บทที่ 1-2
http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5
http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/34910335
บทที่ 13 ตุ๊กตาที่ถูกชักใย
เสียงสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตายดังมาจากบ้านคิตายามะ มันเป็นงานไว้อาลัยที่ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะนอกจากญาติทางฝ่ายภรรยาซึ่งน้อยจนนับคนได้กับเพื่อนที่เคยร่วมสังสรรค์ของนายคิตายามะแล้วก็ไม่มีใครอีก ญาติใกล้ชิดเพียงคนเดียวคือฟุรุคาวะซึ่งแม้จะเกลียดชังลุงกับป้ามาเพียงใดก็ยังจัดงานศพอย่างดีที่สุด และด้วยความช่วยเหลือของซาคาโมโตะ งานนั้นจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นแม้จะโดนบรรดาเจ้าหนี้ของลุงก่อกวนบ้าง แต่พอรู้ว่าเด็กหนุ่มอยู่ในความคุ้มครองของใครอันธพาลเหล่านั้นก็เผ่นป่าราบกันไปหมด
เสร็จสิ้นจากงานศพฟุรุคาวะก็กลับมาเรียนอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูสดชื่นกว่าแต่ก่อน กระนั้นเขาก็ยังคงเป็นคนเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นทาคุ ด้วยนิสัยขี้เล่นแถมยังสรรหาเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังได้ตลอดเวลา เด็กหนุ่มจึงสนิทกับเขามากกว่าซาคาโมโตะที่แม้จะหยอกเย้าบ้างเป็นบางครั้งสีหน้าท่าทางของเขาก็ยังดูน่าเกรงขาม ฟุรุคาวะจึงคิดเอาเองว่าอาจเป็นเพราะตำแหน่งบุตรชายหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลทำให้ไม่สามารถแสดงอะไรออกมาได้มากนอกจากความห่วงใยที่ฉายออกมาจากดวงตา
เห็นการมองแบบนั้นทีไรเป็นได้ใจสั่นทุกครั้งซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
การตายของลุงกับป้ามีผลในแง่บวกกับเด็กหนุ่มเพราะนับจากนั้นเขาฝันถึงพ่อกับแม่น้อยลง แต่สิ่งที่มาแทนที่กลับน่าตระหนกกว่าเพราะเกือบทุกคืนเขามักฝันเห็นตัวเองในเครื่องแต่งกายโบราณยืนอยู่บนสะพานโค้งหน้าเรือนหลังใหญ่และโดนผู้ชายผมยาวสีขาวเข้ามาสวมกอดพร้อมกับเรียกเขาว่า ฟูจิน ลงท้ายด้วยรสจูบอันดื่มด่ำและคงมีอะไรมากไปกว่านั้นหากไม่ตกใจตื่นขึ้นมาก่อน พอเจอซาคาโมโตะนอนอยู่ข้างๆแถมบางทียังกอดเขาด้วยแล้วก็ยิ่งใจคอไม่ดี แรกๆยังพอทนแต่พอเจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกันหลายครั้งเข้าเด็กหนุ่มก็ชักจะกลัวแล้วว่า ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงพลาดท่าเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายในฝันหรือคนที่นอนด้วยกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง จะออกปากไล่ก็ไม่กล้าเพราะนับตั้งแต่ซาคาโมโตะมาอยู่ด้วยนอกจากฝันร้ายจะลดลงแล้วพวกปิศาจก็แทบจะไม่โผล่มาให้เห็น รวมถึงเจ้าคาวาเบะที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนอยากจะปล้ำเขาเต็มแก่แต่พอเห็นคนเดินตามติดเป็นเงาแล้วเจ้าตัวร้ายจึงได้แต่ส่งสายตาอาฆาตอยู่ห่างๆ
เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและอะไรหลายอย่างเด็กหนุ่มจึงจำต้องยอมให้ชายหนุ่มอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าระหว่างตัวร้ายที่โรงเรียนกับคนร่วมห้องสิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน
พอมานั่งนึกให้ดีๆแล้วเขาคิดว่าน่าจะอันตรายพอกันทั้งคู่นั่นแหละ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงเคาะประตูของทาคุที่มาพร้อมกับมื้อเช้าและคำกระเซ้าเย้าแหย่ที่ฟังแล้วทำให้ใจหวิวแต่ฟุรุคาวะทำเป็นไม่สนใจ พอแกะอาหารออกจากกล่องเขาก็ก้มหน้าก้มตากินจนอิ่มก่อนเพื่อน ล้างจานเสร็จก็คว้ากระเป๋าเดินแน่บไปที่ประตูทำเอาสองหนุ่มต้องรีบวางช้อนวิ่งตาม พอถึงโรงเรียนยังไม่ทันที่ซาคาโมโตะจะทันก้าวลงจากรถเด็กหนุ่มก็นำหน้าไปไกลแล้ว
“เขาโกรธอะไร” ซาคาโมโตะถามและพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอทำอะไรผิดไปบ้างหรือเปล่าแต่พอนึกดูแล้ว ตั้งแต่เช้านอกจากกล่าวอรุณสวัสดิ์กับถามเรื่องความฝันเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเด็กหนุ่มอีกเลย ทาคุเอนตัวไปทางพวงมาลัยรถสอดตามองข้ามเจ้านายไปที่ฟุรุคาวะ พอเห็นการเดินแบบจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลังแล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ
“แค่เขินน่ะ”
“เขินเรื่องอะไรแล้วนายรู้ได้ยังไง” อีกฝ่ายถามและหน้าแดงเมื่อเห็นสารถีหนุ่มมองเหมือนนึกไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนเดียงสาถึงขนาดนี้
“เป็นถึงผู้นำกินกิซึเนะแต่กลับไม่รู้นิสัยผู้หญิง อ่อนหัดจริงๆเลยนายเนี่ย” พูดพลางส่ายหน้าช้าๆอย่างผู้ทรงภูมิจนน่าหมั่นไส้ ซาคาโมโตะพยายามข่มใจไม่ให้ตัวเองเผลอถีบเพื่อนก่อนสวนคำกลับเสียงห้วน
“ฟุบุกิเป็นผู้ชาย!”
“แต่ข้างในไม่ใช่นี่หว่า นอนด้วยกันทุกคืนป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเป็นอะไรกันแน่” ย้อนกลับด้วยประโยคกวนประสาทและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงเปรียะจากมืออีกฝ่าย “เฮ้ยๆ อย่าบีบประตูแบบนั้นสิมันจะทำให้กระจกแตกไปด้วย”
“ถ้าเปลี่ยนจากกระจกเป็นกะโหลกนายคงไม่เป็นไรใช่ไหม” ซาคาโมโตะถามแถมยังขยับมือเหมือนจะทำแบบนั้นจริงๆ ทาคุตาเหลือกร้องห้าม
“อย่านะโว้ย!” พลขับจอมกวนยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้อง พอเห็นชายหนุ่มยังอยู่ในท่าเดิมเขาก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ให้ตายเถอะเล่นเอาฉันเสียววูบเลย”
“อย่างนายน่ะเหรอจะกลัวของแค่นี้” ซาคาโมโตะพูดอย่างรู้ทัน “จะบอกหรือยังว่านายรู้ได้ยังไง”
“สังเกตเอาน่ะ ฟุบุกิชอบแอบมองตอนนายเผลอและหน้าแดงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ๆ เรื่องเดินหนีนั่นก็เหมือนกันถ้าโกรธหรือเกลียดก็ต้องพูดแล้วว่า อย่าตามมานะ หรือไม่ก็ออกปากไล่เราสองคนออกจากห้องไปแล้ว”
“เขาอาจกลัวเลยไม่กล้าทำแบบนั้น” ทั้งที่ใจเต้นตึกตักกับเหตุผลก็ยังอดหาข้อมาแย้งไม่ได้ ทาคุสั่นศีรษะ
“ถ้ากลัวจริงคุณเธอคงเปิดหนีไปตั้งแต่วันแรกแล้ว อย่ามัวแต่ห่วงโน่นกังวลนี่เลยเคียวยะ ตามความเห็นของฉัน ฟุบุกิเริ่มมีใจกับนายแล้วปัญหาคือตัวนายเองต่างหาก ฉันขอถามตรงๆเลยนะว่านายรักเขาเพราะนั่นคือฟูจินหรือรักที่เป็นฟุรุคาวะ ฟุบุกิ”
ไม่เสียเวลาคิดแม้เสี้ยววินาที ซาคาโมโตะสวนคำตอบทันควัน
“ฉันรักทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเธอ” เขายืดตัวถอยออกห่าง “เจอกันตอนเย็น”
ชายหนุ่มหลังหันเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยไม่สนใจว่าเพื่อนรักจะพูดอะไรตอบกลับมา เขารู้ดีว่าในตอนแรกทาคุไม่เห็นด้วยกับความเชื่อที่ว่าฟุรุคาวะคือฟูจินกลับชาติมาเกิด จนกระทั่งสัมผัสพลังวิญญาณของนางที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวนั่นแหละจึงยอมรับ แต่ดูเหมือนจะยังทำใจในเรื่องเพศเดียวกันไม่ได้ซึ่งเขาไม่สน ขอเพียงเป็นคนที่เขารัก จะอยู่ในร่างของผู้หญิงหรือผู้ชายเขาก็ไม่แคร์
คิดพลางเดินพลางไปจนถึงห้องพอโผล่หน้าเข้าไปปุ๊บเด็กหนุ่มก็รีบหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางตกประหม่าของฟุรุคาวะทำให้ซาคาโมะโตะนึกยิ้มในใจ ทำเป็นเดินหนีแต่ก็คอยจ้องว่าเมื่อไหร่เขาจะมา พอเห็นหน้าก็รีบหลบ แสดงว่าหมอนี่กำลังเขินอย่างที่เจ้าทาคุบอก
งั้นต้องแกล้งอีกหน่อย
คิดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ พอเด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขาก็กระแอมเบาๆ
“เฮ้!”
ฟุรุคาวะสะดุ้งเฮือก ดวงหน้าสีชมพูระเรื่อเงยขึ้นพอสบเข้ากับตาของซาคาโมโตะเขาก็รีบก้มลงหลบปากบางซีดขยับถามห้วนๆเหมือนรำคาญ “อะไร”
“ฉันลืมดินสอไว้ที่บ้าน”
เด็กหนุ่มเม้มปากเพื่อแสดงความไม่พอใจแต่กลับหยิบดินสอส่งให้โดยไม่มองหน้า ซาคาโมโตะจึงแกล้งคว้ามือหมับและโน้มตัวลงกระซิบริมหู
“ขอบใจ” เรียวปากปัดผ่านแก้มอย่างจงใจและอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงซ่าน เด็กหนุ่มรีบดึงมือออกพร้อมกับพูด
“ได้แล้วก็กลับไปนั่งที่สิ”
ท่าทางเก้อเขินของเขาทำให้ซาคาโมโตะอยากแหย่ต่ออีกหน่อยแต่ถูกขัดด้วยเสียงของนักเรียนหญิงที่ยืนจ้องตาไม่กะพริบ
“หวานกันแต่เช้าเลยนะ” คนมัดจุกสองข้างพูดพลางกระโดดเข้าไปชะโงกหน้ามองใกล้ๆ “ตายแล้วพวกเราดูสิ! ฟุรุคาวะหน้าแดงแจ๋เลย”
“ไหนๆขอดูหน่อย” อีกคนเข้ามาสมทบแล้วทำเป็นปิดปากร้องกรี๊ดกร๊าด “จริงด้วย หน้าแดงขนาดนี้ต้องได้ยินอะไรมาแน่ๆ ฉันเดาว่าคงเป็นคำสารภาพรัก ใช่มั้ยคุณซาคาโมโตะ” ประโยคหลังเธอหันไปถามชายหนุ่ม เขายืนนิ่งไม่ตอบ ฟุรุคาวะซึ่งอายจนแทบจะมุดโต๊ะหนีอยู่แล้วเลยโพล่งออกมา
“ใช่ที่ไหนกันล่ะเขาแค่มาขอยืมดินสอเท่านั้น คิดบ้ากันไปได้” ตาเหลือบไปทางคนตัวสูงและใจเต้นเมื่อเห็นประกายแปลกๆเต้นวิบวับอยู่ในดวงตา เขารีบก้มหน้าลงหลบพร้อมกับบ่นพึมพำ “เจ้าบ้า”
ซาคาโมโตะมองอาการเขินอายของเด็กหนุ่มด้วยหัวใจพองโต อาจจะจริงอย่างที่ทาคุบอก ที่หลบหน้าไม่ใช่เพราะความเกลียดชังแต่จะเป็นอะไรนั้นเขายังไม่กล้าคิด สิ่งเดียวที่อยากทำเวลานี้คือขยี้ผมคนตัวเล็กกว่าด้วยความเอ็นดู มือยื่นออกไปตามใจคิดแต่ต้องชะงักค้างเมื่อนึกได้ว่ารอบตัวมีนักเรียนหญิงห้อมล้อมอยู่และพวกเธอกำลังส่งเสียงเชียร์ให้เขาจูบฟุรุคาวะ
น่ารำคาญเป็นบ้า
ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดพลางชำเลืองมองสาวๆด้วยดวงตาวาววับดุจนัยน์ตาเสือ ทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบและแยกย้ายกันกลับที่ ส่วนตัวซาคาโมโตะพอกำราบสาวๆเสร็จก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำทีเป็นหยิบหนังสือออกมากางแต่ตากลับเหลือบไปทางเด็กหนุ่มจนกระทั่งถึงเวลาเรียน
พอถึงตอนพักเที่ยงแทนที่จะไปโรงอาหารฟุรุคาวะกลับนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะ หลังจากนั่งมองจนแน่ใจว่าเด็กหนุ่มคงไม่ยอมขยับไปไหนแน่ซาคาโมโตะจึงก้าวพรวดไปคว้าข้อมือลากออกจากห้องโดยไม่สนใจอาการขัดขืนกับเสียงร้องโวยวาย
"ปล่อยฉันนะซาคาโมโตะ” ฟุรุคาวะสั่งขณะพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีมออกแต่มันกลับบีบแน่นขึ้น
“ไม่” ซาคาโมโตะปฏิเสธพอเด็กหนุ่มขืนตัวไม่ยอมเดินตามเขาจึงหยุดหันไปมองหน้า “คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยงั้นเหรอ เลือกเอาจะยอมเดินไปด้วยกันดีๆหรือให้ฉันอุ้มไป”
หน้าของฟุรุคาวะร้อนผ่าวถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่เลือกอะไรทั้งนั้น ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ฉันจะกลับห้อง”
“นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นถ้าฉันไม่อนุญาต” ซาคาโมโตะแกล้งใช้น้ำเสียงเหมือนตอนออกคำสั่งกับลูกน้องมือคลายออกหน่อยนึงแต่ยังไม่ยอมปล่อย “เราต้องไปโรงอาหารด้วยกัน”
“ฉันไม่หิว”
“แต่ฉันหิว” สวนกลับทันควันพลางดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปใกล้ๆ “ถ้าไม่ไปด้วยกันดีๆฉันจะกินนายเป็นอาหาร”
ไม่พูดเปล่ายังไล่สายตามองไปทั่วตัวและแลบลิ้นเสียปาก “ขาวแบบนี้เนื้อคงหวานน่าดู”
ฟุรุคาวะหน้าแดงไปถึงหู ถ้าคำพูดนี้หลุดจากปากของคาวาเบะเขาคงขยะแขยงจนแทบอ้วกแต่พอเป็นคำพูดของซาคาโมโตะ ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับร้อนวูบวาบเหมือนลิ้นของอีกฝ่ายกำลังลากเลียไปทั่วตัว
“ย อย่ามาพูดบ้าๆนะ!!” เขาร้องและสะบัดมืออย่างแรงจนหลุด “ฉันไปด้วยก็ได้แต่ต้องเร็วๆนะ”
ซาคาโมโตะยิ้มอย่างผู้มีชัย “ไม่ต้องห่วงฉันไม่ทำให้นายเสียเวลาหรอก”
ความที่ไม่อยากให้คนรักต้องหงุดหงิดชายหนุ่มจึงเลือกขนมปังกับนมเป็นมื้อเที่ยงซึ่งแน่นอนว่าเขาขอร้องแกมบังคับให้ฟุรุคาวะกินด้วย อิ่มแล้วทั้งคู่จึงกลับไปยังตึกเรียนระหว่างเดินไปด้วยกันก็เจอทากาอิซึ่งหอบหนังสือเดินสวนมาพอดี
สายใยรักจิ้งจอกพันปี (yaoi) บทที่ 13 ตุ๊กตาที่ถูกชักใย
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/34910335
บทที่ 13 ตุ๊กตาที่ถูกชักใย
เสียงสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตายดังมาจากบ้านคิตายามะ มันเป็นงานไว้อาลัยที่ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะนอกจากญาติทางฝ่ายภรรยาซึ่งน้อยจนนับคนได้กับเพื่อนที่เคยร่วมสังสรรค์ของนายคิตายามะแล้วก็ไม่มีใครอีก ญาติใกล้ชิดเพียงคนเดียวคือฟุรุคาวะซึ่งแม้จะเกลียดชังลุงกับป้ามาเพียงใดก็ยังจัดงานศพอย่างดีที่สุด และด้วยความช่วยเหลือของซาคาโมโตะ งานนั้นจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นแม้จะโดนบรรดาเจ้าหนี้ของลุงก่อกวนบ้าง แต่พอรู้ว่าเด็กหนุ่มอยู่ในความคุ้มครองของใครอันธพาลเหล่านั้นก็เผ่นป่าราบกันไปหมด
เสร็จสิ้นจากงานศพฟุรุคาวะก็กลับมาเรียนอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูสดชื่นกว่าแต่ก่อน กระนั้นเขาก็ยังคงเป็นคนเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นทาคุ ด้วยนิสัยขี้เล่นแถมยังสรรหาเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังได้ตลอดเวลา เด็กหนุ่มจึงสนิทกับเขามากกว่าซาคาโมโตะที่แม้จะหยอกเย้าบ้างเป็นบางครั้งสีหน้าท่าทางของเขาก็ยังดูน่าเกรงขาม ฟุรุคาวะจึงคิดเอาเองว่าอาจเป็นเพราะตำแหน่งบุตรชายหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลทำให้ไม่สามารถแสดงอะไรออกมาได้มากนอกจากความห่วงใยที่ฉายออกมาจากดวงตา
เห็นการมองแบบนั้นทีไรเป็นได้ใจสั่นทุกครั้งซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
การตายของลุงกับป้ามีผลในแง่บวกกับเด็กหนุ่มเพราะนับจากนั้นเขาฝันถึงพ่อกับแม่น้อยลง แต่สิ่งที่มาแทนที่กลับน่าตระหนกกว่าเพราะเกือบทุกคืนเขามักฝันเห็นตัวเองในเครื่องแต่งกายโบราณยืนอยู่บนสะพานโค้งหน้าเรือนหลังใหญ่และโดนผู้ชายผมยาวสีขาวเข้ามาสวมกอดพร้อมกับเรียกเขาว่า ฟูจิน ลงท้ายด้วยรสจูบอันดื่มด่ำและคงมีอะไรมากไปกว่านั้นหากไม่ตกใจตื่นขึ้นมาก่อน พอเจอซาคาโมโตะนอนอยู่ข้างๆแถมบางทียังกอดเขาด้วยแล้วก็ยิ่งใจคอไม่ดี แรกๆยังพอทนแต่พอเจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกันหลายครั้งเข้าเด็กหนุ่มก็ชักจะกลัวแล้วว่า ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงพลาดท่าเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายในฝันหรือคนที่นอนด้วยกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง จะออกปากไล่ก็ไม่กล้าเพราะนับตั้งแต่ซาคาโมโตะมาอยู่ด้วยนอกจากฝันร้ายจะลดลงแล้วพวกปิศาจก็แทบจะไม่โผล่มาให้เห็น รวมถึงเจ้าคาวาเบะที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนอยากจะปล้ำเขาเต็มแก่แต่พอเห็นคนเดินตามติดเป็นเงาแล้วเจ้าตัวร้ายจึงได้แต่ส่งสายตาอาฆาตอยู่ห่างๆ
เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและอะไรหลายอย่างเด็กหนุ่มจึงจำต้องยอมให้ชายหนุ่มอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าระหว่างตัวร้ายที่โรงเรียนกับคนร่วมห้องสิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน
พอมานั่งนึกให้ดีๆแล้วเขาคิดว่าน่าจะอันตรายพอกันทั้งคู่นั่นแหละ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงเคาะประตูของทาคุที่มาพร้อมกับมื้อเช้าและคำกระเซ้าเย้าแหย่ที่ฟังแล้วทำให้ใจหวิวแต่ฟุรุคาวะทำเป็นไม่สนใจ พอแกะอาหารออกจากกล่องเขาก็ก้มหน้าก้มตากินจนอิ่มก่อนเพื่อน ล้างจานเสร็จก็คว้ากระเป๋าเดินแน่บไปที่ประตูทำเอาสองหนุ่มต้องรีบวางช้อนวิ่งตาม พอถึงโรงเรียนยังไม่ทันที่ซาคาโมโตะจะทันก้าวลงจากรถเด็กหนุ่มก็นำหน้าไปไกลแล้ว
“เขาโกรธอะไร” ซาคาโมโตะถามและพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอทำอะไรผิดไปบ้างหรือเปล่าแต่พอนึกดูแล้ว ตั้งแต่เช้านอกจากกล่าวอรุณสวัสดิ์กับถามเรื่องความฝันเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเด็กหนุ่มอีกเลย ทาคุเอนตัวไปทางพวงมาลัยรถสอดตามองข้ามเจ้านายไปที่ฟุรุคาวะ พอเห็นการเดินแบบจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลังแล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ
“แค่เขินน่ะ”
“เขินเรื่องอะไรแล้วนายรู้ได้ยังไง” อีกฝ่ายถามและหน้าแดงเมื่อเห็นสารถีหนุ่มมองเหมือนนึกไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนเดียงสาถึงขนาดนี้
“เป็นถึงผู้นำกินกิซึเนะแต่กลับไม่รู้นิสัยผู้หญิง อ่อนหัดจริงๆเลยนายเนี่ย” พูดพลางส่ายหน้าช้าๆอย่างผู้ทรงภูมิจนน่าหมั่นไส้ ซาคาโมโตะพยายามข่มใจไม่ให้ตัวเองเผลอถีบเพื่อนก่อนสวนคำกลับเสียงห้วน
“ฟุบุกิเป็นผู้ชาย!”
“แต่ข้างในไม่ใช่นี่หว่า นอนด้วยกันทุกคืนป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเป็นอะไรกันแน่” ย้อนกลับด้วยประโยคกวนประสาทและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงเปรียะจากมืออีกฝ่าย “เฮ้ยๆ อย่าบีบประตูแบบนั้นสิมันจะทำให้กระจกแตกไปด้วย”
“ถ้าเปลี่ยนจากกระจกเป็นกะโหลกนายคงไม่เป็นไรใช่ไหม” ซาคาโมโตะถามแถมยังขยับมือเหมือนจะทำแบบนั้นจริงๆ ทาคุตาเหลือกร้องห้าม
“อย่านะโว้ย!” พลขับจอมกวนยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้อง พอเห็นชายหนุ่มยังอยู่ในท่าเดิมเขาก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ให้ตายเถอะเล่นเอาฉันเสียววูบเลย”
“อย่างนายน่ะเหรอจะกลัวของแค่นี้” ซาคาโมโตะพูดอย่างรู้ทัน “จะบอกหรือยังว่านายรู้ได้ยังไง”
“สังเกตเอาน่ะ ฟุบุกิชอบแอบมองตอนนายเผลอและหน้าแดงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ๆ เรื่องเดินหนีนั่นก็เหมือนกันถ้าโกรธหรือเกลียดก็ต้องพูดแล้วว่า อย่าตามมานะ หรือไม่ก็ออกปากไล่เราสองคนออกจากห้องไปแล้ว”
“เขาอาจกลัวเลยไม่กล้าทำแบบนั้น” ทั้งที่ใจเต้นตึกตักกับเหตุผลก็ยังอดหาข้อมาแย้งไม่ได้ ทาคุสั่นศีรษะ
“ถ้ากลัวจริงคุณเธอคงเปิดหนีไปตั้งแต่วันแรกแล้ว อย่ามัวแต่ห่วงโน่นกังวลนี่เลยเคียวยะ ตามความเห็นของฉัน ฟุบุกิเริ่มมีใจกับนายแล้วปัญหาคือตัวนายเองต่างหาก ฉันขอถามตรงๆเลยนะว่านายรักเขาเพราะนั่นคือฟูจินหรือรักที่เป็นฟุรุคาวะ ฟุบุกิ”
ไม่เสียเวลาคิดแม้เสี้ยววินาที ซาคาโมโตะสวนคำตอบทันควัน
“ฉันรักทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเธอ” เขายืดตัวถอยออกห่าง “เจอกันตอนเย็น”
ชายหนุ่มหลังหันเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยไม่สนใจว่าเพื่อนรักจะพูดอะไรตอบกลับมา เขารู้ดีว่าในตอนแรกทาคุไม่เห็นด้วยกับความเชื่อที่ว่าฟุรุคาวะคือฟูจินกลับชาติมาเกิด จนกระทั่งสัมผัสพลังวิญญาณของนางที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวนั่นแหละจึงยอมรับ แต่ดูเหมือนจะยังทำใจในเรื่องเพศเดียวกันไม่ได้ซึ่งเขาไม่สน ขอเพียงเป็นคนที่เขารัก จะอยู่ในร่างของผู้หญิงหรือผู้ชายเขาก็ไม่แคร์
คิดพลางเดินพลางไปจนถึงห้องพอโผล่หน้าเข้าไปปุ๊บเด็กหนุ่มก็รีบหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางตกประหม่าของฟุรุคาวะทำให้ซาคาโมะโตะนึกยิ้มในใจ ทำเป็นเดินหนีแต่ก็คอยจ้องว่าเมื่อไหร่เขาจะมา พอเห็นหน้าก็รีบหลบ แสดงว่าหมอนี่กำลังเขินอย่างที่เจ้าทาคุบอก
งั้นต้องแกล้งอีกหน่อย
คิดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ พอเด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขาก็กระแอมเบาๆ
“เฮ้!”
ฟุรุคาวะสะดุ้งเฮือก ดวงหน้าสีชมพูระเรื่อเงยขึ้นพอสบเข้ากับตาของซาคาโมโตะเขาก็รีบก้มลงหลบปากบางซีดขยับถามห้วนๆเหมือนรำคาญ “อะไร”
“ฉันลืมดินสอไว้ที่บ้าน”
เด็กหนุ่มเม้มปากเพื่อแสดงความไม่พอใจแต่กลับหยิบดินสอส่งให้โดยไม่มองหน้า ซาคาโมโตะจึงแกล้งคว้ามือหมับและโน้มตัวลงกระซิบริมหู
“ขอบใจ” เรียวปากปัดผ่านแก้มอย่างจงใจและอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงซ่าน เด็กหนุ่มรีบดึงมือออกพร้อมกับพูด
“ได้แล้วก็กลับไปนั่งที่สิ”
ท่าทางเก้อเขินของเขาทำให้ซาคาโมโตะอยากแหย่ต่ออีกหน่อยแต่ถูกขัดด้วยเสียงของนักเรียนหญิงที่ยืนจ้องตาไม่กะพริบ
“หวานกันแต่เช้าเลยนะ” คนมัดจุกสองข้างพูดพลางกระโดดเข้าไปชะโงกหน้ามองใกล้ๆ “ตายแล้วพวกเราดูสิ! ฟุรุคาวะหน้าแดงแจ๋เลย”
“ไหนๆขอดูหน่อย” อีกคนเข้ามาสมทบแล้วทำเป็นปิดปากร้องกรี๊ดกร๊าด “จริงด้วย หน้าแดงขนาดนี้ต้องได้ยินอะไรมาแน่ๆ ฉันเดาว่าคงเป็นคำสารภาพรัก ใช่มั้ยคุณซาคาโมโตะ” ประโยคหลังเธอหันไปถามชายหนุ่ม เขายืนนิ่งไม่ตอบ ฟุรุคาวะซึ่งอายจนแทบจะมุดโต๊ะหนีอยู่แล้วเลยโพล่งออกมา
“ใช่ที่ไหนกันล่ะเขาแค่มาขอยืมดินสอเท่านั้น คิดบ้ากันไปได้” ตาเหลือบไปทางคนตัวสูงและใจเต้นเมื่อเห็นประกายแปลกๆเต้นวิบวับอยู่ในดวงตา เขารีบก้มหน้าลงหลบพร้อมกับบ่นพึมพำ “เจ้าบ้า”
ซาคาโมโตะมองอาการเขินอายของเด็กหนุ่มด้วยหัวใจพองโต อาจจะจริงอย่างที่ทาคุบอก ที่หลบหน้าไม่ใช่เพราะความเกลียดชังแต่จะเป็นอะไรนั้นเขายังไม่กล้าคิด สิ่งเดียวที่อยากทำเวลานี้คือขยี้ผมคนตัวเล็กกว่าด้วยความเอ็นดู มือยื่นออกไปตามใจคิดแต่ต้องชะงักค้างเมื่อนึกได้ว่ารอบตัวมีนักเรียนหญิงห้อมล้อมอยู่และพวกเธอกำลังส่งเสียงเชียร์ให้เขาจูบฟุรุคาวะ
น่ารำคาญเป็นบ้า
ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดพลางชำเลืองมองสาวๆด้วยดวงตาวาววับดุจนัยน์ตาเสือ ทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบและแยกย้ายกันกลับที่ ส่วนตัวซาคาโมโตะพอกำราบสาวๆเสร็จก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำทีเป็นหยิบหนังสือออกมากางแต่ตากลับเหลือบไปทางเด็กหนุ่มจนกระทั่งถึงเวลาเรียน
พอถึงตอนพักเที่ยงแทนที่จะไปโรงอาหารฟุรุคาวะกลับนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะ หลังจากนั่งมองจนแน่ใจว่าเด็กหนุ่มคงไม่ยอมขยับไปไหนแน่ซาคาโมโตะจึงก้าวพรวดไปคว้าข้อมือลากออกจากห้องโดยไม่สนใจอาการขัดขืนกับเสียงร้องโวยวาย
"ปล่อยฉันนะซาคาโมโตะ” ฟุรุคาวะสั่งขณะพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีมออกแต่มันกลับบีบแน่นขึ้น
“ไม่” ซาคาโมโตะปฏิเสธพอเด็กหนุ่มขืนตัวไม่ยอมเดินตามเขาจึงหยุดหันไปมองหน้า “คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยงั้นเหรอ เลือกเอาจะยอมเดินไปด้วยกันดีๆหรือให้ฉันอุ้มไป”
หน้าของฟุรุคาวะร้อนผ่าวถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่เลือกอะไรทั้งนั้น ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ฉันจะกลับห้อง”
“นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นถ้าฉันไม่อนุญาต” ซาคาโมโตะแกล้งใช้น้ำเสียงเหมือนตอนออกคำสั่งกับลูกน้องมือคลายออกหน่อยนึงแต่ยังไม่ยอมปล่อย “เราต้องไปโรงอาหารด้วยกัน”
“ฉันไม่หิว”
“แต่ฉันหิว” สวนกลับทันควันพลางดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปใกล้ๆ “ถ้าไม่ไปด้วยกันดีๆฉันจะกินนายเป็นอาหาร”
ไม่พูดเปล่ายังไล่สายตามองไปทั่วตัวและแลบลิ้นเสียปาก “ขาวแบบนี้เนื้อคงหวานน่าดู”
ฟุรุคาวะหน้าแดงไปถึงหู ถ้าคำพูดนี้หลุดจากปากของคาวาเบะเขาคงขยะแขยงจนแทบอ้วกแต่พอเป็นคำพูดของซาคาโมโตะ ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับร้อนวูบวาบเหมือนลิ้นของอีกฝ่ายกำลังลากเลียไปทั่วตัว
“ย อย่ามาพูดบ้าๆนะ!!” เขาร้องและสะบัดมืออย่างแรงจนหลุด “ฉันไปด้วยก็ได้แต่ต้องเร็วๆนะ”
ซาคาโมโตะยิ้มอย่างผู้มีชัย “ไม่ต้องห่วงฉันไม่ทำให้นายเสียเวลาหรอก”
ความที่ไม่อยากให้คนรักต้องหงุดหงิดชายหนุ่มจึงเลือกขนมปังกับนมเป็นมื้อเที่ยงซึ่งแน่นอนว่าเขาขอร้องแกมบังคับให้ฟุรุคาวะกินด้วย อิ่มแล้วทั้งคู่จึงกลับไปยังตึกเรียนระหว่างเดินไปด้วยกันก็เจอทากาอิซึ่งหอบหนังสือเดินสวนมาพอดี