บทที่ 1-2
http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5
http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน
ขณะที่ซาคาโมโตะกำลังจัดการกับเรื่องยุ่งระหว่างกลุ่มฟุรุคาวะเองก็ประสบกับปัญหาหนักเช่นเดียวกันต่างเพียงไม่ใช่การทะเลาะวิวาทหากเป็นความสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาเอง
ตอนเลี่ยงจากซาคาโมโตะเด็กหนุ่มก็เดินจ้ำอ้าวอย่างไม่เหลียวหลังแต่พอพ้นประตูรั้วโรงเรียนกลับอดชำเลืองตามองกลับไปไม่ได้ครั้นเห็นอีกฝ่ายก้าวขึ้นรถเขาก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ส่วนลึกภายในทรวงด้านซ้ายกลับปวดแปลบด้วยผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่ยอมเดินตามเหมือนอย่างเคย
เอ๋ ? ผิดหวังอย่างนั้นหรือ ฟุรุคาวะถามตัวเองด้วยความฉงนพร้อมกับเม้มปากแน่น ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแถมยังโดนหมอนั่นแกล้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าแล้วทำไมเขาต้องรู้สึกอะไรอย่างนั้นด้วย คิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด บางทีการที่เขาเป็นแบบนี้ก็เนื่องมาจากความช่วยเหลือเมื่อเย็นวานซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาควรนึกถึงชายคนนั้นในแง่ของการสำนึกบุญคุณไม่ใช่การถวิลหาบ้าบอชวนขนลุก เด็กหนุ่มสะบัดหัวเพื่อไล่เรื่องของซาคาโมโตะออกจากหัวซึ่งได้ผลเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นพอเดินไปอีกสองก้าวภาพของยากูซ่าหนุ่มก็วกกลับเข้ามา การมองด้วยแววตาที่ส่อความนัยบางอย่างทำให้ฟุรุคาวะร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
หรือหมอนี่เป็นเกย์ ?!
ความเย็นวิ่งไล่ตั้งแต่เส้นผมไปจนจรดปลายเท้า งั้นที่หมอนั่นทำเป็นเข้ามาตีสนิทก็เพื่อเรื่องอย่างว่าสินะจะต่างจากคาวาเบะก็ตรงการแสดงออก คนแรกตั้งใจปลุกปล้ำเขาด้วยกำลังส่วนซาคาโมโตะคอยให้ความช่วยเหลือและมองด้วยความห่วงใยตลอดเวลา นั่นเองที่ทำให้ฟุรุคาวะไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงความประหวั่นเล็กๆในส่วนลึกของจิตใจซึ่งเขาเองก็พยายามหาสาเหตุว่าทำไมจึงรู้สึกอย่างนั้น เด็กหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ว่าขาทั้งสองพาไปถึงไหนและทำอะไรไปแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขากำลังยืนอยู่อยู่หน้าห้อง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนกับถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อส่วนอีกมือถือกุญแจ
นี่เขาหมกมุ่นอยู่กับซาคาโมโตะจนลืมสนใจเรื่องรอบตัวไปเลยหรือนี่ ฟุรุคาวะคิดและยิ้มให้กับตัวเองอย่างนึกสมเพชก่อนไขกุญแจ พอเข้าห้องเขาก็ทำกิจวัตรเดิมๆคือทำการบ้าน อาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือเพื่อทบทวนการเรียนจากนั้นจึงเข้านอน ซึ่งก็เป็นเช่นทุกวันคือเขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ จึงได้แต่นอนลืมตามองเพดานห้องหูก็คอยฟังสรรพเสียงรอบตัว
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เข็มวินาทีของนาฬิกาบนโต๊ะส่งเสียงเบาๆอย่างสม่ำเสมอขณะที่มันกระดิกไปทีละนิด ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้วแต่สำหรับฟุรุคาวะ เสียงนี้เหมือนเพื่อนที่กำลังพูดคุยกับเขาในยามราตรี หากไม่มีมันเขาคงจมลงสู่ความฝันอันเลวร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่ทุกคืน
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเด็กหนุ่มไม่สนใจ เขายังคงนอนเบิกตาโพลงจ้องเพดานอยู่ในความมืด ไม่นานมันก็เริ่มเกิดภาพหลอนเป็นสัตว์ประหลาดและภูตร้ายต่างๆนาๆ พวกมันกำลังจ้องตรงมายังเขาและเริ่มยื่นแขนลงมาทีละนิด นิ้วแข็งเกร็งราวกิ่งไม้แห้งทั้งห้าขยับเคลื่อนไหวดุจแมงมุม
“มาหาเราเถอะ” เสียงแผ่วพร่ากระซิบข้างหูขณะที่มือสยองเลื่อนใกล้เข้ามาทีละน้อย “โลกนี้มันไม่สวยงามเลยสักนิด มาอยู่กับพวกเราเถอะฟุรุคาวะ”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คนอื่นรู้สึกยังไง สำหรับเขามันเป็นภาพซ้ำซากน่าเบื่อที่เห็นเป็นประจำทุกค่ำคืน พอปิดไฟทุกดวงปุ๊บมันก็โผล่มาปั๊บ ส่งเสียงร้องเรียกพร้อมกับยื่นมือลงมาหาแต่ไม่เคยถึงตัวเลยสักครั้ง แรกๆเขากลัวจนแทบเสียสติแต่พอนานวันมันก็ชาชินจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนการ์ตูนอนิเมะ รำคาญมากๆเข้าเด็กหนุ่มก็ตัดปัญหาด้วยการปิดตาแต่พอเผลอหลับเขากลับถูกหลอกหลอนด้วยภาพรถยนต์ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวเพลิงและทนทรมานอยู่กับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคนที่ถูกไฟครอกทั้งเป็น เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเห็นสิ่งเหล่านั้นฟุรุคาวะจึงจำต้องมองตัวประหลาดที่โผล่ออกมาจากเพดาน อย่างน้อยมันก็ดีกว่าภาพในฝัน เด็กหนุ่มนึกขณะจ้องมือของผีตัวหนึ่งที่ยืดยาวลงมา เขาไม่เคยกลัวสิ่งเหล่านี้เลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอนที่ไม่มีวันทำอะไรเขาได้
สัมผัสเย็นจัดดุจน้ำแข็งทำให้ฟุรุคาวะสะดุ้งสุดตัวพอชำเลืองมองทางหางตาและใจหายวาบเมื่อเห็นนิ้วสีดำมะเมื่อมกำลังไล้อยู่บนแก้ม ไม่เพียงเท่านั้นพวกที่เหลือยังยืดตัวลงมากดร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ยอมให้ขยับ เป็นไปไม่ได้ ฟุรุคาวะคิดอย่างตระหนก เจ้าพวกนี้เป็นแค่ภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นไม่ใช่เหรอ เหมือนความคิดนั้นลอยเข้าหูเจ้าของมือปีศาจ มันยื่นหน้าลงมาจนเกือบชิดและฉีกยิ้มกว้าง
“พวกเรามีจริง” มืออีกข้างกำรอบคอเด็กหนุ่ม “ได้เวลาของแกแล้ว ฟุรุคาวะ ฟูบูกิ”
นิ้วทั้งห้ารัดลำคอแน่นจนหายใจไม่ออก ฟุรุคาวะพยายามขัดขืนดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของพวกปิศาจได้ เขาอ้าปากเพื่อขอความช่วยเหลือแต่หลอดลมถูกรัดจนไม่อาจปล่อยเสียงออกจากลำคอ ก่อนที่ลมหายใจจะถูกปลิดปลิวพลันเกิดเสียงคำรามของสัตว์ดังกึกก้อง มองจากปลายตาก็เห็นแสงประหลาดสีขาวสว่างวาบออกมาจากกระเป๋าที่วางไว้ข้างโต๊ะ มันรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างก่อนกระโจนเข้าใส่ปิศาจตัวที่กำลังทำร้ายฟุรุคาวะ มันคลายมือที่บีบคอไว้ออกเพื่อหันไปตอบโต้แต่พอเห็นชัดว่าไฟสีเงินนั้นคืออะไรความดุร้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
“กินกิซึเนะ” เสียงร้องเต็มไปด้วยความยำเกรงระคนหวาดหวั่นขณะที่พวกมันทั้งหมดเริ่มถดหนี “กินกิซึเนะ!”
ไฟสีเงินพุ่งเข้าใส่ปีศาจตัวที่ทำร้ายฟุรุคาวะ มันส่งเสียงกรี๊ดลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนแตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อตัวหนึ่งถูกทำลายพวกที่เหลือต่างก็รีบหนีกันจ้าละหวั่นเพดานที่เคยเนืองแน่นไปด้วยอสุรกายว่างเปล่าในพริบตา พอเป็นอิสระเด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับดันตัวเพื่อลุกแต่ร่างกายกลับแข็งขืนไม่ยอมขยับจังหวะเดียวกันนั้นไฟสีเงินก็เลื่อนลอยมาหยุดตรงหน้าทำให้ฟุราคาวะต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกเพราะคิดว่ามันจะเข้ามาทำร้ายแต่ผิดคาด ไฟดวงนั้นกลับลดความเจิดจ้าลงจนพอจะดูออกว่ามันคืออะไร แม้เป็นภาพพร่าเลือนเหมือนเงาสะท้อนบนผิวน้ำเด็กหนุ่มก็ยังมองออกว่ามันคือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ
“กินกิซึเนะ” เขาพึมพำและหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ปลอดภัยแล้วนะ” จิ้งจอกตัวน้อยเลื่อนต่ำลงมา ดวงตาสีแดงจัดดุจเหล็กในเตาหลอมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจ้องมองมาอย่างห่วงใย เท้าเล็กๆของมันแตะที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม “ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีใครเข้ามาทำร้ายเจ้าได้อีก ดังนั้นจงหลับให้สบาย”
“แต่ฉันไม่อยากหลับ” ฟุรุคาวะแย้งเพราะไม่อยากพบกับฝันร้ายที่ต้องเจออยู่ทุกคืน จิ้งจอกสีเงินโน้มศีรษะสัมผัสเปลือกตาทั้งคู่ด้วยปลายจมูก
“ไม่ต้องกลัว คืนนี้เจ้าจะพบแต่ฝันดี”
สติสัมปชัญญะดับลงพร้อมกับคำพูดสุดท้าย เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกลากให้จมดิ่งลงไปในความมืด มันเป็นความมืดที่แสนอบอุ่นเปรียบประดุจอ้อมกอดของใครบางคนผู้ซึ่งทั้งงามสง่าและแข็งแกร่ง คนที่เขาเฝ้ารอมานาน
ใครกันนะ ?
ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วเค้นสมองคิด ทั้งที่คุ้นกับชายคนนั้นเหลือเกินแต่ภาพในความทรงจำกลับพร่าเลือนจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร
“ฟูจิน”
ชื่อนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพลางหมุนศีรษะเพื่อหาคนเรียกแต่รอบกายกลับมีเพียงความมืดกับแสงของคบไฟที่ปักไว้เป็นระยะ แสงวับแวมของมันช่วยทำให้เห็นอะไรขึ้นมาบ้างแม้ไม่ชัดนักแต่ก็ยังดีกว่าอยู่ในความมืด
แต่เดี๋ยว คบไฟอย่างนั้นหรือ !? ฟุรุคาวะฉุกคิดด้วยความประหลาดใจ นับตั้งแต่เกิดเรื่องความฝันของเขาจะวนเวียนอยู่กับภาพอุบัติเหตุ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีอย่างอื่นแทรกเข้ามาซึ่งเด็กหนุ่มเชื่อแน่ว่าคงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดภาพพ่อแม่ท่ามกลางกองไฟก็จะผุดขึ้นมาเหมือนเดิม
“ไม่หรอก”
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งแต่ใกล้กว่ามาก ภาพรอบตัวกระจ่างขึ้นมาอีกนิดจนมองเห็นเงาเลือนคล้ายบ้านหรือศาลเจ้าขนาดใหญ่ความอยากรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ยิ่งก้าวเด็กหนุ่มก็ยิ่งแปลกใจเพราะพื้นที่ควรจะราบเรียบกลับค่อยๆนูนสูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเนิน ราวกับรู้ความในใจ คบไฟข้างตัวพลันปะทุวาบขึ้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ฟุรุคาวะรีบก้มลงสำรวจจึงรู้ว่าตรงที่เขากำลังยืนอยู่ไม่ใช่เนินดินแต่เป็นสะพานไม้สีแดงรูปครึ่งวงกลมที่ทอดตัวโค้งเหนือธารน้ำเล็กๆ
“นี่มันที่ไหนกันแน่” เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆ เสียงน้ำแตกกระจายดังซ่าใต้เท้าทำให้เขาสะดุ้งด้วยความตกใจ พอก้มหน้าลงมองจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงคือปลาโค่ยสีทองตัวใหญ่ เขาจึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนหัวเราะกับตัวเอง
“เป็นคนตาขาวไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยเรา”
พูดพลางยกมือขึ้นเพื่อเสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าพอเห็นแขนเสื้อขนาดใหญ่มีริบบิ้นร้อยที่ขอบเท่านั้นดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างเขารีบก้มลงมองชุดของตัวเองและต้องพบกับความตระหนก เพราะแทนที่จะเป็นเสื้อกับกางเกงที่สวมก่อนเข้านอนมันกลับเป็นชุดโบราณที่รุ่มร่ามกรุยกราย
“นี่มันอะไรกัน !” อุทานด้วยความงุนงงในขณะเดียวกันก็พยายามนึกว่าเหตุใดเขาจึงอยู่ในชุดนั้น จะบอกว่าเป็นผลพวงของความฝันก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเขาไม่เคยสนใจเครื่องแต่งกายในยุคโบราณมาก่อนและตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพเดียวที่ปรากฏในมโนสำนึกคืออุบัติเหตุกับเสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่ที่ตกอยู่ในกองเพลิง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้มันคืออะไร ช่วงกำลังหาที่มาของเสื้อผ้าอยู่นั้นฟุรุคาวะต้องพบกับความตกใจอีกครั้งเมื่อมีลมหายใจอุ่นๆมากระทบกับใบหูพร้อมด้วยเสียงกระซิบ
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เขาหมุนตัวหันกลับไปมองและต้องผงะถอยหลังเมื่อพบกับร่างสูงสง่าของผู้ชายคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายโบราณเช่นเดียวกัน น่าแปลกตรงในตอนแรกบริเวณใบหน้าของเขามีหมอกจางๆคลุมเอาไว้แต่พอฟุรุคาวะนึกถามในใจหมอกที่ว่าก็คลายออกเผยให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“ซาคาโมโตะ”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี(Yaoi) บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน
ขณะที่ซาคาโมโตะกำลังจัดการกับเรื่องยุ่งระหว่างกลุ่มฟุรุคาวะเองก็ประสบกับปัญหาหนักเช่นเดียวกันต่างเพียงไม่ใช่การทะเลาะวิวาทหากเป็นความสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาเอง
ตอนเลี่ยงจากซาคาโมโตะเด็กหนุ่มก็เดินจ้ำอ้าวอย่างไม่เหลียวหลังแต่พอพ้นประตูรั้วโรงเรียนกลับอดชำเลืองตามองกลับไปไม่ได้ครั้นเห็นอีกฝ่ายก้าวขึ้นรถเขาก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ส่วนลึกภายในทรวงด้านซ้ายกลับปวดแปลบด้วยผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่ยอมเดินตามเหมือนอย่างเคย
เอ๋ ? ผิดหวังอย่างนั้นหรือ ฟุรุคาวะถามตัวเองด้วยความฉงนพร้อมกับเม้มปากแน่น ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแถมยังโดนหมอนั่นแกล้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าแล้วทำไมเขาต้องรู้สึกอะไรอย่างนั้นด้วย คิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด บางทีการที่เขาเป็นแบบนี้ก็เนื่องมาจากความช่วยเหลือเมื่อเย็นวานซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาควรนึกถึงชายคนนั้นในแง่ของการสำนึกบุญคุณไม่ใช่การถวิลหาบ้าบอชวนขนลุก เด็กหนุ่มสะบัดหัวเพื่อไล่เรื่องของซาคาโมโตะออกจากหัวซึ่งได้ผลเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นพอเดินไปอีกสองก้าวภาพของยากูซ่าหนุ่มก็วกกลับเข้ามา การมองด้วยแววตาที่ส่อความนัยบางอย่างทำให้ฟุรุคาวะร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
หรือหมอนี่เป็นเกย์ ?!
ความเย็นวิ่งไล่ตั้งแต่เส้นผมไปจนจรดปลายเท้า งั้นที่หมอนั่นทำเป็นเข้ามาตีสนิทก็เพื่อเรื่องอย่างว่าสินะจะต่างจากคาวาเบะก็ตรงการแสดงออก คนแรกตั้งใจปลุกปล้ำเขาด้วยกำลังส่วนซาคาโมโตะคอยให้ความช่วยเหลือและมองด้วยความห่วงใยตลอดเวลา นั่นเองที่ทำให้ฟุรุคาวะไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงความประหวั่นเล็กๆในส่วนลึกของจิตใจซึ่งเขาเองก็พยายามหาสาเหตุว่าทำไมจึงรู้สึกอย่างนั้น เด็กหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ว่าขาทั้งสองพาไปถึงไหนและทำอะไรไปแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขากำลังยืนอยู่อยู่หน้าห้อง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนกับถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อส่วนอีกมือถือกุญแจ
นี่เขาหมกมุ่นอยู่กับซาคาโมโตะจนลืมสนใจเรื่องรอบตัวไปเลยหรือนี่ ฟุรุคาวะคิดและยิ้มให้กับตัวเองอย่างนึกสมเพชก่อนไขกุญแจ พอเข้าห้องเขาก็ทำกิจวัตรเดิมๆคือทำการบ้าน อาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือเพื่อทบทวนการเรียนจากนั้นจึงเข้านอน ซึ่งก็เป็นเช่นทุกวันคือเขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ จึงได้แต่นอนลืมตามองเพดานห้องหูก็คอยฟังสรรพเสียงรอบตัว
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เข็มวินาทีของนาฬิกาบนโต๊ะส่งเสียงเบาๆอย่างสม่ำเสมอขณะที่มันกระดิกไปทีละนิด ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้วแต่สำหรับฟุรุคาวะ เสียงนี้เหมือนเพื่อนที่กำลังพูดคุยกับเขาในยามราตรี หากไม่มีมันเขาคงจมลงสู่ความฝันอันเลวร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่ทุกคืน
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเด็กหนุ่มไม่สนใจ เขายังคงนอนเบิกตาโพลงจ้องเพดานอยู่ในความมืด ไม่นานมันก็เริ่มเกิดภาพหลอนเป็นสัตว์ประหลาดและภูตร้ายต่างๆนาๆ พวกมันกำลังจ้องตรงมายังเขาและเริ่มยื่นแขนลงมาทีละนิด นิ้วแข็งเกร็งราวกิ่งไม้แห้งทั้งห้าขยับเคลื่อนไหวดุจแมงมุม
“มาหาเราเถอะ” เสียงแผ่วพร่ากระซิบข้างหูขณะที่มือสยองเลื่อนใกล้เข้ามาทีละน้อย “โลกนี้มันไม่สวยงามเลยสักนิด มาอยู่กับพวกเราเถอะฟุรุคาวะ”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คนอื่นรู้สึกยังไง สำหรับเขามันเป็นภาพซ้ำซากน่าเบื่อที่เห็นเป็นประจำทุกค่ำคืน พอปิดไฟทุกดวงปุ๊บมันก็โผล่มาปั๊บ ส่งเสียงร้องเรียกพร้อมกับยื่นมือลงมาหาแต่ไม่เคยถึงตัวเลยสักครั้ง แรกๆเขากลัวจนแทบเสียสติแต่พอนานวันมันก็ชาชินจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนการ์ตูนอนิเมะ รำคาญมากๆเข้าเด็กหนุ่มก็ตัดปัญหาด้วยการปิดตาแต่พอเผลอหลับเขากลับถูกหลอกหลอนด้วยภาพรถยนต์ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวเพลิงและทนทรมานอยู่กับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคนที่ถูกไฟครอกทั้งเป็น เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเห็นสิ่งเหล่านั้นฟุรุคาวะจึงจำต้องมองตัวประหลาดที่โผล่ออกมาจากเพดาน อย่างน้อยมันก็ดีกว่าภาพในฝัน เด็กหนุ่มนึกขณะจ้องมือของผีตัวหนึ่งที่ยืดยาวลงมา เขาไม่เคยกลัวสิ่งเหล่านี้เลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอนที่ไม่มีวันทำอะไรเขาได้
สัมผัสเย็นจัดดุจน้ำแข็งทำให้ฟุรุคาวะสะดุ้งสุดตัวพอชำเลืองมองทางหางตาและใจหายวาบเมื่อเห็นนิ้วสีดำมะเมื่อมกำลังไล้อยู่บนแก้ม ไม่เพียงเท่านั้นพวกที่เหลือยังยืดตัวลงมากดร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ยอมให้ขยับ เป็นไปไม่ได้ ฟุรุคาวะคิดอย่างตระหนก เจ้าพวกนี้เป็นแค่ภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นไม่ใช่เหรอ เหมือนความคิดนั้นลอยเข้าหูเจ้าของมือปีศาจ มันยื่นหน้าลงมาจนเกือบชิดและฉีกยิ้มกว้าง
“พวกเรามีจริง” มืออีกข้างกำรอบคอเด็กหนุ่ม “ได้เวลาของแกแล้ว ฟุรุคาวะ ฟูบูกิ”
นิ้วทั้งห้ารัดลำคอแน่นจนหายใจไม่ออก ฟุรุคาวะพยายามขัดขืนดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของพวกปิศาจได้ เขาอ้าปากเพื่อขอความช่วยเหลือแต่หลอดลมถูกรัดจนไม่อาจปล่อยเสียงออกจากลำคอ ก่อนที่ลมหายใจจะถูกปลิดปลิวพลันเกิดเสียงคำรามของสัตว์ดังกึกก้อง มองจากปลายตาก็เห็นแสงประหลาดสีขาวสว่างวาบออกมาจากกระเป๋าที่วางไว้ข้างโต๊ะ มันรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างก่อนกระโจนเข้าใส่ปิศาจตัวที่กำลังทำร้ายฟุรุคาวะ มันคลายมือที่บีบคอไว้ออกเพื่อหันไปตอบโต้แต่พอเห็นชัดว่าไฟสีเงินนั้นคืออะไรความดุร้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
“กินกิซึเนะ” เสียงร้องเต็มไปด้วยความยำเกรงระคนหวาดหวั่นขณะที่พวกมันทั้งหมดเริ่มถดหนี “กินกิซึเนะ!”
ไฟสีเงินพุ่งเข้าใส่ปีศาจตัวที่ทำร้ายฟุรุคาวะ มันส่งเสียงกรี๊ดลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนแตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อตัวหนึ่งถูกทำลายพวกที่เหลือต่างก็รีบหนีกันจ้าละหวั่นเพดานที่เคยเนืองแน่นไปด้วยอสุรกายว่างเปล่าในพริบตา พอเป็นอิสระเด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับดันตัวเพื่อลุกแต่ร่างกายกลับแข็งขืนไม่ยอมขยับจังหวะเดียวกันนั้นไฟสีเงินก็เลื่อนลอยมาหยุดตรงหน้าทำให้ฟุราคาวะต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกเพราะคิดว่ามันจะเข้ามาทำร้ายแต่ผิดคาด ไฟดวงนั้นกลับลดความเจิดจ้าลงจนพอจะดูออกว่ามันคืออะไร แม้เป็นภาพพร่าเลือนเหมือนเงาสะท้อนบนผิวน้ำเด็กหนุ่มก็ยังมองออกว่ามันคือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ
“กินกิซึเนะ” เขาพึมพำและหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ปลอดภัยแล้วนะ” จิ้งจอกตัวน้อยเลื่อนต่ำลงมา ดวงตาสีแดงจัดดุจเหล็กในเตาหลอมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจ้องมองมาอย่างห่วงใย เท้าเล็กๆของมันแตะที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม “ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีใครเข้ามาทำร้ายเจ้าได้อีก ดังนั้นจงหลับให้สบาย”
“แต่ฉันไม่อยากหลับ” ฟุรุคาวะแย้งเพราะไม่อยากพบกับฝันร้ายที่ต้องเจออยู่ทุกคืน จิ้งจอกสีเงินโน้มศีรษะสัมผัสเปลือกตาทั้งคู่ด้วยปลายจมูก
“ไม่ต้องกลัว คืนนี้เจ้าจะพบแต่ฝันดี”
สติสัมปชัญญะดับลงพร้อมกับคำพูดสุดท้าย เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกลากให้จมดิ่งลงไปในความมืด มันเป็นความมืดที่แสนอบอุ่นเปรียบประดุจอ้อมกอดของใครบางคนผู้ซึ่งทั้งงามสง่าและแข็งแกร่ง คนที่เขาเฝ้ารอมานาน
ใครกันนะ ?
ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วเค้นสมองคิด ทั้งที่คุ้นกับชายคนนั้นเหลือเกินแต่ภาพในความทรงจำกลับพร่าเลือนจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร
“ฟูจิน”
ชื่อนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพลางหมุนศีรษะเพื่อหาคนเรียกแต่รอบกายกลับมีเพียงความมืดกับแสงของคบไฟที่ปักไว้เป็นระยะ แสงวับแวมของมันช่วยทำให้เห็นอะไรขึ้นมาบ้างแม้ไม่ชัดนักแต่ก็ยังดีกว่าอยู่ในความมืด
แต่เดี๋ยว คบไฟอย่างนั้นหรือ !? ฟุรุคาวะฉุกคิดด้วยความประหลาดใจ นับตั้งแต่เกิดเรื่องความฝันของเขาจะวนเวียนอยู่กับภาพอุบัติเหตุ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีอย่างอื่นแทรกเข้ามาซึ่งเด็กหนุ่มเชื่อแน่ว่าคงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดภาพพ่อแม่ท่ามกลางกองไฟก็จะผุดขึ้นมาเหมือนเดิม
“ไม่หรอก”
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งแต่ใกล้กว่ามาก ภาพรอบตัวกระจ่างขึ้นมาอีกนิดจนมองเห็นเงาเลือนคล้ายบ้านหรือศาลเจ้าขนาดใหญ่ความอยากรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ยิ่งก้าวเด็กหนุ่มก็ยิ่งแปลกใจเพราะพื้นที่ควรจะราบเรียบกลับค่อยๆนูนสูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเนิน ราวกับรู้ความในใจ คบไฟข้างตัวพลันปะทุวาบขึ้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ฟุรุคาวะรีบก้มลงสำรวจจึงรู้ว่าตรงที่เขากำลังยืนอยู่ไม่ใช่เนินดินแต่เป็นสะพานไม้สีแดงรูปครึ่งวงกลมที่ทอดตัวโค้งเหนือธารน้ำเล็กๆ
“นี่มันที่ไหนกันแน่” เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆ เสียงน้ำแตกกระจายดังซ่าใต้เท้าทำให้เขาสะดุ้งด้วยความตกใจ พอก้มหน้าลงมองจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงคือปลาโค่ยสีทองตัวใหญ่ เขาจึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนหัวเราะกับตัวเอง
“เป็นคนตาขาวไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยเรา”
พูดพลางยกมือขึ้นเพื่อเสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าพอเห็นแขนเสื้อขนาดใหญ่มีริบบิ้นร้อยที่ขอบเท่านั้นดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างเขารีบก้มลงมองชุดของตัวเองและต้องพบกับความตระหนก เพราะแทนที่จะเป็นเสื้อกับกางเกงที่สวมก่อนเข้านอนมันกลับเป็นชุดโบราณที่รุ่มร่ามกรุยกราย
“นี่มันอะไรกัน !” อุทานด้วยความงุนงงในขณะเดียวกันก็พยายามนึกว่าเหตุใดเขาจึงอยู่ในชุดนั้น จะบอกว่าเป็นผลพวงของความฝันก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเขาไม่เคยสนใจเครื่องแต่งกายในยุคโบราณมาก่อนและตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพเดียวที่ปรากฏในมโนสำนึกคืออุบัติเหตุกับเสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่ที่ตกอยู่ในกองเพลิง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้มันคืออะไร ช่วงกำลังหาที่มาของเสื้อผ้าอยู่นั้นฟุรุคาวะต้องพบกับความตกใจอีกครั้งเมื่อมีลมหายใจอุ่นๆมากระทบกับใบหูพร้อมด้วยเสียงกระซิบ
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เขาหมุนตัวหันกลับไปมองและต้องผงะถอยหลังเมื่อพบกับร่างสูงสง่าของผู้ชายคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายโบราณเช่นเดียวกัน น่าแปลกตรงในตอนแรกบริเวณใบหน้าของเขามีหมอกจางๆคลุมเอาไว้แต่พอฟุรุคาวะนึกถามในใจหมอกที่ว่าก็คลายออกเผยให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“ซาคาโมโตะ”