นำหน้าไปไกลแล้ว

          “เขาโกรธอะไร” ซาคาโมโตะถามและพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอทำอะไรผิดไปบ้างหรือเปล่าแต่พอนึกดูแล้ว ตั้งแต่เช้านอกจากกล่าวอรุณสวัสดิ์กับถามเรื่องความฝันเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเด็กหนุ่มอีกเลย ทาคุเอนตัวไปทางพวงมาลัยรถสอดตามองข้ามเจ้านายไปที่ฟุรุคาวะ พอเห็นการเดินแบบจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลังแล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ

          “แค่เขินน่ะ”

          “เขินเรื่องอะไรแล้วนายรู้ได้ยังไง” อีกฝ่ายถามและหน้าแดงเมื่อเห็นสารถีหนุ่มมองเหมือนนึกไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนเดียงสาถึงขนาดนี้

          “เป็นถึงผู้นำกินกิซึเนะแต่กลับไม่รู้นิสัยผู้หญิง อ่อนหัดจริงๆเลยนายเนี่ย” พูดพลางส่ายหน้าช้าๆอย่างผู้ทรงภูมิจนน่าหมั่นไส้ ซาคาโมโตะพยายามข่มใจไม่ให้ตัวเองเผลอถีบเพื่อนก่อนสวนคำกลับเสียงห้วน

          “ฟุบุกิเป็นผู้ชาย!”

          “แต่ข้างในไม่ใช่นี่หว่า นอนด้วยกันทุกคืนป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเป็นอะไรกันแน่” ย้อนกลับด้วยประโยคกวนประสาทและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงเปรียะจากมืออีกฝ่าย “เฮ้ยๆ อย่าบีบประตูแบบนั้นสิมันจะทำให้กระจกแตกไปด้วย”

          “ถ้าเปลี่ยนจากกระจกเป็นกะโหลกนายคงไม่เป็นไรใช่ไหม” ซาคาโมโตะถามแถมยังขยับมือเหมือนจะทำแบบนั้นจริงๆ ทาคุตาเหลือกร้องห้าม

          “อย่านะโว้ย!” พลขับจอมกวนยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้อง พอเห็นชายหนุ่มยังอยู่ในท่าเดิมเขาก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ให้ตายเถอะเล่นเอาฉันเสียววูบเลย”

          “อย่างนายน่ะเหรอจะกลัวของแค่นี้” ซาคาโมโตะพูดอย่างรู้ทัน “จะบอกหรือยังว่านายรู้ได้ยังไง”

          “สังเกตเอาน่ะ ฟุบุกิชอบแอบมองตอนนายเผลอและหน้าแดงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ๆ เรื่องเดินหนีนั่นก็เหมือนกันถ้าโกรธหรือเกลียดก็ต้องพูดแล้วว่า อย่าตามมานะ หรือไม่ก็ออกปากไล่เราสองคนออกจากห้องไปแล้ว”

          “เขาอาจกลัวเลยไม่กล้าทำแบบนั้น” ทั้งที่ใจเต้นตึกตักกับเหตุผลก็ยังอดหาข้อมาแย้งไม่ได้ ทาคุสั่นศีรษะ

          “ถ้ากลัวจริงคุณเธอคงเปิดหนีไปตั้งแต่วันแรกแล้ว อย่ามัวแต่ห่วงโน่นกังวลนี่เลยเคียวยะ ตามความเห็นของฉัน ฟุบุกิเริ่มมีใจกับนายแล้วปัญหาคือตัวนายเองต่างหาก ฉันขอถามตรงๆเลยนะว่านายรักเขาเพราะนั่นคือฟูจินหรือรักที่เป็นฟุรุคาวะ ฟุบุกิ”

          ไม่เสียเวลาคิดแม้เสี้ยววินาที ซาคาโมโตะสวนคำตอบทันควัน

          “ฉันรักทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเธอ” เขายืดตัวถอยออกห่าง “เจอกันตอนเย็น”

          ชายหนุ่มหลังหันเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยไม่สนใจว่าเพื่อนรักจะพูดอะไรตอบกลับมา เขารู้ดีว่าในตอนแรกทาคุไม่เห็นด้วยกับความเชื่อที่ว่าฟุรุคาวะคือฟูจินกลับชาติมาเกิด จนกระทั่งสัมผัสพลังวิญญาณของนางที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวนั่นแหละจึงยอมรับ แต่ดูเหมือนจะยังทำใจในเรื่องเพศเดียวกันไม่ได้ซึ่งเขาไม่สน ขอเพียงเป็นคนที่เขารัก จะอยู่ในร่างของผู้หญิงหรือผู้ชายเขาก็ไม่แคร์

          คิดพลางเดินพลางไปจนถึงห้องพอโผล่หน้าเข้าไปปุ๊บเด็กหนุ่มก็รีบหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางตกประหม่าของฟุรุคาวะทำให้ซาคาโมะโตะนึกยิ้มในใจ ทำเป็นเดินหนีแต่ก็คอยจ้องว่าเมื่อไหร่เขาจะมา พอเห็นหน้าก็รีบหลบ แสดงว่าหมอนี่กำลังเขินอย่างที่เจ้าทาคุบอก

          งั้นต้องแกล้งอีกหน่อย

          คิดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ พอเด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขาก็กระแอมเบาๆ

          “เฮ้!”

          ฟุรุคาวะสะดุ้งเฮือก ดวงหน้าสีชมพูระเรื่อเงยขึ้นพอสบเข้ากับตาของซาคาโมโตะเขาก็รีบก้มลงหลบปากบางซีดขยับถามห้วนๆเหมือนรำคาญ “อะไร”  

          “ฉันลืมดินสอไว้ที่บ้าน”

          เด็กหนุ่มเม้มปากเพื่อแสดงความไม่พอใจแต่กลับหยิบดินสอส่งให้โดยไม่มองหน้า ซาคาโมโตะจึงแกล้งคว้ามือหมับและโน้มตัวลงกระซิบริมหู

          “ขอบใจ” เรียวปากปัดผ่านแก้มอย่างจงใจและอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงซ่าน เด็กหนุ่มรีบดึงมือออกพร้อมกับพูด

          “ได้แล้วก็กลับไปนั่งที่สิ”

          ท่าทางเก้อเขินของเขาทำให้ซาคาโมโตะอยากแหย่ต่ออีกหน่อยแต่ถูกขัดด้วยเสียงของนักเรียนหญิงที่ยืนจ้องตาไม่กะพริบ

          “หวานกันแต่เช้าเลยนะ” คนมัดจุกสองข้างพูดพลางกระโดดเข้าไปชะโงกหน้ามองใกล้ๆ “ตายแล้วพวกเราดูสิ! ฟุรุคาวะหน้าแดงแจ๋เลย”

          “ไหนๆขอดูหน่อย” อีกคนเข้ามาสมทบแล้วทำเป็นปิดปากร้องกรี๊ดกร๊าด “จริงด้วย หน้าแดงขนาดนี้ต้องได้ยินอะไรมาแน่ๆ ฉันเดาว่าคงเป็นคำสารภาพรัก ใช่มั้ยคุณซาคาโมโตะ” ประโยคหลังเธอหันไปถามชายหนุ่ม เขายืนนิ่งไม่ตอบ ฟุรุคาวะซึ่งอายจนแทบจะมุดโต๊ะหนีอยู่แล้วเลยโพล่งออกมา

          “ใช่ที่ไหนกันล่ะเขาแค่มาขอยืมดินสอเท่านั้น คิดบ้ากันไปได้” ตาเหลือบไปทางคนตัวสูงและใจเต้นเมื่อเห็นประกายแปลกๆเต้นวิบวับอยู่ในดวงตา เขารีบก้มหน้าลงหลบพร้อมกับบ่นพึมพำ “เจ้าบ้า”

          ซาคาโมโตะมองอาการเขินอายของเด็กหนุ่มด้วยหัวใจพองโต อาจจะจริงอย่างที่ทาคุบอก ที่หลบหน้าไม่ใช่เพราะความเกลียดชังแต่จะเป็นอะไรนั้นเขายังไม่กล้าคิด สิ่งเดียวที่อยากทำเวลานี้คือขยี้ผมคนตัวเล็กกว่าด้วยความเอ็นดู มือยื่นออกไปตามใจคิดแต่ต้องชะงักค้างเมื่อนึกได้ว่ารอบตัวมีนักเรียนหญิงห้อมล้อมอยู่และพวกเธอกำลังส่งเสียงเชียร์ให้เขาจูบฟุรุคาวะ

          น่ารำคาญเป็นบ้า

          ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดพลางชำเลืองมองสาวๆด้วยดวงตาวาววับดุจนัยน์ตาเสือ ทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบและแยกย้ายกันกลับที่ ส่วนตัวซาคาโมโตะพอกำราบสาวๆเสร็จก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำทีเป็นหยิบหนังสือออกมากางแต่ตากลับเหลือบไปทางเด็กหนุ่มจนกระทั่งถึงเวลาเรียน

          พอถึงตอนพักเที่ยงแทนที่จะไปโรงอาหารฟุรุคาวะกลับนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะ หลังจากนั่งมองจนแน่ใจว่าเด็กหนุ่มคงไม่ยอมขยับไปไหนแน่ซาคาโมโตะจึงก้าวพรวดไปคว้าข้อมือลากออกจากห้องโดยไม่สนใจอาการขัดขืนกับเสียงร้องโวยวาย

          "ปล่อยฉันนะซาคาโมโตะ” ฟุรุคาวะสั่งขณะพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีมออกแต่มันกลับบีบแน่นขึ้น

          “ไม่” ซาคาโมโตะปฏิเสธพอเด็กหนุ่มขืนตัวไม่ยอมเดินตามเขาจึงหยุดหันไปมองหน้า “คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยงั้นเหรอ เลือกเอาจะยอมเดินไปด้วยกันดีๆหรือให้ฉันอุ้มไป”

          หน้าของฟุรุคาวะร้อนผ่าวถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้

          “ฉันไม่เลือกอะไรทั้งนั้น ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ฉันจะกลับห้อง”

          “นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นถ้าฉันไม่อนุญาต” ซาคาโมโตะแกล้งใช้น้ำเสียงเหมือนตอนออกคำสั่งกับลูกน้องมือคลายออกหน่อยนึงแต่ยังไม่ยอมปล่อย “เราต้องไปโรงอาหารด้วยกัน”

          “ฉันไม่หิว”

          “แต่ฉันหิว” สวนกลับทันควันพลางดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปใกล้ๆ “ถ้าไม่ไปด้วยกันดีๆฉันจะกินนายเป็นอาหาร”

          ไม่พูดเปล่ายังไล่สายตามองไปทั่วตัวและแลบลิ้นเสียปาก “ขาวแบบนี้เนื้อคงหวานน่าดู”

          ฟุรุคาวะหน้าแดงไปถึงหู ถ้าคำพูดนี้หลุดจากปากของคาวาเบะเขาคงขยะแขยงจนแทบอ้วกแต่พอเป็นคำพูดของซาคาโมโตะ ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับร้อนวูบวาบเหมือนลิ้นของอีกฝ่ายกำลังลากเลียไปทั่วตัว

          “ย อย่ามาพูดบ้าๆนะ!!” เขาร้องและสะบัดมืออย่างแรงจนหลุด “ฉันไปด้วยก็ได้แต่ต้องเร็วๆนะ”

          ซาคาโมโตะยิ้มอย่างผู้มีชัย “ไม่ต้องห่วงฉันไม่ทำให้นายเสียเวลาหรอก”

          ความที่ไม่อยากให้คนรักต้องหงุดหงิดชายหนุ่มจึงเลือกขนมปังกับนมเป็นมื้อเที่ยงซึ่งแน่นอนว่าเขาขอร้องแกมบังคับให้ฟุรุคาวะกินด้วย อิ่มแล้วทั้งคู่จึงกลับไปยังตึกเรียนระหว่างเดินไปด้วยกันก็เจอทากาอิซึ่งหอบหนังสือเดินสวนมาพอดี
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่