สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi) บทที่ 11 คนร่วมเตียง

กระทู้สนทนา
บทที่ 1-2 http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/34855480

          บทที่ 11 คนร่วมเตียง ?!

          เสียงเพลงจากนาฬิกาปลุกฟุรุคาวะจนตื่น สิ่งแรกที่ทำหลังจากเปิดเปลือกตาคือนึกทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาจำได้รางๆว่าถูกปิศาจจำนวนมากรุมทำร้ายและโดนหนวดประหลาดรัดจนขยับไม่ได้ จิ้งจอกจิ๋วที่เคยช่วยเหลือก็โดนจัดการจนได้รับบาดเจ็บ สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าของซาคาโมโตะ

          หมอนี่อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพลางถอนใจและเตรียมลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่กลับขยับร่างกายไม่ได้เพราะมีอะไรบางอย่างกอดรัดเอาไว้ เจ้าหนวดน่าขยะแขยงนั่นอีกแล้วหรือ ! เขาคิดอย่างตระหนกพร้อมกับมองข้างตัวและเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าต้นเหตุคือใคร

          “ซาคาโมโตะ!!!”

          “อือ” คนถูกเรียกขานรับในคอ “อยู่กันแค่นี้ไม่ต้องเรียกดังขนาดนั้นก็ได้”

          ฟุรุคาวะโกรธจนตัวสั่น เขารีบผลักแขนที่โอบรอบตัวเอาไว้ออกจากตัว “นายมาทำอะไรบนเตียงฉัน!” ถามลั่นก่อนดีดตัวลุกไปยืนหน้าซีดสองมือไล่สำรวจไปตามร่างกายเหมือนอยากรู้ว่ามีรอยอะไรประทับบ้างหรือเปล่า ท่าทางลุกลนของเขาทำให้ซาคาโมโตะขำจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ

          “ไม่ต้องห่วงนายยังบริสุทธิ์อยู่” เขาพูดเชิงล้อก่อนยันตัวขึ้นนั่งและถามด้วยใบหน้าที่ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้น “จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เหรอ”

          ฟุรุคาวะหยุดคิด ใช่แล้วเมื่อคืนเขาเจอปิศาจอสุรกายจำนวนมากกว่าทุกครั้ง จิ้งจอกน้อยพยายามช่วยแต่กลับโดนทำร้ายจนหมอบ จากนั้นก็ถูกผู้ชายประหลาดลากเข้าไปในโพรงมืดๆโชคดีที่ซาคาโมโตะกับทาคุมาช่วยเอาไว้ได้ทัน และนอนค้างเป็นเพื่อนเพื่อความปลอดภัย

          “เมื่อคืนนี้นายช่วยฉันจากพวกปิศาจ”

          ซาคาโมโตะอมยิ้มน้อยๆก่อนพยักหน้ารับ “ใช่”

          “แล้วนายอาสาอยู่เป็นเพื่อนเผื่อพวกมันจะกลับมาอีก” เด็กหนุ่มหยุด เม้มปากหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงสภาพเมื่อเช้า “แล้วกอดฉันทำไม”

          ชายหนุ่มยักไหล่ “ฉันเป็นคนติดหมอนข้าง”

          “แต่ฉันไม่ใช่” ฟุรุคาวะสวนทันควันแต่ต้องหน้าแดงเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างมีความหมายของชายหนุ่ม เขาอมยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

          “ตอนกอดนายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรนี่”

          “ก็ตอนนั้นฉัน...” เด็กหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อนึกได้ว่าขืนเถียงต่อมีหวังเข้าตัว แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ชอบการกระทำแบบนี้เขาจึงกระแทกลมหายใจออกมาแรงๆก่อนหันไปคว้าผ้าเช็ดตัว ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรซาคาโมโตะยังไม่วายถาม

          “อ้าว! จะไปไหนล่ะ?”

          “อาบน้ำ!”

          ตอบห้วนๆพร้อมกับกระแทกประตูดังปังชายหนุ่มเลยแกล้งตะโกนไล่หลัง “อยากได้คนช่วยถูหลังก็บอกนะ”

          เสียงโครมครามในห้องน้ำทำให้รู้ว่าคนที่อยู่ข้างในคงเหวี่ยงข้าวของเพื่อระบายอารมณ์ แทนที่จะโกรธเขากลับยิ้มกริ่ม

          “น่ารัก”  

          เขาลุกเดินสำรวจรอบห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีภูตผีปิศาจตนใดซ่อนอยู่ไม่ว่าจะเป็นตู้ โต๊ะหรือแม้แต่ในอ่างล้างจาน จากนั้นจึงเดินออกไปยังห้องรับแขกและทำแบบเดียวกันอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ระหว่างการตรวจจิตก็สัมผัสถึงพลังงานบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาที่ห้อง ชายหนุ่มจึงหงายมือขึ้นรับดวงไฟสีเงินที่ลอยละลิ่วเข้ามาจากทางหน้าต่าง

          “ไงเจ้าตัวน้อย” เขาทักทายจิ้งจอกสีเงินตัวจ้อยที่กำลังโบกพวงหางบนฝ่ามือ “แข็งแรงดีแล้วใช่ไหม”

          พอเจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับชายหนุ่มจึงยิ้ม “งั้นก็ดี ข้าอนุญาตให้เจ้าพักได้หนึ่งวันแต่ต้องอยู่ในห้องห้ามออกไปไหนอย่างเด็ดขาด”

          พวงหางพองฟูสีขาวโบกหนึ่งครั้งเพื่อรับคำสั่งจากนั้นจิ้งจอกน้อยก็กลายเป็นดวงไฟลอยหายไปทางหิ้งบูชาในห้องนอนเป็นเวลาเดียวกับที่ฟุรุคาวะเปิดประตูออกจากห้องน้ำพอดี

          “ตานายแล้ว” ถึงไม่อยากพูดด้วยแต่ก็อดหลุดปากบอกไม่ได้ ซาคาโมโตะจึงเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตากลับออกมาก็เจอเด็กหนุ่มกำลังสวมเสื้อผ้าพอดี พอเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในชุดเดิมก็ขมวดคิ้ว

          “ไม่อาบน้ำหน่อยเหรอ”

          “ก็อยากอยู่หรอกแต่ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมา”

          ฟุรุคาวะเม้มปากน้อยๆเหมือนไม่เต็มใจนักแต่ก็ยังอุตส่าห์เปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กกับแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมส่งให้ ยังไม่ทันรับทั้งคู่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูพอเปิดจึงรู้ว่าตัวการเป็นใคร

          “อรุณสวัสดิ์” ทาคุร้องทักเสียงดังตามนิสัยก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ซาคาโมโตะ “เข้าหอคืนแรกเป็นไงบ้าง เจ้าสาวดื้อหรือเปล่า”

          ใบหน้าของฟุรุคาวะแดงซ่านด้วยความอายผิดกับซาคาโมโตะที่แม้ยังคงตีหน้าขรึมแต่ดวงตาวาววับบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาอยากจับเจ้าคนปากมากโยนลงจากอพาร์ทเม้นท์เต็มแก่

          “พูดพอหรือยัง” น้ำเสียงที่ทำให้คนฟังต้องเงียบ “แล้วของที่สั่งให้เอามาล่ะ”

          ทาคุส่งกระเป๋าลากใบย่อมให้ปากก็สาธยายไปด้วย “ในนั้นมีทั้งชุดนักเรียนเสื้อนอนถุงเท้าผ้าเช็ดตัวยันกางเกงใน อ้ออันหลังเพิ่งซื้อที่ร้านสะดวกซื้อน่ะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิใครจะกล้าจับกางเกงในผู้ชายด้วยกันฟระ แปรงสีฟันสบู่ยาสระผมยัดไว้ตรงกระเป๋าหน้า ส่วนหนังสือฉันไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้างเลยขนมาหมด”

          เขาลดตาลงมองกระเป๋าสีดำใบใหญ่ที่วางไว้ตรงประตูและชูถุงพลาสติกที่อยู่ในมืออีกข้าง

          “เดาเอาว่าเมื่อคืนนายสองคนคงหักโหมกันจนเพลียเลยซื้อข้าวเช้ามาให้ แถมไข่ไก่สดๆอีกโหล”

          “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบไข่” คนเป็นนายบ่นแต่สารถีหนุ่มกลับทำหน้าทะเล้นก่อนตอบ

          “ไม่ชอบก็ต้องกิน ออกกำลังตอนกลางคืนหนักๆแบบนี้ขืนไม่บำรุงมีหวังหมดแรงตาย”

          ถึงจะเป็นการพูดแบบทีเล่นทีจริงแต่ฟุรุคาวะก็เข้าใจความหมายทุกอย่างทั้งหมด หน้าที่แดงอยู่แล้วเข้มขึ้นจากความรู้สึกผสมกันทั้งโกรธและอาย

          “คุยอะไรกันน่ะ” เขาถามเสียงห้วนสารถีหนุ่มยักคิ้วแผล็บก่อนตอบ

          “อธิบายของที่ขนมาให้หมอนี่”

          เด็กหนุ่มมองกระเป๋าสองใบที่คนตัวใหญ่ลากมากองรวมกันไว้ในห้องรับแขกอย่างไม่พอใจ แค่เจอที่โรงเรียนไม่พอยังขนเสื้อผ้ามาที่ห้องเขาอีก

          “อย่าบอกนะว่านายสองคนจะมาอยู่ด้วย”

          ทาคุรีบโบกมือก่อนชี้นิ้วไปที่ซาคาโมโตะ “แค่หมอนี่”

          ฟุรุคาวะหันขวับไปทางซาคาโมโตะทันที “บ้านนายก็มีจะมานอนค้างที่นี่ทำไม?”

          ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นตีหน้าซื่อ

          “ตอนนี้ที่บ้านกำลังซ่อมฉันหนวกหูนอนไม่ได้”

          “โรงแรมมีตั้งเยอะแยะ” ฟุรุคาวะยังคงปฏิเสธด้วยการยกเหตุผลอื่นขึ้นมาอ้างแต่ซาคาโมโตะกลับยักไหล่

          “ฉันไม่ชอบอยู่คนเดียว”

          “งั้นก็ให้หมอนี่ไปนอนเป็นเพื่อนสิ” พูดพร้อมกับชี้มือไปทางทาคุ สารถีหนุ่มส่ายหน้าโบกมือและรีบพูดอย่างเร็ว

          “กับเจ้านี่น่ะเหรอ ไม่มีทาง”

          “ฉันเองก็เหมือนกัน หมอนี่กินจุแถมยังนอนกรนอีกต่างหาก อีกอย่าง” ชายหนุ่มเว้นคำพูดเล็กน้อยพลางชำเลืองหางตามองพลขับจอมกวนแวบหนึ่ง “ไม่อยากนอนเตียงเดียวกับหมา”

          “ใครเป็นหมามิทราบ ระวังคำพูดหน่อยนะวะไอ้คุณเจ้านาย” ทาคุหันสวนคำอย่างไม่จริงจังนักก่อนเบนสายตากลับไปทางฟุรุคาวะ “อย่าปฏิเสธเลยครับคุณหนูขอให้เขาอยู่ด้วยแค่คืนสองคืนจนกว่าจะแน่ใจ”

          คำพูดดังกล่าวทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “แน่ใจเรื่องอะไร”

          “ว่านายปลอดภัย” คราวนี้ซาคาโมโตะเป็นคนตอบพอเห็นอีกฝ่ายตีหน้าเหมือนไม่เข้าใจเลยอธิบายด้วยการตั้งคำถาม “ลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้วเหรอ”

          แน่นอนว่าฟุรุคาวะจำได้แม่นและแน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพหลอนแต่ถ้าเขายอมรับก็เหมือนอนุญาตให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ร่วมชายคาด้วย

          “ลืมไปหมดแล้ว” ปฏิเสธโดยพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุดแต่ซาคาโมโตะกลับส่งยิ้มให้

          “โกหกไม่เก่งเลยนะ นายจำได้ดีแต่ไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยเลยตอบแบบนั้น ใช่ไหม” จบประโยคด้วยคำถาม เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆด้วยความเจ็บใจก่อนตอบ

          “ใช่ รู้แล้วก็ดี ลากกระเป๋าออกจากห้องฉันไปเดี๋ยวเลย”

          ทาคุเลิกคิ้วอย่างนึกขันที่เห็นคนตัวเล็กทำใจกล้าออกปากไล่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลออกจากห้อง ส่วนซาคาโมโตะยังคงตีหน้าเฉยเพียงแต่เปลี่ยนท่าจากยืนสบายๆเป็นยกมือขึ้นกอดอกก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

          “ฉันขอปฏิเสธ”

          “ก็ได้ งั้นฉันจะเป็นคนโยนมันออกไปเอง” ไม่พูดเปล่ายังเดินตรงรี่ไปหากระเป๋าทั้งสองใบแต่ยังไม่ทันลงมือต้องหยุดเพราะชายหนุ่มคว้าไหล่ไว้ก่อน

          “รู้ว่าไม่ชอบแต่อยากให้เข้าใจว่าตอนนี้นายกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าเราสองคนออกจากห้องไปตอนนี้นายถูกปิศาจพวกนั้นฆ่าตายแน่”

          น้ำเสียงที่ใช้ทุ้มนุ่มแฝงไว้ซึ่งความเป็นห่วงจนเด็กหนุ่มบังเกิดความอบอุ่นอย่างประหลาด แต่ด้วยทิฐิทำให้เขาไม่อาจทำใจยอมรับความรู้สึกนั้น

          “แบบนั้นก็ดีเพราะฉันเองก็ไม่อยากอยู่บนโลกบ้าๆนี่อีกแล้ว โอ๊ย!” เขาร้องเมื่อมือแกร่งบีบแน่นขึ้นจนแทบทำให้กระดูกแตก “ทำบ้าอะไรของนาย มันเจ็บนะ!”

          ต่อว่าด้วยความโกรธและเงียบเสียงเมื่อเห็นนัยน์ตาของซาคาโมโตะลุกโชนด้วยแสงสีอำพัน

          “เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าบนโลกบ้าๆนี่มีหลายคนกำลังเป็นห่วงนายอยู่ และรู้หรือเปล่าว่าบางคนรักนายมากแค่ไหน”

          “ฉันไม่สน”

          “แต่ฉันสน” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหมุนตัวเด็กหนุ่มให้หันมาประจันหน้า “ถ้านายไม่สนใจใครก็อยากให้นึกถึงคนที่ตายไปแล้วบ้าง พวกเขาจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าคนที่เขายอมสละชีวิตให้ไม่อยากมีลมหายใจอยู่บนโลก”

          คำพูดของซาคาโมโตะเหมือนเหล็กแหลมแทงทะลุเข้าไปในหัวใจ ฟุรุคาวะยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงอดีตเพราะมันไม่ใช่ความลับอะไร แต่ไม่พอใจที่หมอนี่ดึงพ่อแม่ของเขามาเกี่ยวข้องด้วย

          “กล้าดียังไง” เด็กหนุ่มเค้นเสียงที่สั่นพร่าออกมาโดยมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้า “นายไม่รู้จักฉันเลยสักนิดแล้วกล้าดียังไงถึงพูดแบบนี้”

          ซาคาโมโตะอยากเล่าเรื่องราวในอดีต บอกกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กหนุ่มใจแทบขาดแต่รู้ดีว่าพูดไปอีกฝ่ายคงไม่เชื่อดีไม่ดีอาจต่อต้านด้วยการไม่ยอมให้เข้าใกล้อีกเลย

          “ขอโทษที่ทำให้นายไม่พอใจแต่อยากให้รู้ว่าฉันเป็นห่วง” เขาถอนใจเบาๆ “เมื่อก่อนนายต้องอยู่บนโลกเพียงลำพังตอนนี้ฉันจะขอยืนเคียงข้างและคอยปกป้องนาย”

          คำพูดที่กล่าวออกมาจากใจกับใบหน้าจริงจังทำให้ฟุรุคาวะถึงกับอึ้งกระนั้นเขายังมองซาคาโมโตะอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก

          “ทำไม”

          “ฉันตอบไม่ได้หรอกว่าทำไมแต่อีกหน่อยนายจะรู้เอง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆพลางนึกภาวนาขอให้เด็กหนุ่มเชื่อใจยอมตกลง คำอธิษฐานของเขาเป็นจริงเมื่อฟุรุคาวะผงกศีรษะ

          “ถ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว...” คิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความลังเลว่าควรตอบตกลงดีหรือไม่แต่ก็ตัดสินใจในที่สุด “ก็ได้ฉันยอมให้นายอยู่ด้วย”

          คนยิ้มแป้นไม่ใช่ซาคาโมโตะหากเป็นทาคุ ชายหนุ่มชูสองแขนขึ้นร้องไชโยออกมาดังๆพอเห็นสายตาดุจากเจ้านายเขาก็ค่อยๆลดมันลงพร้อมกับกล่าวแก้ตัว “แหมก็ฉันกลัวว่าจะหอบกระเป๋ามาเก้อน่ะ”

          “เจ้าบ้า” เสียงพึมพำอย่างเอือมระอาก่อนคนพูดหันกลับไปทางฟุรุคาวะ “ขอบใจที่เชื่อ”

          “แค่ไม่อยากเห็นหมอนั่นหอบของพะรุงพะรังกลิ้งลงไปตามบันไดต่างหาก” เด็กหนุ่มทำปากแข็ง “ขอเตือนไว้ก่อนนะว่าฉันยอมให้อยู่ด้วยก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้นายทำอะไรตามอำเภอใจ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่