บทที่ 1
http://pantip.com/topic/33275515
บทที่ 2 ตกอยู่ในอันตราย
หลังจากแนะนำตัวและนั่งประจำที่เรียบร้อย ซาคาโมโตะ เคียวยะไม่สนใจคนรอบข้างที่พยายามหาเรื่องชวนคุยเลยสักนิด เขาเอาแต่นั่งจ้องชายหนุ่มข้างหน้าต่าง มองใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงอย่างไม่ยอมละสายตา แม้จะโดนเรียกให้ลุกขึ้นตอบโจทย์คณิตศาสตร์ เขาทำแค่ปรายตามองกระดานดำเพียงแวบเดียวและตอบแทบจะทันทีเหมือนเป็นเรื่องง่ายก่อนหันไปมองคนริมหน้าต่างอีกครั้ง ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าจะได้รับคำชมจากผู้สอนหรือเสียงพึมพำด้วยความทึ่งกับความฉลาดอันน่าเหลือเชื่อของเขาจากเพื่อนร่วมห้องทั้งหญิงและชาย
พักเที่ยง มีนักเรียนบางคนนำข้าวกล่องมาจากบ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักฝากท้องไว้กับห้องอาหารของโรงเรียนซึ่งก็มักจะลงไปกันเป็นกลุ่ม มีนักเรียนหญิงหลายคนยืนเมียงมองเคียวยะเพราะอยากชวนไปด้วยกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เนื่องจากเกรงใบหน้าที่แม้จะหล่อเหลาแต่ขรึมดุกับตระกูลซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องอิทธิพล ยืนลังเลกันอยู่นาน หนึ่งในนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยชวน
“ไปห้องอาหารกับพวกเรามั้ย...”
เคียวยะลุกขึ้นตั้งแต่เธอคนนั้นยังพูดไม่ถึงครึ่งประโยค นักเรียนหญิงยิ้มกว้างด้วยความดีใจแต่กลับกลายเป็นการยิ้มเก้อ เพราะแทนที่ชายหนุ่มจะไปตามคำชวนกลับเดินตรงไปหาเพื่อนนักเรียนชายที่นั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
“ไง” คำแรกเอ่ยทักแต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาจึงวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับกล่าวอีกครั้งเสียงดังกว่าเก่า “เฮ้!”
นักเรียนชายคนนั้นไม่สะดุ้งเลยสักนิด แถมไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงหันหน้ามาทางเคียวยะและช้อนสายตาขึ้นมองอย่างรำคาญ
“มีอะไร”
ถามห้วนๆแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทำเอาเคียวยะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะคนส่วนใหญ่พอเห็นเขามายืนใกล้ๆเท่านั้นก็ตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่คนตรงหน้านี่กลับไม่มีทีท่าอย่างนั้นเลยสักนิด หรือถ้าให้พูดกันตามตรง เขาไม่แยแสเลยแม้แต่น้อยว่าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่นี่เป็นใคร
“ฉันหิว” เคียวยะตอบ อีกฝ่ายนิ่วหน้าน้อยๆก่อนเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งพร้อมกับตอบเนือยๆ
“หิวก็ไปโรงอาหารสิ”
“ฉันไปไม่ถูก” เคียวยะตอบและแอบยิ้มในหน้าเมื่อเห็นหน้าแสนสวยนั่นหันกลับมาอีกครั้ง แต่มันกลับมลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ
“งั้นก็ไม่ต้องกิน”
ถ้าเป็นคนอื่นพูด คงโดนจับโยนออกไปนอกหน้าต่างไปแล้ว เคียวยะคิดพลางมองหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ของคนตรงหน้าและพูดต่อ
“ไม่ได้หรอก กระเพาะของฉันทำงานตรงเวลา ถ้าไม่รีบหาอะไรใส่ท้องคงเรียนคาบบ่ายไม่ไหว”
“เรื่องของนาย” อีกฝ่ายยังคงนั่งเท้าคางตอบแบบทองไม่รู้ร้อนจนเคียวยะหมั่นไส้ มือหนายื่นไปคว้าข้อมือเล็กกว่า และฉุดให้ลุกขึ้น เด็กหนุ่มร้องโวยวายดังลั่น “ทำอะไรน่ะ”
“ให้นายนำทาง” ไม่พูดเปล่ายังกึ่งเดินกึ่งลากให้คนตัวเล็กตามไปด้วยกันโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องเอะอะโวยวาย พอลงไปถึงชั้นล่างเขาก็หยุดและหันไปถาม “ไปทางไหน”
“แล้วแต่นายสิ” คนตัวเล็กประชดขณะพยายามแกะมือแข็งราวกับคีมออกจากแขน แต่เดียวยะกลับบีบมันแน่นกว่าเดิม
“ตอบให้ดีหน่อย ไม่อย่างนั้น”
เขาหยุดคำพูดไว้พลางจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาววับจนคนเห็นเสียวสันหลังวาบ ถึงอย่างนั้นก็ยังทำเป็นใจกล้า
“ไม่อย่างนั้นนายจะทำไม? ฆ่าฉันเหรอ” เด็กหนุ่มโต้เสียงดัง “อีกอย่างฉันชื่อฟุรุคาวะ ช่วยเรียกให้ถูกด้วย”
สีหน้าท่าทางที่ปั้นให้ดูน่ากลัวทำให้เคียวยะขำจนเกือบจะหลุดหัวเราะ เขาแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับกดน้ำเสียงต่ำ
“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก แต่ถ้าปล่อยให้หิวจนหน้ามืด” ดวงตาคมดุหรี่ลง “ฉันอาจจะกินนาย”
ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่คำขู่แต่ฟุรุคาวะก็อดที่จะกลัวไม่ได้ เพราะสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้าดูโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวชนิดถ้ากลายร่างเป็นยักษ์ได้ เขาจะไม่แปลกใจเลย
“ทางซ้าย” เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มนัก อีกฝ่ายจึงก้มลงไปจนปากแทบชนกันพร้อมกับพูด
“พูดใหม่อีกทีสิ ฉันไม่ได้ยิน”
“อาคารทางซ้ายมือ ที่มีคนเยอะๆน่ะ” คราวนี้ฟุรุคาวะแทบตะโกน เคียวยะยิ้มมุมปากและยืดตัวขึ้นจากนั้นก็เริ่มออกเดินโดยลากคนตัวเล็กตามไปด้วย
“ปล่อยนะ” เด็กหนุ่มร้องพลางแกะมือที่กุมแขนเขาไว้ “นายรู้ทางแล้วนี่จะลากฉันไปด้วยทำไม”
“ฉันไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”
เคียวยะทำตามที่พูดจริงๆ เพราะเขาซื้ออาหารซึ่งเป็นขนมปัง ผลไม้และนมมาสองชุด โดยแบ่งให้
ฟุรุคาวะถือ จากนั้นก็มองหาที่เหมาะๆแล้วลากเด็กหนุ่มไปนั่งด้วยกัน ซ้ำยังจ้องเหมือนบังคับให้อีกฝ่ายจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้า ตอนแรกฟุรุคาวะอิดเอื้อนไม่ยอมทำตามแต่พอสบดวงตาเชิงขู่ของคนตัวใหญ่กว่า เขาจึงหยิบขนมปังขึ้นมากัดอย่างจำใจ
พอเห็นเด็กหนุ่มยอมกินอาหารแต่โดยดีเคียวยะก็นั่งหยิบในส่วนของตัวเองขึ้นมาบ้าง และนั่งกินไปมองหน้าฟุรุคาวะไปอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตามุ่งร้ายของใครบางคนมองการกระทำของเขาอยู่ พอกินเสร็จเขาก็เก็บห่อขนมรวมกล่องนมเปล่าใส่ถาดรองและยกทั้งของตัวเองและฟุรุคาวะ ไปวางไว้ในอ่างล้างจาน แต่ตอนจะออกจากห้องอาหาร เด็กหนุ่มก็พูดขึ้น
“ฉันจะไปห้องน้ำ”
เคียวยะทำท่าลังเลแต่ก็ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายแต่โดยดี พอเป็นอิสระ ฟุรุคาวะก็จ้ำอ้าวเข้าอาคารเรียนโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมามอง พอจะตามเสียงกริ่งก็ดังขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มจึงจำต้องเปลี่ยนใจเดินกลับขึ้นห้องตามลำพัง
การเรียนหลังพักเที่ยงจัดเป็นเรื่องทรมานอย่างยิ่งยวดสำหรับนักเรียน เพราะพอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน พาลจะหลับเสียให้ได้ หลายคนจึงเริ่มสัปหงกจนครูต้องปลุกด้วยการปาชอล์ก แต่ก็มีบางคนเป็นพวกมีความสามารถพิเศษคือ หลับได้ทั้งที่ยังลืมตา
ฟุรุคาวะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งที่ตามปรกติแล้วเขาไม่เคยหลับในห้องเรียน แต่เพราะโดนเคียวยะบังคับให้กินข้าวกลางวันจนอิ่ม ตอนนี้ความง่วงจึงเริ่มเข้ามาก่อกวน พอโดนลมเย็นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างเข้าไปหลายครั้ง ดวงตาทั้งคู่ก็เริ่มหรี่ลง และคงหลับไปแล้วถ้าเสียงเคียวยะไม่ดังขึ้นมา
“ผมไม่เข้าใจที่ครูพูด ช่วยอธิบายอีกครั้งได้ไหมครับ”
ฟุรุคาวะสะดุ้งเฮือกเบิกตาโพลงและทันเห็นครูประจำชั้นกำลังลดมือที่เตรียมจะขว้างแปรงลบกระดานใส่เขาลงพอดี ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอเห็นเคียวยะเหลือบตามาทางเขาพร้อมกับสิ่งยิ้มให้ จึงรู้ว่าคำถามเมื่อครู่เป็นการช่วยไม่ให้หัวของเขาขาวโพลนจากการปลุกของครู เด็กหนุ่มรีบสะบัดหัวอย่างแรงเพื่อให้ตาสว่างจากนั้นก็นั่งจ้องไปที่กระดานและฟังคำสอนอย่างตั้งใจจนกระทั่งหมดเวลาเรียน
ทันทีที่เสียงกริ่งเงียบลงและกล่าวคำขอบคุณครูประจำชั้นแล้ว นักเรียนทุกคนก็ส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ พวกที่สนิทกันหน่อยก็เดินกลับบ้านพร้อมกัน บางคนรีบเก็บข้าวของโดยไม่พูดจากับใครเพราะต้องไปเรียนพิเศษ มีบางกลุ่มขวนกันไปเดินเล่นแถวสถานีรถไฟเพื่อกินขนม นักเรียนหญิงบางคนหันมาชวนเคียวยะ แต่ชายหนุ่มกลับชำเลืองไปทางฟุรุคาวะพร้อมกับสั่นศีรษะ พอเห็นเขาปฏิเสธ เด็กกลุ่มนั้นจึงพากันออกจากห้อง พวกที่เหลือก็ทยอยกันออกไปทีละคนสองคน ไม่ช้าห้องที่เคยวุ่นวายก็เงียบสงบเหมือนป่าช้าในยามค่ำคืน
แสงอาทิตย์สีส้มส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับร่างของฟุรุคาวะ เขายังคงนั่งเหม่ออยู่เช่นเดิมและมองเพื่อนที่กำลังเดินออกจากโรงเรียนไปเป็นกลุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เพียงแต่วันนี้ความสงบที่เคยชอบถูกทำลายลงด้วยเสียงของเคียวยะ
“ยังไม่กลับอีกหรือ” ถามพลางถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่ง ฟุรุคาวะรีบเก็บแขนทั้งสองข้างแนบลำตัวพร้อมขยับถอยออกห่าง
“แล้วนายล่ะ” คนตัวเล็กย้อนถาม เคียวยะยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี
“ฉันรอคนมารับ” เขานิ่งไปสักระยะและพูดต่อ “จะกลับด้วยกันไหมล่ะ”
ฟุรุคาวะรีบส่ายหน้า “ฉันกลับเองได้”
“ตามใจ” เคียวยะพูดพลางมองออกไปที่ถนนหน้าโรงเรียนซึ่งมีรถสีขาววิ่งเข้ามาจอด แต่พอเห็นคนขับเปิดประตูออกมายืนรอข้างนอก เขาก็นิ่วหน้า “ทำไมมาเร็วนักนะ เจ้าบ้า”
บ่นพึมพำด้วยท่าทางรำคาญมากกว่าหงุดหงิดและหันมาทางฟุรุคาวะอีกครั้ง “พรุ่งนี้เจอกัน”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี บทที่ 2 ตกอยู่ในอันตราย
บทที่ 2 ตกอยู่ในอันตราย
หลังจากแนะนำตัวและนั่งประจำที่เรียบร้อย ซาคาโมโตะ เคียวยะไม่สนใจคนรอบข้างที่พยายามหาเรื่องชวนคุยเลยสักนิด เขาเอาแต่นั่งจ้องชายหนุ่มข้างหน้าต่าง มองใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงอย่างไม่ยอมละสายตา แม้จะโดนเรียกให้ลุกขึ้นตอบโจทย์คณิตศาสตร์ เขาทำแค่ปรายตามองกระดานดำเพียงแวบเดียวและตอบแทบจะทันทีเหมือนเป็นเรื่องง่ายก่อนหันไปมองคนริมหน้าต่างอีกครั้ง ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าจะได้รับคำชมจากผู้สอนหรือเสียงพึมพำด้วยความทึ่งกับความฉลาดอันน่าเหลือเชื่อของเขาจากเพื่อนร่วมห้องทั้งหญิงและชาย
พักเที่ยง มีนักเรียนบางคนนำข้าวกล่องมาจากบ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักฝากท้องไว้กับห้องอาหารของโรงเรียนซึ่งก็มักจะลงไปกันเป็นกลุ่ม มีนักเรียนหญิงหลายคนยืนเมียงมองเคียวยะเพราะอยากชวนไปด้วยกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เนื่องจากเกรงใบหน้าที่แม้จะหล่อเหลาแต่ขรึมดุกับตระกูลซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องอิทธิพล ยืนลังเลกันอยู่นาน หนึ่งในนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยชวน
“ไปห้องอาหารกับพวกเรามั้ย...”
เคียวยะลุกขึ้นตั้งแต่เธอคนนั้นยังพูดไม่ถึงครึ่งประโยค นักเรียนหญิงยิ้มกว้างด้วยความดีใจแต่กลับกลายเป็นการยิ้มเก้อ เพราะแทนที่ชายหนุ่มจะไปตามคำชวนกลับเดินตรงไปหาเพื่อนนักเรียนชายที่นั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
“ไง” คำแรกเอ่ยทักแต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาจึงวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับกล่าวอีกครั้งเสียงดังกว่าเก่า “เฮ้!”
นักเรียนชายคนนั้นไม่สะดุ้งเลยสักนิด แถมไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงหันหน้ามาทางเคียวยะและช้อนสายตาขึ้นมองอย่างรำคาญ
“มีอะไร”
ถามห้วนๆแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทำเอาเคียวยะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะคนส่วนใหญ่พอเห็นเขามายืนใกล้ๆเท่านั้นก็ตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่คนตรงหน้านี่กลับไม่มีทีท่าอย่างนั้นเลยสักนิด หรือถ้าให้พูดกันตามตรง เขาไม่แยแสเลยแม้แต่น้อยว่าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่นี่เป็นใคร
“ฉันหิว” เคียวยะตอบ อีกฝ่ายนิ่วหน้าน้อยๆก่อนเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งพร้อมกับตอบเนือยๆ
“หิวก็ไปโรงอาหารสิ”
“ฉันไปไม่ถูก” เคียวยะตอบและแอบยิ้มในหน้าเมื่อเห็นหน้าแสนสวยนั่นหันกลับมาอีกครั้ง แต่มันกลับมลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ
“งั้นก็ไม่ต้องกิน”
ถ้าเป็นคนอื่นพูด คงโดนจับโยนออกไปนอกหน้าต่างไปแล้ว เคียวยะคิดพลางมองหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ของคนตรงหน้าและพูดต่อ
“ไม่ได้หรอก กระเพาะของฉันทำงานตรงเวลา ถ้าไม่รีบหาอะไรใส่ท้องคงเรียนคาบบ่ายไม่ไหว”
“เรื่องของนาย” อีกฝ่ายยังคงนั่งเท้าคางตอบแบบทองไม่รู้ร้อนจนเคียวยะหมั่นไส้ มือหนายื่นไปคว้าข้อมือเล็กกว่า และฉุดให้ลุกขึ้น เด็กหนุ่มร้องโวยวายดังลั่น “ทำอะไรน่ะ”
“ให้นายนำทาง” ไม่พูดเปล่ายังกึ่งเดินกึ่งลากให้คนตัวเล็กตามไปด้วยกันโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องเอะอะโวยวาย พอลงไปถึงชั้นล่างเขาก็หยุดและหันไปถาม “ไปทางไหน”
“แล้วแต่นายสิ” คนตัวเล็กประชดขณะพยายามแกะมือแข็งราวกับคีมออกจากแขน แต่เดียวยะกลับบีบมันแน่นกว่าเดิม
“ตอบให้ดีหน่อย ไม่อย่างนั้น”
เขาหยุดคำพูดไว้พลางจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาววับจนคนเห็นเสียวสันหลังวาบ ถึงอย่างนั้นก็ยังทำเป็นใจกล้า
“ไม่อย่างนั้นนายจะทำไม? ฆ่าฉันเหรอ” เด็กหนุ่มโต้เสียงดัง “อีกอย่างฉันชื่อฟุรุคาวะ ช่วยเรียกให้ถูกด้วย”
สีหน้าท่าทางที่ปั้นให้ดูน่ากลัวทำให้เคียวยะขำจนเกือบจะหลุดหัวเราะ เขาแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับกดน้ำเสียงต่ำ
“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก แต่ถ้าปล่อยให้หิวจนหน้ามืด” ดวงตาคมดุหรี่ลง “ฉันอาจจะกินนาย”
ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่คำขู่แต่ฟุรุคาวะก็อดที่จะกลัวไม่ได้ เพราะสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้าดูโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวชนิดถ้ากลายร่างเป็นยักษ์ได้ เขาจะไม่แปลกใจเลย
“ทางซ้าย” เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มนัก อีกฝ่ายจึงก้มลงไปจนปากแทบชนกันพร้อมกับพูด
“พูดใหม่อีกทีสิ ฉันไม่ได้ยิน”
“อาคารทางซ้ายมือ ที่มีคนเยอะๆน่ะ” คราวนี้ฟุรุคาวะแทบตะโกน เคียวยะยิ้มมุมปากและยืดตัวขึ้นจากนั้นก็เริ่มออกเดินโดยลากคนตัวเล็กตามไปด้วย
“ปล่อยนะ” เด็กหนุ่มร้องพลางแกะมือที่กุมแขนเขาไว้ “นายรู้ทางแล้วนี่จะลากฉันไปด้วยทำไม”
“ฉันไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”
เคียวยะทำตามที่พูดจริงๆ เพราะเขาซื้ออาหารซึ่งเป็นขนมปัง ผลไม้และนมมาสองชุด โดยแบ่งให้
ฟุรุคาวะถือ จากนั้นก็มองหาที่เหมาะๆแล้วลากเด็กหนุ่มไปนั่งด้วยกัน ซ้ำยังจ้องเหมือนบังคับให้อีกฝ่ายจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้า ตอนแรกฟุรุคาวะอิดเอื้อนไม่ยอมทำตามแต่พอสบดวงตาเชิงขู่ของคนตัวใหญ่กว่า เขาจึงหยิบขนมปังขึ้นมากัดอย่างจำใจ
พอเห็นเด็กหนุ่มยอมกินอาหารแต่โดยดีเคียวยะก็นั่งหยิบในส่วนของตัวเองขึ้นมาบ้าง และนั่งกินไปมองหน้าฟุรุคาวะไปอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตามุ่งร้ายของใครบางคนมองการกระทำของเขาอยู่ พอกินเสร็จเขาก็เก็บห่อขนมรวมกล่องนมเปล่าใส่ถาดรองและยกทั้งของตัวเองและฟุรุคาวะ ไปวางไว้ในอ่างล้างจาน แต่ตอนจะออกจากห้องอาหาร เด็กหนุ่มก็พูดขึ้น
“ฉันจะไปห้องน้ำ”
เคียวยะทำท่าลังเลแต่ก็ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายแต่โดยดี พอเป็นอิสระ ฟุรุคาวะก็จ้ำอ้าวเข้าอาคารเรียนโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมามอง พอจะตามเสียงกริ่งก็ดังขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มจึงจำต้องเปลี่ยนใจเดินกลับขึ้นห้องตามลำพัง
การเรียนหลังพักเที่ยงจัดเป็นเรื่องทรมานอย่างยิ่งยวดสำหรับนักเรียน เพราะพอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน พาลจะหลับเสียให้ได้ หลายคนจึงเริ่มสัปหงกจนครูต้องปลุกด้วยการปาชอล์ก แต่ก็มีบางคนเป็นพวกมีความสามารถพิเศษคือ หลับได้ทั้งที่ยังลืมตา
ฟุรุคาวะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งที่ตามปรกติแล้วเขาไม่เคยหลับในห้องเรียน แต่เพราะโดนเคียวยะบังคับให้กินข้าวกลางวันจนอิ่ม ตอนนี้ความง่วงจึงเริ่มเข้ามาก่อกวน พอโดนลมเย็นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างเข้าไปหลายครั้ง ดวงตาทั้งคู่ก็เริ่มหรี่ลง และคงหลับไปแล้วถ้าเสียงเคียวยะไม่ดังขึ้นมา
“ผมไม่เข้าใจที่ครูพูด ช่วยอธิบายอีกครั้งได้ไหมครับ”
ฟุรุคาวะสะดุ้งเฮือกเบิกตาโพลงและทันเห็นครูประจำชั้นกำลังลดมือที่เตรียมจะขว้างแปรงลบกระดานใส่เขาลงพอดี ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอเห็นเคียวยะเหลือบตามาทางเขาพร้อมกับสิ่งยิ้มให้ จึงรู้ว่าคำถามเมื่อครู่เป็นการช่วยไม่ให้หัวของเขาขาวโพลนจากการปลุกของครู เด็กหนุ่มรีบสะบัดหัวอย่างแรงเพื่อให้ตาสว่างจากนั้นก็นั่งจ้องไปที่กระดานและฟังคำสอนอย่างตั้งใจจนกระทั่งหมดเวลาเรียน
ทันทีที่เสียงกริ่งเงียบลงและกล่าวคำขอบคุณครูประจำชั้นแล้ว นักเรียนทุกคนก็ส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ พวกที่สนิทกันหน่อยก็เดินกลับบ้านพร้อมกัน บางคนรีบเก็บข้าวของโดยไม่พูดจากับใครเพราะต้องไปเรียนพิเศษ มีบางกลุ่มขวนกันไปเดินเล่นแถวสถานีรถไฟเพื่อกินขนม นักเรียนหญิงบางคนหันมาชวนเคียวยะ แต่ชายหนุ่มกลับชำเลืองไปทางฟุรุคาวะพร้อมกับสั่นศีรษะ พอเห็นเขาปฏิเสธ เด็กกลุ่มนั้นจึงพากันออกจากห้อง พวกที่เหลือก็ทยอยกันออกไปทีละคนสองคน ไม่ช้าห้องที่เคยวุ่นวายก็เงียบสงบเหมือนป่าช้าในยามค่ำคืน
แสงอาทิตย์สีส้มส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับร่างของฟุรุคาวะ เขายังคงนั่งเหม่ออยู่เช่นเดิมและมองเพื่อนที่กำลังเดินออกจากโรงเรียนไปเป็นกลุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เพียงแต่วันนี้ความสงบที่เคยชอบถูกทำลายลงด้วยเสียงของเคียวยะ
“ยังไม่กลับอีกหรือ” ถามพลางถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่ง ฟุรุคาวะรีบเก็บแขนทั้งสองข้างแนบลำตัวพร้อมขยับถอยออกห่าง
“แล้วนายล่ะ” คนตัวเล็กย้อนถาม เคียวยะยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี
“ฉันรอคนมารับ” เขานิ่งไปสักระยะและพูดต่อ “จะกลับด้วยกันไหมล่ะ”
ฟุรุคาวะรีบส่ายหน้า “ฉันกลับเองได้”
“ตามใจ” เคียวยะพูดพลางมองออกไปที่ถนนหน้าโรงเรียนซึ่งมีรถสีขาววิ่งเข้ามาจอด แต่พอเห็นคนขับเปิดประตูออกมายืนรอข้างนอก เขาก็นิ่วหน้า “ทำไมมาเร็วนักนะ เจ้าบ้า”
บ่นพึมพำด้วยท่าทางรำคาญมากกว่าหงุดหงิดและหันมาทางฟุรุคาวะอีกครั้ง “พรุ่งนี้เจอกัน”