บทที่ 1-2
http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5
http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/34910335
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/34928427
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/34939664
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/34947967
บทที่ 16
http://pantip.com/topic/34956823
บทที่ 17 นิทานวายุ
อย่าคิดมาก
คำปลอบใจจากซาคาโมโตะยังฝังอยู่ในหัวซึ่งทาคุเองก็พยายามทำตาม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะคนที่เขาอยากจะขอโทษมากที่สุดไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้ อย่างตอนเช้าทุกทีพอทำอาหารเสร็จทุกคนจะมานั่งกินด้วยกัน วันนี้ฟุรุคาวะกลับฉวยจานของตัวเองแยกตัวไปนั่งในห้องนั่งเล่นปล่อยให้เขากับซาคาโมโตะนั่งมองหน้ากันที่โต๊ะ แม้จะได้รับกำลังใจทางสายตาจากเพื่อนแต่ความหมางเมินที่ได้รับทำให้หัวใจของสารถีหนุ่มห่อเหี่ยวจนไม่มีแรงทำอะไร เขาฝืนใจตักข้าวเข้าปากสองสามคำก็ต้องหยุดและทำท่าจะลุกขึ้นแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดลอยๆ
“กินน้อยแบบนั้นจะไปมีแรงปกป้องคนอื่นได้ยังไง”
ทาคุหันไปมองซาคาโมโตะ อีกฝ่ายจ้องกลับมาด้วยสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ” เขาแก้ตัวด้วยประโยคที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่เพราะซาคาโมโตะเลิกคิ้วสูงและมองเหมือนไม่อยากเชื่อ
“คนที่กินข้าวเช้าครั้งละไม่ต่ำกว่าสองจานอย่างนายเนี่ยนะ” เขาพูดอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนปรับน้ำเสียงให้เข้มขึ้น “นั่งลงกินให้หมด นี่เป็นคำสั่ง!”
ลำพังเสียงไม่เท่าไหร่แต่ดวงตาที่มีแสงวาววับบังคับให้ทาคุต้องกลับนั่งลงไปอีกครั้งและลงมือกินต่อเงียบๆอย่างไม่กล้าโต้แย้ง ซาคาโมโตะจับตามองจนข้าวของสารถีหนุ่มพร่องไปเกือบครึ่งจึงหันไปจัดการส่วนของตัวเองบ้าง พอกินหมดก็ทำท่าจะนำจานเปล่าไปล้างแต่อุ้งมือหนาของทาคุยื่นมาฉวยไปก่อน
“ฉันจัดการเอง”
พูดพร้อมกับลุกขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ฟุรุคาวะเดินถือจานข้าวที่กินหมดแล้วเข้ามาพอดี สารถีหนุ่มจึงยื่นมือไปขออย่างที่เคยทำแต่ต้องชะงักค้างเมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านเลยไปเหมือนเขาไม่มีตัวตน แถมพอล้างจานในส่วนของตัวเองเสร็จก็ย้อนกลับไปดูทีวีต่อปล่อยให้ทาคุยืนท่านั้นอยู่ในครัวอย่างไม่ไยดี
หัวใจปวดแปลบกับความหมางเมินที่ได้รับ มันช่างเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกพวกโอโรจิรุมฉีกเนื้อเป็นร้อยเท่า เพราะไม่เพียงแค่ความรัก หากมิตรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เคยมีให้แก่กันก็พลอยสูญสิ้นไปด้วย
ทาคุกลืนความขมขื่นเข้าไปในอกหอบจานไปล้างโดยมีซาคาโมโตะคอยมองอย่างเห็นใจในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาของใครอีกคนลอบมองเป็นระยะ
ฟุรุคาวะเข้าใจดีว่าสิ่งที่ทาคุทำลงไปนั้นเกิดจากอำนาจสะกดของปิศาจและยอมยกโทษให้ตั้งแต่ฟังคำอธิบายจากซาคาโมโตะแล้ว ที่ยังไม่กล้าเข้าใกล้ในเวลานี้เพราะยังกลัวอยู่บ้าง อีกอย่างพอหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนตอนกำลังโดนปล้ำ สายตาของทาคุในตอนนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความหิวกระหาย หากแฝงความโหยหาอย่างลึกซึ้งบ่งบอกถึงความรู้สึกอันแท้จริงที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูของร่างกาย เด็กหนุ่มจึงมั่นใจว่าความรู้สึกที่ทาคุมีต่อตนเองนั้นเป็นแบบเดียวกันกับของซาคาโมโตะ เพราะจากที่ฟัง หน้ากากฮันเนีย มีผลโดยตรงกับคนที่มีความริษยาในความรัก เพียงแต่เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าชายผู้มีบุคลิกแข็งแกร่งอย่างทาคุจะพ่ายแพ้ต่อมนต์สะกดง่ายๆแบบนี้ ทั้งที่ในอดีตไม่ว่าคาราสุเฮบิจะทำยังไงก็ไม่เคยครอบงำคุโระอินุมารุได้เลยสักครั้ง
เอ๊ะ! เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง แล้วทำไมจู่ๆถึงนึกชื่อทั้งสองนี้ขึ้นมา ฟุรุคาวะถามตัวเองด้วยความฉงนพลางย้อนหวนนึกถึงตอนที่โดนปล้ำจวนเจียนจะเสียท่า เขาก็หลุดปากเอ่ยชื่อนี้ออกมาเป็นเหตุให้ทาคุได้สติและหยุดการกระทำอันแสนน่ากลัวนั่นทันที
คุโระอินุมารุ?
ชื่อนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ที่แปลกก็คือเขารู้สึกเหมือนมีชื่อของใครอีกคนติดอยู่ในความทรงจำแต่พยายามเท่าไรก็นึกไม่ออก ทั้งที่จำได้ว่าคนทั้งสองมักไปไหนมาไหนด้วยกัน ต่อสู้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่และมักถกเถียงกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลา
เงาเลือนรางของชายสองคนผุดขึ้นมาในหัว คนหนึ่งมีร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่ ผมสีดำสนิทยาวถึงสะโพกในขณะที่ชายอีกคนที่แม้จะตัวเล็กกว่าแต่กลับเต็มไปด้วยความสง่างามยากที่จะหาใครเทียบ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงเส้นผม มันไม่ได้เป็นสีดำเหมือนชายคนแรก หากเป็นสีเงินสุกสว่างเหยียดตรงคลุมแผ่นหลังยาวไปจนจรดบั้นเอว
หรือเงานั้นคือชายผมขาวที่เขาฝันเห็นทุกคืน เจ้าของคฤหาสน์ชิรายูกิยาชิกิ ซาคาโมโตะ เคียวยะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ......
ความคิดทั้งหมดสะดุดลงตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนมันติดอยู่ตรงริมฝีปากแต่กลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ฟุรุคาวะขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด แบบนี้เขาก็ไม่มีทางรู้ได้สิว่าชายคนนั้นเป็นใคร คิดพลางเลื่อนสายตากลับไปจ้องหนุ่มตัวใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรวุ่นอยู่ในครัว ถึงจะยังนึกชื่อชายผมขาวไม่ออกแต่ตอนนี้เขาคิดว่า คุโระอินุมารุ ที่หลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัวก็คือทาคุ แต่ทำไมคนขับรถสุดห้าวถึงมีอีกชื่อที่แสนจะประหลาดแบบนั้นแถมภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวคืออะไรกันแน่ ใจจริงแล้วเด็กหนุ่มอยากถามซาคาโมโตะแต่คนที่ดูมีลับลมคมในแบบนั้นคงไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรง่ายๆ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือคนใกล้ชิดอย่างผู้ติดตามซึ่งในเวลานี้มีเพียงพลขับจอมกวน แต่ติดปัญหาอยู่สองอย่างคือ หมอนั่นอยู่กับเจ้านายตลอดเวลาและตัวเขาเองยังตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวด้วยความกลัดกลุ้ม ถ้าขืนกลัวอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะรู้เรื่อง คิดได้ดังนั้นจึงขยับตัวเตรียมเดินไปหาจังหวะเดียวกันนั้นทาคุก็หมุนตัวหันมาสบตาเข้าพอดี ฟุรุคาวะรีบก้มหน้าหลบและนึกโมโหตัวเองว่าไม่ควรทำอย่างนั้น เพราะพอเหลือบตามองก็เห็นสารถีหนุ่มหันกลับไปทำกับข้าวต่อในลักษณะยืนคอตก หั่นผักเหมือนคนไม่มีแรง
เอาไงดี ฟุรุคาวะถามตัวเองและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จะเดินไปถามดื้อๆก็ยังไม่กล้าเท่าไหร่ครั้นจะให้นิ่งเฉยอยู่แบบนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทาคุก็คงจะแย่ลง เผลอๆอีกฝ่ายเกิดใจเสียหนีกลับบ้านขึ้นมา เขามิต้องอยู่กับซาคาโมโตะสองต่อสองหรือ ตาชำเลืองไปทางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำกินกิซึเนะโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นแรงขึ้น เขายอมรับว่ากลัวทาคุแต่น้อยกว่าการอยู่กันตามลำพังกับซาคาโมโตะเพียงแต่ไม่ใช่เรื่องการโดนปล้ำ หากเป็นความปรารถนาบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ลึกๆภายในใจ
เหตุการณ์น่าอายหวนกลับเข้ามาในความคิด ถ้าเมื่อคืนคนลงมือคือซาคาโมโตะ เขาคงไม่ขัดขืนดิ้นรนและเรื่องราวคงจบลงด้วยความหวานชื่นต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ความร้อนวิ่งเป็นริ้วบนใบหน้า ฟุรุคาวะรีบเบนสายตาเปลี่ยนเป้าหมายจากชายหนุ่มไปทางทาคุ นี่เขากำลังคิดบ้าอะไร เรื่องเร่งด่วนที่ควรแก้ไขในตอนนี้คือหาทางคืนดีกับทาคุต่างหาก
“เป็นอะไรไปน่ะ” เสียงทุ้มของซาคาโมโตะเอ่ยถามขึ้นเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงของเด็กหนุ่มกลับคืนมา เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่านี่ถามทำไม”
“นายหน้าแดง” คำตอบนั้นทำให้ทาคุลืมตัวมองตาม สายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้ฟุรุคาวะรู้สึกอึดอัด เขารีบก้มหน้าหลบพร้อมกับกล่าวแก้ตัว
“ก...ก็อากาศมันร้อน” หยุดไว้แค่นั้นเมื่อนึกได้ว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่เข้าท่าเลยสักนิดเพราะซาคาโมโตะเลิกคิ้วอย่างฉงน
“ร้อน? ฤดูใบไม้ร่วงเนี่ยนะ”
“ใช่” เด็กหนุ่มเถียงข้างๆคูๆ พอเห็นอีกฝ่ายนั่งอมยิ้มอย่างรู้ทันหน้าที่ร้อนอยู่แล้วก็ยิ่งระอุมากขึ้นจนต้องรีบหาทางแก้ตัว “ห้องฉันเล็กนิดเดียวพอมีนายสองคนมาอยู่ด้วยมันก็ร้อนขึ้นน่ะสิ”
“แค่นั่งเฉยๆคงไม่ทำให้ร้อนเท่าไหร่หรอกมั้ง” ซาคาโมโตะหาเรื่องกระเซ้า เท่านั้นยังไม่พอ เขาลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งที่โซฟาและแกล้งดึงฟุรุคาวะเข้ามากอด “แบบนี้ต่างหากถึงจะทำให้ร้อน”
ถ้าเป็นการ์ตูน ตัวของเด็กหนุ่มคงมีไฟลุกพรึ่บขึ้นมา กระนั้นความรู้สึกในตอนนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากคนที่ตกอยู่ในกองเพลิงสักเท่าไหร่ เพราะทั่วสารพางค์กายกำลังปั่นป่วนไปด้วยความร้อน ฟุรุคาวะรีบผลักอีกฝ่ายพร้อมกับโวยลั่น
“ทำอะไรของนายน่ะ!” พอหลุดจากอ้อมแขนเด็กหนุ่มก็ลุกพรวดขยับถอยห่างด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอาย ตาเหลือบไปทางทาคุอย่างไม่ตั้งใจพอสบกับสายตาที่จ้องมองมาอย่างสำนึกผิดแล้ว อกของฟุรุคาวะก็เกิดอาการโหวงเหวงจนต้องเบนกลับไปทางซาคาโมโตะ
“เจ้าพวกบ้า”
หลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าครั้งแรกก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องและปิดประตูดังปัง ทาคุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนหันไปมองซาคาโมโตะด้วยสายตาตำหนิ
“เล่นอะไรไม่ดูสถานการณ์เลย เกิดเขาโกรธขึ้นมาแล้วไล่พวกเราออกจากบ้านจะทำยังไง”
“ไม่หรอก” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอารมณ์ดี พอเห็นสารถีหนุ่มยืนหน้าบูดเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “แค่งอนเท่านั้นไม่ได้โกรธสักหน่อย”
“รู้ได้ยังไง” ทาคุถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างห้วน ซาคาโมโตะเลิกคิ้วคล้ายไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรแบบนี้ออกมา
“นายเป็นคนบอกฉันเอง”
“เรื่องอะไร”
“โกรธกับงอน” ตอบสั้นๆแต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงแล้วชายหนุ่มจึงอธิบายต่ออีกนิด “วันก่อนนายเป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันเองไม่ใช่หรือว่า เวลางอนฟุบุกิจะหลบหน้าหรือไม่ก็เดินหนี แต่ถ้าโกรธแล้วละก็ป่านนี้เราสองคนคงถูกโยนออกจากบ้านไปแล้ว”
ทาคุนิ่งคิดและนึกขึ้นได้ว่าวันก่อนตอนส่งคนทั้งสองไปโรงเรียน ซาคาโมโตะกลุ้มใจที่ฟุรุคาวะพยายามหลบหน้าเลยคิดว่าถูกเกลียด เขาจึงบอกไปว่านั่นเป็นแค่อาการของคนที่กำลังงอนหรือเขินอายเท่านั้น แต่เรื่องในเวลานี้กับตอนนั้นมันต่างกัน ความเลวร้ายที่เขาก่อขึ้นทำให้สายใยแห่งความเชื่อใจขาดสะบั้น เมื่อครู่ตอนที่เด็กหนุ่มเหลือบมาทางเขา แม้จะเพียงแวบเดียวแต่สายตาที่แสดงออกบ่งบอกได้เลยว่าฟุรุคาวะยังคงมีความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ ดังนั้นกิริยาที่เห็นจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ งอน
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ” พูดพึมพำเหมือนบอกกับตัวเองมากกว่า ซาคาโมโตะมองเพื่อนรักที่กำลังยืนคอตกทำหน้าเศร้าอย่างนึกเห็นใจ แต่เวลานี้คำปลอบโยนคงไม่เหมาะกับเพื่อนตัวป่วนเท่าไหร่เพราะคนรักศักดิ์ศรีอย่างทาคุ ไม่มีวันยอมรับความสงสารจากใครง่ายๆ ทางแก้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ให้เขาเผชิญหน้ากับฟุรุคาวะ สารภาพบาปกันตรงๆไปเลย
“เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยสักที เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า” เปรยขึ้นโดยเจตนาให้อีกฝ่ายได้ยิน ซึ่งพอจะได้ผลอยู่บ้างเพราะสารถีหนุ่มมุ่นคิ้วพูดเสียงขุ่น
“พูดให้ดีๆหน่อยเคียวยะ ฉันไม่ใช่หมานะเฟร้ย”
“แน่ใจเหรอ” ชายหนุ่มยังยั่วไม่เลิกและนึกยิ้มอยู่ในใจเมื่ออีกฝ่ายทำตาวาว
“เออก็ได้ฉันยอมรับ แต่นายลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองก็เป็นหมาเหมือนกัน”
“ฉันเป็นจิ้งจอก” ซาคาโมโตะโต้กลับทันควันพร้อมกับเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส ท่าทางที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตัวเองทำให้ทาคุต้องกระแทกลมหายใจออกมาด้วยความหมั่นไส้
“ผมรู้แล้วขอรับว่าท่านเป็นจิ้งจอกผู้สูงส่ง” ประชดออกมาแบบไม่มีการเม้มเพื่อรักษามารยาท “งั้นรบกวนคุณชายช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับว่ากระผมควรทำตัวยังไงดี”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี (yaoi) บทที่ 17 นิทานวายุ
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/34910335
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/34928427
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/34939664
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/34947967
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/34956823
บทที่ 17 นิทานวายุ
อย่าคิดมาก
คำปลอบใจจากซาคาโมโตะยังฝังอยู่ในหัวซึ่งทาคุเองก็พยายามทำตาม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะคนที่เขาอยากจะขอโทษมากที่สุดไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้ อย่างตอนเช้าทุกทีพอทำอาหารเสร็จทุกคนจะมานั่งกินด้วยกัน วันนี้ฟุรุคาวะกลับฉวยจานของตัวเองแยกตัวไปนั่งในห้องนั่งเล่นปล่อยให้เขากับซาคาโมโตะนั่งมองหน้ากันที่โต๊ะ แม้จะได้รับกำลังใจทางสายตาจากเพื่อนแต่ความหมางเมินที่ได้รับทำให้หัวใจของสารถีหนุ่มห่อเหี่ยวจนไม่มีแรงทำอะไร เขาฝืนใจตักข้าวเข้าปากสองสามคำก็ต้องหยุดและทำท่าจะลุกขึ้นแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดลอยๆ
“กินน้อยแบบนั้นจะไปมีแรงปกป้องคนอื่นได้ยังไง”
ทาคุหันไปมองซาคาโมโตะ อีกฝ่ายจ้องกลับมาด้วยสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ” เขาแก้ตัวด้วยประโยคที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่เพราะซาคาโมโตะเลิกคิ้วสูงและมองเหมือนไม่อยากเชื่อ
“คนที่กินข้าวเช้าครั้งละไม่ต่ำกว่าสองจานอย่างนายเนี่ยนะ” เขาพูดอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนปรับน้ำเสียงให้เข้มขึ้น “นั่งลงกินให้หมด นี่เป็นคำสั่ง!”
ลำพังเสียงไม่เท่าไหร่แต่ดวงตาที่มีแสงวาววับบังคับให้ทาคุต้องกลับนั่งลงไปอีกครั้งและลงมือกินต่อเงียบๆอย่างไม่กล้าโต้แย้ง ซาคาโมโตะจับตามองจนข้าวของสารถีหนุ่มพร่องไปเกือบครึ่งจึงหันไปจัดการส่วนของตัวเองบ้าง พอกินหมดก็ทำท่าจะนำจานเปล่าไปล้างแต่อุ้งมือหนาของทาคุยื่นมาฉวยไปก่อน
“ฉันจัดการเอง”
พูดพร้อมกับลุกขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ฟุรุคาวะเดินถือจานข้าวที่กินหมดแล้วเข้ามาพอดี สารถีหนุ่มจึงยื่นมือไปขออย่างที่เคยทำแต่ต้องชะงักค้างเมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านเลยไปเหมือนเขาไม่มีตัวตน แถมพอล้างจานในส่วนของตัวเองเสร็จก็ย้อนกลับไปดูทีวีต่อปล่อยให้ทาคุยืนท่านั้นอยู่ในครัวอย่างไม่ไยดี
หัวใจปวดแปลบกับความหมางเมินที่ได้รับ มันช่างเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกพวกโอโรจิรุมฉีกเนื้อเป็นร้อยเท่า เพราะไม่เพียงแค่ความรัก หากมิตรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เคยมีให้แก่กันก็พลอยสูญสิ้นไปด้วย
ทาคุกลืนความขมขื่นเข้าไปในอกหอบจานไปล้างโดยมีซาคาโมโตะคอยมองอย่างเห็นใจในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาของใครอีกคนลอบมองเป็นระยะ
ฟุรุคาวะเข้าใจดีว่าสิ่งที่ทาคุทำลงไปนั้นเกิดจากอำนาจสะกดของปิศาจและยอมยกโทษให้ตั้งแต่ฟังคำอธิบายจากซาคาโมโตะแล้ว ที่ยังไม่กล้าเข้าใกล้ในเวลานี้เพราะยังกลัวอยู่บ้าง อีกอย่างพอหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนตอนกำลังโดนปล้ำ สายตาของทาคุในตอนนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความหิวกระหาย หากแฝงความโหยหาอย่างลึกซึ้งบ่งบอกถึงความรู้สึกอันแท้จริงที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูของร่างกาย เด็กหนุ่มจึงมั่นใจว่าความรู้สึกที่ทาคุมีต่อตนเองนั้นเป็นแบบเดียวกันกับของซาคาโมโตะ เพราะจากที่ฟัง หน้ากากฮันเนีย มีผลโดยตรงกับคนที่มีความริษยาในความรัก เพียงแต่เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าชายผู้มีบุคลิกแข็งแกร่งอย่างทาคุจะพ่ายแพ้ต่อมนต์สะกดง่ายๆแบบนี้ ทั้งที่ในอดีตไม่ว่าคาราสุเฮบิจะทำยังไงก็ไม่เคยครอบงำคุโระอินุมารุได้เลยสักครั้ง
เอ๊ะ! เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง แล้วทำไมจู่ๆถึงนึกชื่อทั้งสองนี้ขึ้นมา ฟุรุคาวะถามตัวเองด้วยความฉงนพลางย้อนหวนนึกถึงตอนที่โดนปล้ำจวนเจียนจะเสียท่า เขาก็หลุดปากเอ่ยชื่อนี้ออกมาเป็นเหตุให้ทาคุได้สติและหยุดการกระทำอันแสนน่ากลัวนั่นทันที
คุโระอินุมารุ?
ชื่อนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ที่แปลกก็คือเขารู้สึกเหมือนมีชื่อของใครอีกคนติดอยู่ในความทรงจำแต่พยายามเท่าไรก็นึกไม่ออก ทั้งที่จำได้ว่าคนทั้งสองมักไปไหนมาไหนด้วยกัน ต่อสู้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่และมักถกเถียงกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลา
เงาเลือนรางของชายสองคนผุดขึ้นมาในหัว คนหนึ่งมีร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่ ผมสีดำสนิทยาวถึงสะโพกในขณะที่ชายอีกคนที่แม้จะตัวเล็กกว่าแต่กลับเต็มไปด้วยความสง่างามยากที่จะหาใครเทียบ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงเส้นผม มันไม่ได้เป็นสีดำเหมือนชายคนแรก หากเป็นสีเงินสุกสว่างเหยียดตรงคลุมแผ่นหลังยาวไปจนจรดบั้นเอว
หรือเงานั้นคือชายผมขาวที่เขาฝันเห็นทุกคืน เจ้าของคฤหาสน์ชิรายูกิยาชิกิ ซาคาโมโตะ เคียวยะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ......
ความคิดทั้งหมดสะดุดลงตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนมันติดอยู่ตรงริมฝีปากแต่กลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ฟุรุคาวะขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด แบบนี้เขาก็ไม่มีทางรู้ได้สิว่าชายคนนั้นเป็นใคร คิดพลางเลื่อนสายตากลับไปจ้องหนุ่มตัวใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรวุ่นอยู่ในครัว ถึงจะยังนึกชื่อชายผมขาวไม่ออกแต่ตอนนี้เขาคิดว่า คุโระอินุมารุ ที่หลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัวก็คือทาคุ แต่ทำไมคนขับรถสุดห้าวถึงมีอีกชื่อที่แสนจะประหลาดแบบนั้นแถมภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวคืออะไรกันแน่ ใจจริงแล้วเด็กหนุ่มอยากถามซาคาโมโตะแต่คนที่ดูมีลับลมคมในแบบนั้นคงไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรง่ายๆ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือคนใกล้ชิดอย่างผู้ติดตามซึ่งในเวลานี้มีเพียงพลขับจอมกวน แต่ติดปัญหาอยู่สองอย่างคือ หมอนั่นอยู่กับเจ้านายตลอดเวลาและตัวเขาเองยังตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวด้วยความกลัดกลุ้ม ถ้าขืนกลัวอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะรู้เรื่อง คิดได้ดังนั้นจึงขยับตัวเตรียมเดินไปหาจังหวะเดียวกันนั้นทาคุก็หมุนตัวหันมาสบตาเข้าพอดี ฟุรุคาวะรีบก้มหน้าหลบและนึกโมโหตัวเองว่าไม่ควรทำอย่างนั้น เพราะพอเหลือบตามองก็เห็นสารถีหนุ่มหันกลับไปทำกับข้าวต่อในลักษณะยืนคอตก หั่นผักเหมือนคนไม่มีแรง
เอาไงดี ฟุรุคาวะถามตัวเองและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จะเดินไปถามดื้อๆก็ยังไม่กล้าเท่าไหร่ครั้นจะให้นิ่งเฉยอยู่แบบนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทาคุก็คงจะแย่ลง เผลอๆอีกฝ่ายเกิดใจเสียหนีกลับบ้านขึ้นมา เขามิต้องอยู่กับซาคาโมโตะสองต่อสองหรือ ตาชำเลืองไปทางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำกินกิซึเนะโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นแรงขึ้น เขายอมรับว่ากลัวทาคุแต่น้อยกว่าการอยู่กันตามลำพังกับซาคาโมโตะเพียงแต่ไม่ใช่เรื่องการโดนปล้ำ หากเป็นความปรารถนาบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ลึกๆภายในใจ
เหตุการณ์น่าอายหวนกลับเข้ามาในความคิด ถ้าเมื่อคืนคนลงมือคือซาคาโมโตะ เขาคงไม่ขัดขืนดิ้นรนและเรื่องราวคงจบลงด้วยความหวานชื่นต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ความร้อนวิ่งเป็นริ้วบนใบหน้า ฟุรุคาวะรีบเบนสายตาเปลี่ยนเป้าหมายจากชายหนุ่มไปทางทาคุ นี่เขากำลังคิดบ้าอะไร เรื่องเร่งด่วนที่ควรแก้ไขในตอนนี้คือหาทางคืนดีกับทาคุต่างหาก
“เป็นอะไรไปน่ะ” เสียงทุ้มของซาคาโมโตะเอ่ยถามขึ้นเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงของเด็กหนุ่มกลับคืนมา เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่านี่ถามทำไม”
“นายหน้าแดง” คำตอบนั้นทำให้ทาคุลืมตัวมองตาม สายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้ฟุรุคาวะรู้สึกอึดอัด เขารีบก้มหน้าหลบพร้อมกับกล่าวแก้ตัว
“ก...ก็อากาศมันร้อน” หยุดไว้แค่นั้นเมื่อนึกได้ว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่เข้าท่าเลยสักนิดเพราะซาคาโมโตะเลิกคิ้วอย่างฉงน
“ร้อน? ฤดูใบไม้ร่วงเนี่ยนะ”
“ใช่” เด็กหนุ่มเถียงข้างๆคูๆ พอเห็นอีกฝ่ายนั่งอมยิ้มอย่างรู้ทันหน้าที่ร้อนอยู่แล้วก็ยิ่งระอุมากขึ้นจนต้องรีบหาทางแก้ตัว “ห้องฉันเล็กนิดเดียวพอมีนายสองคนมาอยู่ด้วยมันก็ร้อนขึ้นน่ะสิ”
“แค่นั่งเฉยๆคงไม่ทำให้ร้อนเท่าไหร่หรอกมั้ง” ซาคาโมโตะหาเรื่องกระเซ้า เท่านั้นยังไม่พอ เขาลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งที่โซฟาและแกล้งดึงฟุรุคาวะเข้ามากอด “แบบนี้ต่างหากถึงจะทำให้ร้อน”
ถ้าเป็นการ์ตูน ตัวของเด็กหนุ่มคงมีไฟลุกพรึ่บขึ้นมา กระนั้นความรู้สึกในตอนนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากคนที่ตกอยู่ในกองเพลิงสักเท่าไหร่ เพราะทั่วสารพางค์กายกำลังปั่นป่วนไปด้วยความร้อน ฟุรุคาวะรีบผลักอีกฝ่ายพร้อมกับโวยลั่น
“ทำอะไรของนายน่ะ!” พอหลุดจากอ้อมแขนเด็กหนุ่มก็ลุกพรวดขยับถอยห่างด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอาย ตาเหลือบไปทางทาคุอย่างไม่ตั้งใจพอสบกับสายตาที่จ้องมองมาอย่างสำนึกผิดแล้ว อกของฟุรุคาวะก็เกิดอาการโหวงเหวงจนต้องเบนกลับไปทางซาคาโมโตะ
“เจ้าพวกบ้า”
หลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าครั้งแรกก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องและปิดประตูดังปัง ทาคุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนหันไปมองซาคาโมโตะด้วยสายตาตำหนิ
“เล่นอะไรไม่ดูสถานการณ์เลย เกิดเขาโกรธขึ้นมาแล้วไล่พวกเราออกจากบ้านจะทำยังไง”
“ไม่หรอก” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอารมณ์ดี พอเห็นสารถีหนุ่มยืนหน้าบูดเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “แค่งอนเท่านั้นไม่ได้โกรธสักหน่อย”
“รู้ได้ยังไง” ทาคุถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างห้วน ซาคาโมโตะเลิกคิ้วคล้ายไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรแบบนี้ออกมา
“นายเป็นคนบอกฉันเอง”
“เรื่องอะไร”
“โกรธกับงอน” ตอบสั้นๆแต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงแล้วชายหนุ่มจึงอธิบายต่ออีกนิด “วันก่อนนายเป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันเองไม่ใช่หรือว่า เวลางอนฟุบุกิจะหลบหน้าหรือไม่ก็เดินหนี แต่ถ้าโกรธแล้วละก็ป่านนี้เราสองคนคงถูกโยนออกจากบ้านไปแล้ว”
ทาคุนิ่งคิดและนึกขึ้นได้ว่าวันก่อนตอนส่งคนทั้งสองไปโรงเรียน ซาคาโมโตะกลุ้มใจที่ฟุรุคาวะพยายามหลบหน้าเลยคิดว่าถูกเกลียด เขาจึงบอกไปว่านั่นเป็นแค่อาการของคนที่กำลังงอนหรือเขินอายเท่านั้น แต่เรื่องในเวลานี้กับตอนนั้นมันต่างกัน ความเลวร้ายที่เขาก่อขึ้นทำให้สายใยแห่งความเชื่อใจขาดสะบั้น เมื่อครู่ตอนที่เด็กหนุ่มเหลือบมาทางเขา แม้จะเพียงแวบเดียวแต่สายตาที่แสดงออกบ่งบอกได้เลยว่าฟุรุคาวะยังคงมีความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ ดังนั้นกิริยาที่เห็นจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ งอน
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ” พูดพึมพำเหมือนบอกกับตัวเองมากกว่า ซาคาโมโตะมองเพื่อนรักที่กำลังยืนคอตกทำหน้าเศร้าอย่างนึกเห็นใจ แต่เวลานี้คำปลอบโยนคงไม่เหมาะกับเพื่อนตัวป่วนเท่าไหร่เพราะคนรักศักดิ์ศรีอย่างทาคุ ไม่มีวันยอมรับความสงสารจากใครง่ายๆ ทางแก้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ให้เขาเผชิญหน้ากับฟุรุคาวะ สารภาพบาปกันตรงๆไปเลย
“เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยสักที เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า” เปรยขึ้นโดยเจตนาให้อีกฝ่ายได้ยิน ซึ่งพอจะได้ผลอยู่บ้างเพราะสารถีหนุ่มมุ่นคิ้วพูดเสียงขุ่น
“พูดให้ดีๆหน่อยเคียวยะ ฉันไม่ใช่หมานะเฟร้ย”
“แน่ใจเหรอ” ชายหนุ่มยังยั่วไม่เลิกและนึกยิ้มอยู่ในใจเมื่ออีกฝ่ายทำตาวาว
“เออก็ได้ฉันยอมรับ แต่นายลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองก็เป็นหมาเหมือนกัน”
“ฉันเป็นจิ้งจอก” ซาคาโมโตะโต้กลับทันควันพร้อมกับเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส ท่าทางที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตัวเองทำให้ทาคุต้องกระแทกลมหายใจออกมาด้วยความหมั่นไส้
“ผมรู้แล้วขอรับว่าท่านเป็นจิ้งจอกผู้สูงส่ง” ประชดออกมาแบบไม่มีการเม้มเพื่อรักษามารยาท “งั้นรบกวนคุณชายช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับว่ากระผมควรทำตัวยังไงดี”