สายใยรักจิ้งจอกพันปี(yaoi) บทที่ 21 คำพูดสุดท้าย

กระทู้สนทนา
บทที่ 20 http://pantip.com/topic/35159249

                    บทที่ 21 คำพูดสุดท้าย

                        กลิ่นชื้นของฝนถูกลมนำพาผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง แต่นักเรียนยังไม่สนใจเพราะช่วงเวลาอันน้อยนิดในตอนเช้าคือวินาทีสำคัญสำหรับการเตรียมตัวสอบ ส่วนใหญ่นั่งทบทวนตำราเรียน หลายคนจับกลุ่มซักถามถึงหัวข้อที่ไม่เข้าใจ บางคนนั่งทำหน้าเหมือนคนสมองโล่งไม่มีสิ่งใดอยู่ในหัว มีบ้างที่นั่งเฉยเหมือนมั่นใจว่าสามารถทำข้อสอบได้อย่างสบาย

                        ซาคาโมโตะกับฟุรุคาวะจัดอยู่ในกลุ่มหลังซึ่งเป็นส่วนน้อย ทั้งคู่นั่งมองท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนจนมืดลงทุกขณะ บางกลุ่มมีแสงสว่างวาบขึ้นเป็นระยะเหมือนเตือนว่าพายุกำลังจะมาในอีกไม่ช้า กริ่งสัญญาณบอกเข้าเรียนยังไม่ทันดัง เสียงฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาดังสนั่นจนกระจกลั่นกราวทำให้นักเรียนสะดุ้งโหยงกันทั้งห้อง นักเรียนหญิงบางคนกระเถิบเข้าไปใกล้ๆเพื่อนด้วยความกลัว ส่วนนักเรียนชายที่แม้จะใจกล้ากว่าก็ยังหน้าเหลือสองนิ้วด้วยความตระหนก เมื่อสายอสนีบาตฟาดลงมาอีกครั้ง ไฟทั้งโรงเรียนก็ดับพรึ่บลงพร้อมกับเสียงกรี๊ดของเด็กสาวที่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

                        “ไฟดับ!”

                        นักเรียนต่างร้องบอกกันเซ็งแซ่ บางคนรีบใช้สมาร์ตโฟนของตัวเองแทนไฟฉาย แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ทุกคนก็ภาวนาให้ไฟดับนานๆเพื่อจะได้ไม่ต้องสอบ สายลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆสลับกับเสียงฟ้าคำรามลั่นครืนดังติดต่อกันอีกหลายครั้งจนฟุรุคาวะเริ่มนั่งไม่ติด ซาคาโมโตะจึงลากเก้าอี้ของตัวเองไปนั่งข้างๆและกุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้

                        “ไม่ต้องกลัว” เขาปลอบเสียงนุ่ม อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจทันที

                        “จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่าฉันไม่ได้กลัว” แข็งใจพูดออกไปและห่อตัวลงเมื่อสายฟ้าวิ่งจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อน ไม่กี่วินาทีเสียงเปรี้ยงก็ดังตามมา ซาคาโมโตะมองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังนั่งหน้าซีดอย่างนึกเห็นใจ

                        “จะกลับก็ได้นะ”

                        “ทำได้ที่ไหนกันล่ะ” ฟุรุคาวะพูดก่อนชำเลืองเมฆสีดำบนท้องฟ้าและถอนใจออกมาหนักๆ “ลืมแล้วหรือไงว่าวันนี้เรามีสอบ”

                        “ไฟดับแบบนี้คงได้อยู่หรอก” ชายหนุ่มพูดพลางกวาดตามองเด็กนักเรียนภายในห้องที่กำลังพูดจาหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ความจริงแล้วเขาสามารถพาฟุรุคาวะออกไปตอนนี้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยก็ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นมีหวังโดนโกรธจนเข้าหน้าไม่ติด ดังนั้นเขาควรรอคำสั่งของอาจารย์ใหญ่อนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านได้เพราะดูแล้วฝนน่าจะตกหนักกว่าเมื่อวานแถมไฟยังดับชนิดที่ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาติดง่ายๆ ต่อให้นั่งอยู่ในห้องก็ไม่มีประโยชน์อะไร คิดพลางดึงสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อโทร.บอกให้ทาคุมารับแต่ไม่มีสัญญาณ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนวิธีเป็นการติดต่อทางจิตแต่ต้องแปลกใจที่เรียกเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบกลับมา เขาจึงเพ่งสมาธิสำรวจและต้องตกใจเมื่อพบพลังงานบางอย่างคล้ายกำแพงคอนกรีตกั้นไว้รอบโรงเรียน ลำพังปิศาจธรรมดาไม่สามารถสร้างม่านพลังแบบนี้ได้ ดังนั้นแล้วเจ้าของพลังอันแข็งแกร่งนี้จะต้องเป็นหมอนั่นเพียงคนเดียวเท่านั้น

                        คิ้วของซาคาโมโตะมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อนึกถึงคาราสุเฮบิ เจ้าปิศาจงูจอมเจ้าเล่ห์กำลังวางแผนอะไรอยู่แน่ คิดพลางดึงฟุรุคาวะให้มาอยู่ใกล้ตัว อีกฝ่ายปัดมือเขาออกพร้อมกับมองอย่างไม่ชอบใจ

                        “ทำอะไรของนาย” ถามพร้อมกับกวาดตามองเพื่อนๆก่อนลดเสียงลงกระซิบ “นี่มันที่โรงเรียนไม่ใช่ที่บ้าน ช่วยระวังกิริยาด้วย”

                        แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทุกขณะทำให้ซาคาโมโตะไม่มีอารมณ์มาเล่นสนุก เขารั้งร่างผอมบางของฟุรุคาวะเข้ามาแนบตัวและกวาดตามองไปรอบๆพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจม สีหน้าและท่าทางที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติทำให้ฟุรุคาวะเริ่มเอะใจ

                        “มีอะไร”

                        “เราถูกล้อม” ดวงตาของซาคาโมโตะเปลี่ยนเป็นสีอำพันระหว่างพูด มันทำให้เด็กหนุ่มใจหายวาบและรีบมองไปรอบๆ

                        “ปิศาจพวกนั้นอีกแล้วเหรอ” เขาถามเสียงสั่นพลางหวนนึกถึงสัมผัสเปียกลื่นน่าขยะแขยงของหนวดปลาหมึกตอนถูกลากเข้าไปในโพรงมืด เด็กหนุ่มเกาะแขนซาคาโมโตะแน่นขณะมองเงาไหววูบวาบภายในห้องอย่างนึกหวาด ความกลัวทำให้เขาเห็นว่ามันคือปิศาจที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างมุ่งร้าย พลันความประหวั่นทั้งหมดก็มลายหายไปเมื่อชายหนุ่มดึงเขาเข้าไปกอด

                        “ไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องนายเอง”

                        ซาคาโมโตะกระซิบริมหูสร้างความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วกาย ความกลัวในปิศาจลดลงหากความหวาดหวั่นต่อเสียงฟ้าร้องยังคงตรึงแน่นไม่ยอมจางหาย ฟุรุคาวะจึงยกสองมือขึ้นปิดหูพร้อมกับแนบใบหน้าเข้ากับอกของชายหนุ่มเพื่อที่จะไม่ต้องเห็นหรือได้ยินอะไร ถึงอย่างนั้นเสียงครืนครั่นก็ยังแว่วผ่านเข้ามาในโสตกระตุ้นเตือนความทรงจำบางอย่างที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใต้สำนึกให้ผุดขึ้นมาทีละน้อย ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่มันทำให้หัวใจของฟุรุคาวะต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนเขาแทบอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆ

                        “ไม่ต้องกลัวนะฟุบุกิ” กายสั่นเทิ้มในอ้อมกอดทำให้ซาคาโมโตะเข้าใจว่าเด็กหนุ่มกำลังหวาดกลัว เขากระชับแขนแน่นขึ้นและจ้องเขม็งไปที่ขอบหน้าต่างซึ่งบัดนี้มีมือจำนวนมากกำลังเกาะอยู่ พริบตาร่างอันน่าขนพองสยองเกล้าของปิศาจชั้นต่ำก็โผล่พรวดขึ้นมา นักเรียนที่บังเอิญหันมาเห็นส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ

                        “เฮ้ย! ตัวอะไรน่ะ”

                        เสียงนักเรียนชายตะโกนลั่นเรียกพวกที่เหลือให้มองตาม พอเห็นหน้าตาอันน่าเกลียดน่ากลัวของตัวประหลาด ทุกคนจึงสำนึกได้ว่ามันคืออะไร

                        “ปิศาจ!!!”

                        สิ้นคำ เสียงหวีดร้องของทั้งนักเรียนหญิงและชายดังระงม ทุกคนพร้อมกันหันวิ่งไปที่ประตูแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นอสุรกายที่มีร่างกายใหญ่โตกำลังยืนจังก้าขวางทาง ทั้งหมดจึงถอยมายืนรวมกันที่กลางห้องพลันหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะฮิ ฮิ ดังอยู่เหนือศีรษะ พอเงยหน้าขึ้นมองเด็กทุกคนต้องขนหัวลุกเมื่อเห็นผีร้ายหน้าตาอัปลักษณ์หลายตัวกำลังห้อยหัวจ้องพวกเขาด้วงดวงตาปูดโปน

                        “กรี๊ดดดด!!!!~”

                        เพียงเท่านั้นนักเรียนทุกคนก็แตกฮือวิ่งหนีกันไปคนละทิศ ซึ่งก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ปิศาจเลือกทำร้ายได้ตามใจชอบ พวกมันวิ่งไล่เด็กๆอย่างสนุกสนานเหมือนหมาป่าต้อนไก่ในเล้า ยิ่งได้ยินเสียงกรีดร้อง อสุรกายเหล่านั้นก็ยิ่งหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจโดยลืมไปว่า จิ้งจอกตัวใหญ่กำลังยืนตาวาวอยู่กลางกลุ่มของพวกมัน

                        กายสั่นเทิ้มด้วยความพิโรธที่ถูกปิศาจชั้นต่ำกระโดดข้ามไปมาอย่างปราศจากความยำเกรงดังเช่นกาลก่อน หากไม่กลัวว่าจะทำให้ฟุรุคาวะต้องตกใจ ซาคาโมโตะคงคืนร่างเดิมและจัดการพวกสวะด้วยการฟาดกรงเล็บเพียงครั้งเดียวไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเพลิงโทสะของเขาก็ยังพวยพุ่งด้วยความรู้สึกโกรธที่ถูกหยามหน้าแต่ยังน้อยกว่าความห่วงในความปลอดภัยของคนรัก ชายหนุ่มกางมือออกและยกแขนขึ้น แสงสีเงินปะทุวาบอยู่บนปลายนิ้วทั้งห้า เมื่อเขาตวัดมันลง แส้ไฟสว่างเจิดจ้าก็สะบัดฟาดร่างปิศาจทุกตัวจนขาดสะบั้นไม่เหลือรอดเลยสักตัว

                        “อะไรน่ะ ?”

                        พอเห็นปิศาจถูกกำจัดนักเรียนในห้องก็มองเศษชิ้นส่วนที่กระจายเกลื่อนห้องด้วยความงงงันก่อนที่สายตาของทุกคนจ้องตรงไปยังซาคาโมโตะเป็นจุดเดียว เมื่อหนึ่งในนั้นเอ่ยถามเสียงสั่น พวกที่เหลือก็ถอยหลังกรูดพร้อมกับมองชายหนุ่มอย่างหวาดกลัว

                        “แสงเมื่อกี้เกิดจากฝีมือนายใช่ไหม” นักเรียนชายคนหนึ่งทำใจกล้าเอ่ยถาม ซาคาโมโตะไม่ตอบแต่กลับหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง จ้องฝนที่กำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยความกังวล

                        “พวกมันกำลังจะมาอีกแล้ว”

                        เขาเปรยพอให้ได้ยินก่อนหันไปทางเด็กที่เป็นหัวหน้าห้อง

                        “ยกโต๊ะไปไว้ที่มุมห้องให้หมดแล้วพวกนายทุกคนมายืนรวมกันอยู่ตรงกลาง” ชายหนุ่มออกคำสั่งแต่พอเห็นอีกฝ่ายเงอะงะเหมือนทำตัวไม่ถูกเขาจึงกล่าวกำชับเสียงดัง “อย่ามัวแต่ตกใจรีบทำตามที่ฉันบอกเดี๋ยวนี้!”

                        คำสุดท้ายถูกเน้นจนเกือบตะโกนทำให้นักเรียนทุกคนรีบทำตาม เมื่อเคลียร์ห้องจนว่างและไปยืนรวมกันเป็นกระจุกตรงกลางแล้วซาคาโมโตะจึงคว้าชอล์กมาขีดเส้นเป็นวงล้อมรอบทุกคนเอาไว้ เมื่อวางมือบนพื้นพร้อมกล่าวอะไรบางอย่างพึมพำ เส้นที่เขาทำเอาไว้ก็มีแสงเรืองสีเขียวขึ้นมา ชายหนุ่มมองมันจนแน่ใจว่าปิศาจไม่มีทางทำลายกำแพงเวทย์ที่เขาสร้างได้แล้วจึงเอ่ยปากสั่งเด็กทุกคน

                        “อย่าได้ก้าวออกมาจากเส้นนั่นเป็นอันขาด ถ้ายังไม่อยากตาย”

                        สั่งเสร็จฉวยข้อมือฟุรุคาวะเพื่อพาออกจากห้องแต่ต้องชะงักเมื่อใครคนหนึ่งร้องถาม

                        “นายจะไปไหนน่ะซาคาโมโตะ”

                         เขาหันไปจ้องเพื่อนนักเรียนด้วยดวงตาที่ทุกคนไม่มีวันลืม เพราะมันกลายเป็นสีเหลืองอำพันราวกับนัยน์ตาของสุนัขจิ้งจอก

                        “ฉันจะไปหาวิธีทำให้ทุกคนปลอดภัย”

                        เขาเปิดประตูทันทีเมื่อพูดจบแต่พอเห็นสภาพภายนอกที่ทั้งครูและนักเรียนกำลังวิ่งหนีปิศาจกันอลหม่านแล้ว ชายหนุ่มต้องมุ่นคิ้วด้วยความหนักใจ

                        “พวกมันเต็มไปหมด” พูดพลางสะบัดแส้สายฟ้าใส่อสุรกายที่บังอาจวิ่งเข้ามาหา ตากวาดมองไปรอบๆก่อนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด

                        “เวลาแบบนี้เจ้าหมาบ้ามันไปมัวมุดหัวอยู่ที่ไหน”

                        พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของทาคุก็กระโจนจากชั้นล่างขึ้นมายืนบนระเบียงทั้งที่สองมือยังขย้ำร่างที่ขาดรุ่งริ่งของปิศาจเอาไว้ เมื่อเห็นคนบ่น เขาก็โยนซากของพวกอมนุษย์ทิ้งและส่งยิ้มแยกเขี้ยวให้ก่อนตอบ

                        “โทษทีที่มาช้า ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับพนักงานต้อนรับชั้นล่าง”

                        เขาเหวี่ยงกำปั้นฟาดโครมลงไปกลางกบาลปิศาจตัวหนึ่งที่ดันวิ่งทะเร่อทะร่าเข้ามา ซาคาโมโตะมองเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีของเพื่อนก่อนถาม

                        “นายเข้ามาได้ยังไง”

                        “เรื่องมันยาว” สารถีหนุ่มตอบพลางกระชากเศษเสื้อที่เหลือออกมาขยำทิ้ง ฟุรุคาวะมองบาดแผลบนแผ่นอกที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อและเอ่ยปากพูดด้วยความเป็นห่วง

                        “นายบาดเจ็บ”

                        “แค่รอยข่วนนิดหน่อยเอง” ทาคุพูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนชะโงกหน้ามองงลงไปยังด้านล่าง “ให้ตายเถอะไม่รู้พวกมันแห่กันมาจากไหนยั้วเยี้ยไปหมด กว่าจะฝ่าเข้ามาได้เล่นเอาหืดขึ้นคอ”

                        เขาหันกลับมาที่ซาคาโมโตะ “มีแผนอะไรหรือเปล่าเพราะถ้าขืนเราแหกด่านออกไปดื้อๆแบบนี้มีหวังได้หอบกันซี่โครงบานกว่าจะหลุดออกไปได้”

                        “เรื่องเหนื่อยฉันไม่ค่อยกังวล” ซาคาโมโตะพูดพลางชำเลืองตาไปทางฟุรุคาวะ สารถีหนุ่มผงกศีรษะอย่างเข้าใจ

                        “งั้นนายจะเอายังไง”

                        “เวทนี่แข็งแกร่งก็จริงแต่ก็มีจุดบอดที่นึกไม่ถึงอยู่เหมือนกัน พวกเราสร้างกำแพงเวทด้วยการใช้พลังจิตร่ายมนตร์ แต่สำหรับคาราสุเฮบิ เวทของมันจะต้องมีจุดศูนย์กลางรองรับเพื่อปล่อยพลังนี้ออกมา”

                        “แล้วพอจะรู้หรือเปล่าว่าอยู่ตรงไหน” ทาคุซักอย่างร้อนใจเมื่อเห็นฝูงปิศาจขยับวงล้อมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซาคาโมโตะขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับส่ายหน้า

                        “นั่นแหละที่เป็นปัญหา เพราะจุดศูนย์กลางที่ว่าคือหน้ากากที่ไม่รู้ว่าฝังไว้ในตัวใคร”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่