สายใยรักจิ้งจอกพันปี(Yaoi) บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน

กระทู้สนทนา
บทที่ 1-2 http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924

          บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน

          ขณะที่ซาคาโมโตะกำลังจัดการกับเรื่องยุ่งระหว่างกลุ่มฟุรุคาวะเองก็ประสบกับปัญหาหนักเช่นเดียวกันต่างเพียงไม่ใช่การทะเลาะวิวาทหากเป็นความสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาเอง

          ตอนเลี่ยงจากซาคาโมโตะเด็กหนุ่มก็เดินจ้ำอ้าวอย่างไม่เหลียวหลังแต่พอพ้นประตูรั้วโรงเรียนกลับอดชำเลืองตามองกลับไปไม่ได้ครั้นเห็นอีกฝ่ายก้าวขึ้นรถเขาก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ส่วนลึกภายในทรวงด้านซ้ายกลับปวดแปลบด้วยผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่ยอมเดินตามเหมือนอย่างเคย

          เอ๋ ? ผิดหวังอย่างนั้นหรือ ฟุรุคาวะถามตัวเองด้วยความฉงนพร้อมกับเม้มปากแน่น ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแถมยังโดนหมอนั่นแกล้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าแล้วทำไมเขาต้องรู้สึกอะไรอย่างนั้นด้วย คิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด บางทีการที่เขาเป็นแบบนี้ก็เนื่องมาจากความช่วยเหลือเมื่อเย็นวานซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาควรนึกถึงชายคนนั้นในแง่ของการสำนึกบุญคุณไม่ใช่การถวิลหาบ้าบอชวนขนลุก เด็กหนุ่มสะบัดหัวเพื่อไล่เรื่องของซาคาโมโตะออกจากหัวซึ่งได้ผลเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นพอเดินไปอีกสองก้าวภาพของยากูซ่าหนุ่มก็วกกลับเข้ามา การมองด้วยแววตาที่ส่อความนัยบางอย่างทำให้ฟุรุคาวะร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

          หรือหมอนี่เป็นเกย์ ?!

          ความเย็นวิ่งไล่ตั้งแต่เส้นผมไปจนจรดปลายเท้า งั้นที่หมอนั่นทำเป็นเข้ามาตีสนิทก็เพื่อเรื่องอย่างว่าสินะจะต่างจากคาวาเบะก็ตรงการแสดงออก คนแรกตั้งใจปลุกปล้ำเขาด้วยกำลังส่วนซาคาโมโตะคอยให้ความช่วยเหลือและมองด้วยความห่วงใยตลอดเวลา นั่นเองที่ทำให้ฟุรุคาวะไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงความประหวั่นเล็กๆในส่วนลึกของจิตใจซึ่งเขาเองก็พยายามหาสาเหตุว่าทำไมจึงรู้สึกอย่างนั้น เด็กหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ว่าขาทั้งสองพาไปถึงไหนและทำอะไรไปแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขากำลังยืนอยู่อยู่หน้าห้อง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนกับถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อส่วนอีกมือถือกุญแจ

          นี่เขาหมกมุ่นอยู่กับซาคาโมโตะจนลืมสนใจเรื่องรอบตัวไปเลยหรือนี่ ฟุรุคาวะคิดและยิ้มให้กับตัวเองอย่างนึกสมเพชก่อนไขกุญแจ พอเข้าห้องเขาก็ทำกิจวัตรเดิมๆคือทำการบ้าน อาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือเพื่อทบทวนการเรียนจากนั้นจึงเข้านอน ซึ่งก็เป็นเช่นทุกวันคือเขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ จึงได้แต่นอนลืมตามองเพดานห้องหูก็คอยฟังสรรพเสียงรอบตัว     

          ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

           เข็มวินาทีของนาฬิกาบนโต๊ะส่งเสียงเบาๆอย่างสม่ำเสมอขณะที่มันกระดิกไปทีละนิด ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้วแต่สำหรับฟุรุคาวะ เสียงนี้เหมือนเพื่อนที่กำลังพูดคุยกับเขาในยามราตรี หากไม่มีมันเขาคงจมลงสู่ความฝันอันเลวร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่ทุกคืน

          เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเด็กหนุ่มไม่สนใจ เขายังคงนอนเบิกตาโพลงจ้องเพดานอยู่ในความมืด ไม่นานมันก็เริ่มเกิดภาพหลอนเป็นสัตว์ประหลาดและภูตร้ายต่างๆนาๆ พวกมันกำลังจ้องตรงมายังเขาและเริ่มยื่นแขนลงมาทีละนิด นิ้วแข็งเกร็งราวกิ่งไม้แห้งทั้งห้าขยับเคลื่อนไหวดุจแมงมุม

          “มาหาเราเถอะ” เสียงแผ่วพร่ากระซิบข้างหูขณะที่มือสยองเลื่อนใกล้เข้ามาทีละน้อย “โลกนี้มันไม่สวยงามเลยสักนิด มาอยู่กับพวกเราเถอะฟุรุคาวะ”

          เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คนอื่นรู้สึกยังไง สำหรับเขามันเป็นภาพซ้ำซากน่าเบื่อที่เห็นเป็นประจำทุกค่ำคืน พอปิดไฟทุกดวงปุ๊บมันก็โผล่มาปั๊บ ส่งเสียงร้องเรียกพร้อมกับยื่นมือลงมาหาแต่ไม่เคยถึงตัวเลยสักครั้ง แรกๆเขากลัวจนแทบเสียสติแต่พอนานวันมันก็ชาชินจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนการ์ตูนอนิเมะ รำคาญมากๆเข้าเด็กหนุ่มก็ตัดปัญหาด้วยการปิดตาแต่พอเผลอหลับเขากลับถูกหลอกหลอนด้วยภาพรถยนต์ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวเพลิงและทนทรมานอยู่กับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคนที่ถูกไฟครอกทั้งเป็น เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเห็นสิ่งเหล่านั้นฟุรุคาวะจึงจำต้องมองตัวประหลาดที่โผล่ออกมาจากเพดาน อย่างน้อยมันก็ดีกว่าภาพในฝัน เด็กหนุ่มนึกขณะจ้องมือของผีตัวหนึ่งที่ยืดยาวลงมา เขาไม่เคยกลัวสิ่งเหล่านี้เลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอนที่ไม่มีวันทำอะไรเขาได้

          สัมผัสเย็นจัดดุจน้ำแข็งทำให้ฟุรุคาวะสะดุ้งสุดตัวพอชำเลืองมองทางหางตาและใจหายวาบเมื่อเห็นนิ้วสีดำมะเมื่อมกำลังไล้อยู่บนแก้ม ไม่เพียงเท่านั้นพวกที่เหลือยังยืดตัวลงมากดร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ยอมให้ขยับ เป็นไปไม่ได้ ฟุรุคาวะคิดอย่างตระหนก เจ้าพวกนี้เป็นแค่ภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นไม่ใช่เหรอ เหมือนความคิดนั้นลอยเข้าหูเจ้าของมือปีศาจ มันยื่นหน้าลงมาจนเกือบชิดและฉีกยิ้มกว้าง

          “พวกเรามีจริง” มืออีกข้างกำรอบคอเด็กหนุ่ม “ได้เวลาของแกแล้ว ฟุรุคาวะ ฟูบูกิ”

          นิ้วทั้งห้ารัดลำคอแน่นจนหายใจไม่ออก ฟุรุคาวะพยายามขัดขืนดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของพวกปิศาจได้ เขาอ้าปากเพื่อขอความช่วยเหลือแต่หลอดลมถูกรัดจนไม่อาจปล่อยเสียงออกจากลำคอ ก่อนที่ลมหายใจจะถูกปลิดปลิวพลันเกิดเสียงคำรามของสัตว์ดังกึกก้อง มองจากปลายตาก็เห็นแสงประหลาดสีขาวสว่างวาบออกมาจากกระเป๋าที่วางไว้ข้างโต๊ะ มันรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างก่อนกระโจนเข้าใส่ปิศาจตัวที่กำลังทำร้ายฟุรุคาวะ มันคลายมือที่บีบคอไว้ออกเพื่อหันไปตอบโต้แต่พอเห็นชัดว่าไฟสีเงินนั้นคืออะไรความดุร้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว  

          “กินกิซึเนะ” เสียงร้องเต็มไปด้วยความยำเกรงระคนหวาดหวั่นขณะที่พวกมันทั้งหมดเริ่มถดหนี “กินกิซึเนะ!”

          ไฟสีเงินพุ่งเข้าใส่ปีศาจตัวที่ทำร้ายฟุรุคาวะ มันส่งเสียงกรี๊ดลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนแตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อตัวหนึ่งถูกทำลายพวกที่เหลือต่างก็รีบหนีกันจ้าละหวั่นเพดานที่เคยเนืองแน่นไปด้วยอสุรกายว่างเปล่าในพริบตา พอเป็นอิสระเด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับดันตัวเพื่อลุกแต่ร่างกายกลับแข็งขืนไม่ยอมขยับจังหวะเดียวกันนั้นไฟสีเงินก็เลื่อนลอยมาหยุดตรงหน้าทำให้ฟุราคาวะต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกเพราะคิดว่ามันจะเข้ามาทำร้ายแต่ผิดคาด ไฟดวงนั้นกลับลดความเจิดจ้าลงจนพอจะดูออกว่ามันคืออะไร แม้เป็นภาพพร่าเลือนเหมือนเงาสะท้อนบนผิวน้ำเด็กหนุ่มก็ยังมองออกว่ามันคือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ    

          “กินกิซึเนะ” เขาพึมพำและหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกล่าวอย่างอ่อนโยน

          “ปลอดภัยแล้วนะ” จิ้งจอกตัวน้อยเลื่อนต่ำลงมา ดวงตาสีแดงจัดดุจเหล็กในเตาหลอมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจ้องมองมาอย่างห่วงใย เท้าเล็กๆของมันแตะที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม “ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีใครเข้ามาทำร้ายเจ้าได้อีก ดังนั้นจงหลับให้สบาย”

          “แต่ฉันไม่อยากหลับ” ฟุรุคาวะแย้งเพราะไม่อยากพบกับฝันร้ายที่ต้องเจออยู่ทุกคืน จิ้งจอกสีเงินโน้มศีรษะสัมผัสเปลือกตาทั้งคู่ด้วยปลายจมูก

          “ไม่ต้องกลัว คืนนี้เจ้าจะพบแต่ฝันดี”

          สติสัมปชัญญะดับลงพร้อมกับคำพูดสุดท้าย เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกลากให้จมดิ่งลงไปในความมืด มันเป็นความมืดที่แสนอบอุ่นเปรียบประดุจอ้อมกอดของใครบางคนผู้ซึ่งทั้งงามสง่าและแข็งแกร่ง คนที่เขาเฝ้ารอมานาน

          ใครกันนะ ?

          ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วเค้นสมองคิด ทั้งที่คุ้นกับชายคนนั้นเหลือเกินแต่ภาพในความทรงจำกลับพร่าเลือนจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร

          “ฟูจิน”

          ชื่อนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพลางหมุนศีรษะเพื่อหาคนเรียกแต่รอบกายกลับมีเพียงความมืดกับแสงของคบไฟที่ปักไว้เป็นระยะ แสงวับแวมของมันช่วยทำให้เห็นอะไรขึ้นมาบ้างแม้ไม่ชัดนักแต่ก็ยังดีกว่าอยู่ในความมืด

          แต่เดี๋ยว คบไฟอย่างนั้นหรือ !? ฟุรุคาวะฉุกคิดด้วยความประหลาดใจ นับตั้งแต่เกิดเรื่องความฝันของเขาจะวนเวียนอยู่กับภาพอุบัติเหตุ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีอย่างอื่นแทรกเข้ามาซึ่งเด็กหนุ่มเชื่อแน่ว่าคงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดภาพพ่อแม่ท่ามกลางกองไฟก็จะผุดขึ้นมาเหมือนเดิม

          “ไม่หรอก”

          เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งแต่ใกล้กว่ามาก ภาพรอบตัวกระจ่างขึ้นมาอีกนิดจนมองเห็นเงาเลือนคล้ายบ้านหรือศาลเจ้าขนาดใหญ่ความอยากรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ยิ่งก้าวเด็กหนุ่มก็ยิ่งแปลกใจเพราะพื้นที่ควรจะราบเรียบกลับค่อยๆนูนสูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเนิน ราวกับรู้ความในใจ คบไฟข้างตัวพลันปะทุวาบขึ้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ฟุรุคาวะรีบก้มลงสำรวจจึงรู้ว่าตรงที่เขากำลังยืนอยู่ไม่ใช่เนินดินแต่เป็นสะพานไม้สีแดงรูปครึ่งวงกลมที่ทอดตัวโค้งเหนือธารน้ำเล็กๆ

          “นี่มันที่ไหนกันแน่” เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆ เสียงน้ำแตกกระจายดังซ่าใต้เท้าทำให้เขาสะดุ้งด้วยความตกใจ พอก้มหน้าลงมองจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงคือปลาโค่ยสีทองตัวใหญ่ เขาจึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนหัวเราะกับตัวเอง

          “เป็นคนตาขาวไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยเรา”

          พูดพลางยกมือขึ้นเพื่อเสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าพอเห็นแขนเสื้อขนาดใหญ่มีริบบิ้นร้อยที่ขอบเท่านั้นดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างเขารีบก้มลงมองชุดของตัวเองและต้องพบกับความตระหนก เพราะแทนที่จะเป็นเสื้อกับกางเกงที่สวมก่อนเข้านอนมันกลับเป็นชุดโบราณที่รุ่มร่ามกรุยกราย    

          “นี่มันอะไรกัน !” อุทานด้วยความงุนงงในขณะเดียวกันก็พยายามนึกว่าเหตุใดเขาจึงอยู่ในชุดนั้น จะบอกว่าเป็นผลพวงของความฝันก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเขาไม่เคยสนใจเครื่องแต่งกายในยุคโบราณมาก่อนและตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพเดียวที่ปรากฏในมโนสำนึกคืออุบัติเหตุกับเสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่ที่ตกอยู่ในกองเพลิง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้มันคืออะไร ช่วงกำลังหาที่มาของเสื้อผ้าอยู่นั้นฟุรุคาวะต้องพบกับความตกใจอีกครั้งเมื่อมีลมหายใจอุ่นๆมากระทบกับใบหูพร้อมด้วยเสียงกระซิบ

          “มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

          เขาหมุนตัวหันกลับไปมองและต้องผงะถอยหลังเมื่อพบกับร่างสูงสง่าของผู้ชายคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายโบราณเช่นเดียวกัน น่าแปลกตรงในตอนแรกบริเวณใบหน้าของเขามีหมอกจางๆคลุมเอาไว้แต่พอฟุรุคาวะนึกถามในใจหมอกที่ว่าก็คลายออกเผยให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร  

          “ซาคาโมโตะ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่