สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi) บทที่ 1 ในที่สุดก็พบจนได้

กระทู้สนทนา
สายใยรักจิ้งจอกพันปี

          */*/*/*/*/*

          ด้ายสีแดง ร้อยหัวใจของคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน
แม้จะเหินห่างไปนานแค่ไหน รูปกายเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นใด
สายใยรักที่พันผูกไว้กับปลายนิ้ว จะดึงทั้งสองให้กลับมาครองคู่กันอีกครั้ง

          */*/*/*/*/*

          บทที่ 1 ในที่สุดก็พบจนได้

              รถยนต์สีขาวรุ่นแพงระยับจอดเทียบทางเท้าหน้าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งดึงความสนใจให้เด็กหลายคนต้องหยุดมอง บางคนถึงกับชะเง้อเข้าไปในรถด้วยความอยากรู้และเดาเอาเองว่าคงเป็นผู้ปกครองที่ร่ำรวยของนักเรียนบางคนซึ่งมักจะมาพบกับอาจารย์ใหญ่เพื่อมอบเงินบริจาค แต่พอประตูรถเปิดออกและเห็นคนที่ก้าวลงมาเท่านั้น ความคิดทั้งหมดก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเป็นเพียงนักเรียนมัธยมคนหนึ่งในเครื่องแบบซึ่งน่าจะเป็นของโรงเรียนอื่น สิ่งสะดุดตากลับไม่ใช่ชุดหรือรถยนต์หรูหากเป็นหน้าตาที่หล่ออย่างเหลือร้ายดึงหัวใจของนักเรียนหญิงหลายคนจนพวกเธอถึงกับยืนตกตะลึงอ้าปากค้างแถมมีเสียงกรี๊ดออกมาเบาๆตรงกันข้ามกับอากัปกิริยาของเหล่านักเรียนชายที่ส่วนใหญ่มักจะเมินอย่างไม่ใส่ใจนักในขณะที่บางส่วนเหลือบดูด้วยความหมั่นไส้  

              “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไปจริงๆ” เสียงคนในรถถาม นักเรียนคนนั้นชำเลืองมองคนพูดด้วยหางตาก่อนสั่งด้วยน้ำเสียงห้วน

              “มารับฉันตอนสี่โมงเย็น”

              คนในรถทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนยกมือขึ้นโบก

              “รับทราบขอรับ คุณชาย”

              น้ำเสียงเหมือนต้องการล้อเลียนมากกว่าเป็นการรับคำสั่งอย่างจริงจังก่อนขับรถออกไปจากที่นั่นปล่อยให้คนซึ่งถูกเรียกว่า ‘คุณชาย’ ยืนหน้าประตู เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อโรงเรียนอีกครั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด ดวงตาสีสวยฉายแววครุ่นคิดออกมาจางๆก่อนขาทั้งสองข้างจะพาร่างสูงสง่าเข้าไปด้านใน

              

              ชายหนุ่มเดินเข้าไปในอาคารหลังแรก รองเท้าสีดำที่ถูกขัดจนเป็นเงามันวับกระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มีนักเรียนหลายคนหันมามองด้วยความอยากรู้ แต่เขากลับไม่สนใจและยังคงก้าวไปเรื่อยๆจนถึงห้องที่มีป้ายเขียนไว้ว่า "“อาจารย์ใหญ่” จึงหยุดยกมือขึ้นเคาะประตูค่อนข้างหนักสามครั้งก่อนจะลดแขนลงรอ

              “เชิญ” เสียงคนด้านในกล่าวอย่างเคร่งขรึม เขาจึงเปิดประตูเดินเข้าไป ภายในห้องนอกจากอาจารย์ใหญ่แล้วยังมีชายอีกสองคน คนหนึ่งมีรูปร่างผอมสูงหน้าเสี้ยมดวงตาลอกแลกไม่น่าไว้ใจ ส่วนอีกคนมองอย่างสุขุมและมีท่าทางใจดีกว่า เพราะเขาใช้นิ้วดันแว่นตาของตัวเองและหันมาส่งรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตให้พร้อมกับเอ่ยทัก

          “มาแล้วหรือ”

          ชายหนุ่มก้มศีรษะให้เขาคนนั้นโดยเฉพาะก่อนทำกิริยาเดียวกันกับชายร่างท้วมที่นั่งวางท่าอยู่บนเก้าอี้หนังโดยเจตนาเมินผ่านคนตัวผอมไป อีกฝ่ายทำท่าจะตักเตือนแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงห้าม

          “ระวังกิริยาหน่อย คุณซากุรางิ” เขามองคนถูกเรียกด้วยดวงตาดุก่อนจะเลื่อนกลับไปทางชายหนุ่มตรงหน้า “การเดินทางเป็นยังไงบ้าง”

          “จะเป็นการดีกว่ามากถ้าคุณข้ามเรื่องไร้สาระและแนะนำห้องเรียนให้ผม” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นการไว้ตัว อีกฝ่ายเลิกคิ้วน้อยๆในขณะที่ชายที่ชื่อซากุรางินิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ

          “คุณโอกาโมโต้เป็นอาจารย์ใหญ่ของที่นี่ พูดจาอะไรให้ระวังหน่อย”

          น้ำเสียงที่ใช้ห้วนกระด้างจนเกือบเป็นการตะคอก แต่คนนั่งกลับกระแอมออกมาเบาๆเป็นเชิงเตือนก่อนยกมือขึ้นโบกอย่างไม่ใส่ใจ

          “ช่างเถอะ” เขามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังคงยืนนิ่ง แล้วกระตุกมุมปากยิ้ม “สมเป็นคนของตระกูลซาคาโมโตะ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์”

          “ผมเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้านิ่ง อาจารย์ใหญ่เหลือบตามองซองจดหมายสีขาวที่มีตราประทับรูปสุนัขจิ้งจอกบนโต๊ะ

          “นั่นสินะ” เขาพูดเบาๆก่อนหันไปทางผู้ชายอีกคนที่ยังคงยืนในอาการสำรวม “เด็กคนนี้เป็นคนสำคัญ ดูแลเขาให้ดี...”

          “ไม่จำเป็น” ชายหนุ่มขัดกลางประโยค “สำหรับที่นี่ ผมเป็นนักเรียนธรรมดา”

          โอกาโมโต้นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “งั้นก็ได้” เขาหันไปทางชายสวมแว่นอีกครั้ง “ช่วยนำเขาไปห้องเรียนหน่อยนะ คุณทากาอิ”

          อาจารย์ใหญ่กล่าวด้วยท่าทางและน้ำเสียงก้ำกึ่งระหว่างการออกคำสั่งและสุภาพ อีกฝ่ายก้มศีรษะรับและหันไปทางนักเรียนคนใหม่ที่มีนามว่า ซาคาโมโตะ

          “ตามผมมา”  

          พูดสั้นๆก่อนเดินนำออกไป เมื่อทั้งสองออกจากห้องแล้ว ซากุรางิก็พูดขึ้นทันที

          “แน่ใจหรือครับว่าจะรับลูกยากูซ่าแบบนั้นเข้ามาในโรงเรียน ถ้าพวกสมาคมผู้ปกครองรู้ มีหวังเป็นเรื่องแน่”

          “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคุณซากุรางิ เด็กคนนี้ย้ายโรงเรียนบ่อย ผมคิดว่าเขาคงอยู่กับเราไม่นาน และจากการย้อนดูประวัติ เขาไม่เคยสร้างปัญหาอะไร”

          “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” :ซากุรางิแย้ง โอกาโมโต้จึงเลื่อนดวงตาขึ้นจ้องหน้าเขม็ง

          “ผมจะปฏิเสธไปก็ได้ แต่คุณก็ต้องเลือกเอาว่าอยากมีเรื่องกับใคร สมาคมผู้ปกครองหรือกลุ่มของซาคาโมโตะ”

          อาจารย์ใหญ่กล่าวเชิงขู่ทำให้ซากุรางิต้องเม้มปากแน่นเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน แน่นอนว่าเขากลัวพวกสมาคมผู้ปกครอง แต่มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นหากเทียบกับการเผชิญหน้ากับกลุ่มอิทธิพลซาคาโมโตะ เพราะไม่เพียงถูกไล่ออก เขายังต้องเสี่ยงกับการเจ็บตัวด้วยวิธีทรมานสารพัดรูปแบบ ซึ่งถ้าโชคดีก็คงแค่พิการแขนขาขาดแต่ถ้าโชคร้าย สิ่งสุดท้ายที่เห็นคงเป็นก้นบึ้งอันมืดมิดในส่วนหนึ่งของท้องทะเล

          “ทำไมถึงย้ายมากลางเทอมแบบนี้ล่ะ”

          ทากาอิชวนผู้เข้ามาใหม่คุยระหว่างเดินไปด้วยกัน อีกฝ่ายตีหน้าเหมือนเบื่อหน่ายเต็มประดาก่อนตอบอย่างขอไปที

          “เป็นคำสั่งของบริษัทคุณพ่อ”

          คนเป็นครูเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายถึงย้ายที่ทำงานน่ะหรือ” เขาถามเหมือนสนเท่ห์มากกว่าแต่ไม่มีทีท่าว่าจะแปลกใจอะไรนัก พอเห็นซาคาโมโตะผงกศีรษะแทนคำตอบเขาก็พยักหน้าและนึกสรุปเอาเองในใจว่า คงหมายถึงการขยายอำนาจของกลุ่มยากูซ่าแต่ความคิดทั้งหมดต้องหยุดลงเมื่ออีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ

          “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ”

          คำพูดของนักเรียนใหม่ทำให้ทากาอิอ้าปากน้อยๆเพราะนึกไม่ถึงว่าจะถูกคนหนุ่มอย่างซาคาโมโตะเดาความคิดได้ เขารีบใช้นิ้วดันแว่นของตัวเองให้กระชับกับดั้งจมูกก่อนกล่าวแก้เก้อ

          “ขอโทษ” พูดพร้อมกับหยุดตรงหน้าประตูซึ่งมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของคนด้านในดังลอดออกมา “ถึงห้องเรียนแล้ว เข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนกันเถอะ”

          ภายในห้องเรียน เมื่อเสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้น นักเรียนชายหญิงที่ยืนพูดจาเล่นหัวกันอย่างสนุกสนานต่างแยกย้ายกันไปนั่งประจำที่ พอบานประตูเลื่อนเปิดออกทุกคนก็ยืนขึ้นและกล่าวสวัสดีพร้อมกัน ฝ่ายอาจารย์ซึ่งเดินไปหยุดยืนที่โต๊ะหน้ากระดานกลางห้องและรอจนเด็กทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเอ่ยปากพูด

              “สวัสดีนักเรียนทุกคน วันนี้ครูมีข่าวดีมาบอก” ทากาอิพูดอย่างใจดีและส่งยิ้มน้อยๆให้กับนักเรียนทุกคน เสียงเด็กผู้ชายร้องถาม

              “ข่าวดีที่ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องสอบเก็บคะแนนอีกนะครับ”

              คนเป็นครูส่ายหน้าและใช้นิ้วดันแว่นตา

              “ไม่ใช่ แต่ถ้าเธอต้องการ ครูจัดให้ได้”

              เสียงร้องว่า”ไม่” หลุดออกมาจากปากของเด็กเกือบทุกคน ส่วนตัวคนถามถูกเพื่อนร่วมชั้นขว้างด้วยยางลบหรือเศษกระดาษที่ม้วนเป็นก้อนกลมตามด้วยเสียงพึมพำว่า ปากเสีย ความวุ่นวายคงเกิดขึ้นแน่หากทากาอิไม่ยกมือขึ้นห้าม

              “พอได้แล้ว” เขาพูดอย่างเป็นการเป็นการ “ข่าวดีที่ว่าก็คือ วันนี้พวกเธอจะได้เพื่อนใหม่ มันออกจะแปลกไปสักหน่อยเพราะเป็นช่วงกลางเทอม แต่ก็ขอให้ทุกคนช่วยดูแลเขาด้วย”

              พูดจบก็หันไปทางประตู “เข้ามาสิ”

              เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้นักเรียนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว จึงพบว่านักเรียนใหม่ที่ครูแนะนำเป็นชายหนุ่มซึ่งหากคะเนจากสายตาแล้วน่าจะสูงประมาณ 180 ซม. ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลทองค่อนไปทางดุ หน้าตาหล่อเหลาจนแม้ผู้ชายด้วยกันเห็นแล้วยังใจเต้น ผมสีดำยาวปรกต้นคอ ริมฝีปากหยักได้รูปค่อนไปทางเชิดคล้ายดูแคลนทุกสิ่งท่วงท่าการเดินที่แม้จะเป็นช่วงสั้นๆแต่ก็เต็มไปด้วยความผึ่งผายงามสง่าผิดจากชายหนุ่มในวัยเดียวกัน เขาเดินไปอยู่ข้างครูประจำชั้นและยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไม่พูดจาอะไรจนคนเป็นครูต้องกล่าวเตือน

              “จะไม่แนะนำตัวหน่อยหรือ”

              ใบหน้าเรียบเฉยฉายแววรำคาญใจออกมาน้อยๆ ก่อนเอ่ยปากอย่างเสียไม่ได้

              “ซาคาโมโตะ เคียวยะ”

              เสียงฮือดังขึ้น หลายคนหันไปซุบซิบกัน นักเรียนชายคนหนึ่งตะโกนถาม

              “นายเป็นอะไรกับพวกซาคาโมโตะ”

              เคียวยะทำหน้าเซ็งสุดขีด เขาย้ายโรงเรียนมาแล้วหลายครั้ง และมักโดนป้อนด้วยคำถามทำนองนี้อยู่เสมอ ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนตอบห้วนๆเหมือนต้องการยุติคำถามทั้งหมด

              “ลูกชาย”

              ทุกคนในห้องพร้อมใจกันสะดุ้ง หลายคนหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว เพราะตระกูลซาคาโมโตะเป็นกลุ่มอิทธิพลทรงอำนาจที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจ แม้แต่พวกยากูซ่ายังต้องยอมสยบ และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ทุกคนว่าเหตุใดชายมาดเข้มที่ยืนอยู่หน้าห้องสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ตอนม.4 ช่วงกลางเทอมแบบนี้ได้

              นักเรียบแทบทุกคนหันพูดคุยซุบซิบกันจนเพิ่มความดังขึ้นทุกที แต่เคียวยะไม่สนในฟังเสียงเหล่านั้นเพราะสายตาของเขาเลื่อนไปสบกับหน้าของนักเรียนคนหนึ่งที่นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ความยินดีวิ่งพล่านไปทั่วจนเกิดอาการร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง ชายหนุ่มพยายามข่มใจบังคับร่างกายของตัวเองให้อยู่นิ่งไม่วิ่งเข้าไปประคองกอดคนผู้นั้นตามอารมณ์ปรารถนา ถึงแม้จะอยู่ในร่างของเด็กผู้ชาย เขาก็ยังจำใบหน้างดงามนั้นได้ดี

              “ฟูจิน”

          

          */*/*/*/*
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่