สายใยรักจิ้งจอกพันปี(yaoi) บทที่ 20 เสียงคำรามของอสนีบาต

กระทู้สนทนา
บทที่ 19 http://pantip.com/topic/35130503

          บทที่ 20 เสียงคำรามของอสนีบาต

              หลังจากสอบถามอาการจากแพทย์และพูดคุยให้กำลังใจภรรยากับลูกของทากาอิแล้ว ซาคาโมโตะจึงพาฟุรุคาวะกลับบ้าน ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกันเด็กหนุ่มก็เอาแต่ปิดปากเงียบ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของอาจารย์ ส่วนตัวซาคาโมโตะเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกันเพราะกำลังตกอยู่ในความครุ่นคิดหากไม่ใช่อาการของคนเจ็บ แต่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทากาอิต้องเข้าโรงพยาบาล

              คำขู่ที่คาวาเบะพูดทิ้งท้ายเหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือของตน สีหน้าท่าทางยโสตอนเอ่ยชื่อทากาอิเป็นข้อยืนยัน แต่ทำไมเขาถึงโดนทำร้ายทั้งที่เมื่อวันก่อนเป็นวันหยุด จะบอกว่าไม่พอใจที่ถูกตำหนิตอนอยู่ในโรงเรียนก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะก่อนหน้านั้นพวกของคาวาเบะขาดเรียนไปสามวัน และตั้งแต่ถูกทำร้ายครั้งล่าสุดทากาอิก็แทบไม่ได้ยุ่งกับอันธพาลกลุ่มนี้อีกเลย

              เกิดอะไรขึ้นกันแน่

              คิดพลางชำเลืองมองคนข้างตัว ว่ากันตามจริงเขาไม่อยากยุ่งกับปัญหาของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากทากาอิเป็นคนดีและฟุรุคาวะเองก็เคารพอาจารย์คนนี้มาก เมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้นเขาก็จำต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ปัญหาคือเขาควรจัดการอย่างไรดี เพราะเด็กร้ายกาจแบบนั้นแค่คำขู่คงไม่ได้ผลเท่าไหร่ หรือต่อให้โดนซ้อมปางตาย พอหายพวกมันก็จะย้อนกลับมาเล่นงานทั้งทากาอิและฟุรุคาวะเพื่อเอาคืน

              นัยน์ตาของชายหนุ่มทอแสงสีอำพันออกมาแวบหนึ่ง แม้ฟุรุคาวะจะไม่ทันสังเกตแต่ทาคุซึ่งเหลือบมองกระจกหลังเห็นเข้าพอดี จึงเอ่ยถามสั้นๆ

              “มีอะไรหรือเปล่า”

              เสียงของเขาทำให้ทั้งคู่หลุดจากความคิด เด็กหนุ่มทำหน้างงและรีบส่ายหน้าส่วนซาคาโมโตะมุ่นคิ้วตอบเสียงห้วน

              “ขับรถไปเถอะ”

              “ขอรับคุณชาย” สารถีหนุ่มย้อนกลับพลางส่งสายตากวนประสาทผ่านกระจกมองหลัง “แต่ผมคงขับดีๆไม่ได้ถ้ามีแสงอะไรแวบเข้าตา”

              “แสงอะไรเหรอ” ฟุรุคาวะซึ่งนั่งนิ่งมานานเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนมองซ้ายมองขวาเพราะคิดว่าคงหมายถึงแสงไฟหน้ารถบรรทุกหรือจักรยานยนต์ แต่ทาคุกลับหัวเราะ

              “แค่พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ ว่าแต่หิวหรือยังล่ะ แวะหาอะไรกินก่อนไหม”

              ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

              “ผมง่วงอยากกลับไปนอนเร็วๆ”

              เขาให้เหตุผลแต่ทาคุไม่เห็นด้วย

              “จะนอนทั้งท้องว่างได้ยังไง เอางี้พอไปถึงฉันจะ_”

              “พอได้แล้วทาคุ”

              ซาคาโมโตะขัดด้วยเสียงเชิงออกคำสั่งทำให้สารถีหนุ่มหุบปากฉับในทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วง พอเห็นสีหน้าหมองเศร้าขณะที่เจ้าตัวทอดสายตาเหม่อออกไปนอกรถ เขาจึงเข้าใจว่าตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังกลุ้มเรื่องอาจารย์จนไม่มีกะใจทำอะไร

              เมื่อถึงบ้านฟุรุคาวะก็แยกตัวเข้าห้องปล่อยให้สองหนุ่มยืนมองหน้ากันเพราะนึกไม่ออกว่าควรจะปลอบใจยังไงดี ทีแรกทั้งคู่ตั้งใจรอให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้ก่อนแล้วค่อยตามเข้าไปคุยแต่พอได้ยินเสียงล็อคประตูทาคุก็หันไปมองหน้าเพื่อน

              “คืนนี้นายต้องนอนโซฟาแล้วละ”

              เขาถอดเสื้อนอก เสียบกระติกน้ำร้อน จากนั้นจึงหยิบขวดกาแฟกับโถชามาวาง “นายจะเอาอะไร” ถามโดยไม่หันหน้า ซาคาโมโตะจึงตอบทั้งที่ตายังคงจ้องอยู่บนประตูห้องนอนของฟุรุคาวะ

              “กาแฟ”

              สารถีหนุ่มพยักหน้ารับและจัดแจงตักผงกาแฟใส่แก้ว ปากก็พูดไปด้วย

              “เอาไงดี”

              ชายหนุ่มละสายตาจากประตูเลื่อนไปมองเพื่อน “อะไร”

              “เรื่องทากาอิน่ะ” ทาคุขยายความพลางเติมน้ำตาลลงไปช้อนครึ่งจากนั้นจึงหยิบแก้วกาแฟและถ้วยชาเดินไปหาซาคาโมโตะที่อยู่ในห้องนั่งเล่น “เขาโดนทำร้ายหนักขนาดนั้น นายจะไม่สืบหน่อยเหรอว่าเป็นฝีมือของใคร”   

              พูดพร้อมกับส่งแก้วกาแฟให้ อีกฝ่ายยื่นมือไปรับพร้อมกับตอบ

              “เรื่องคนทำฉันพอจะรู้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า”

              ทาคุหย่อนตัวลงนั่ง จิบชาหนึ่งอึกก่อนเอ่ยชื่อผู้ต้องสงสัย

              “คาวาเบะ”

              ซาคาโมโตะพยักหน้าช้าๆ “จากพฤติกรรมกับคำขู่ที่ได้ยินวันนี้ ฉันคิดว่าใช่ แต่นึกไม่ออกว่าทำไมเขาถึงลงมือรุนแรงขนาดนั้นเพราะเท่าที่รู้ ทากาอิเคยโดยหมอนี่ทำร้ายมาแล้วสองครั้งแต่ก็แค่เบาะๆ ผิดจากคราวนี้ที่กะเอาถึงตาย”

              “คนชั่วจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” สารถีหนุ่มย้อนถาม “ดูอย่างเจ้าคาราสุเฮบิสิ จู่ๆมันก็โผล่มาแล้วก็ไล่ฆ่าไปทั่ว จะบอกว่าตอนเด็กๆมันโดนรังแกก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะดูท่าทางแล้วเจ้านี่คงร้ายกาจมาตั้งแต่หลุดจากท้องแม่”

              “นายจะเอามาเปรียบกันไม่ได้หรอกทาคุ คาราสุเฮบิเป็นปิศาจ แต่นี่เป็นมนุษย์”

              “แล้วมันต่างกันตรงไหน” ทาคุพูดเสียงเรียบ “สำหรับฉันมนุษย์กับปิศาจก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นักหรอก พอมีความโลภมันก็เลวได้เหมือนๆกัน”

              เป็นความจริงที่ไม่มีข้อโต้แย้ง ซาคาโมโตะนั่งมองแก้วกาแฟในมือพลางนึกย้อนคิด นับตั้งแต่ในอดีตทั้งเขาและทาคุเคยมีเรื่องที่จำต้องเกี่ยวข้องกับพวกมนุษย์มาแล้วหลายครั้ง ที่เลวก็มีดีก็มากปะปนคละเคล้ากันไปเช่นเดียวกับเผ่าปิศาจ  

              “มันอาจจะจริงอย่างที่นายพูดแต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีสำหรับการฆ่า”

              “ถึงได้ถามไงว่า นายจะเอายังไง” ทาคุพูดอย่างเป็นงานเป็นการ “แต่อย่างคาวาเบะแค่ขู่อย่างเดียวคงไม่พอหรอก หรือต่อให้อัดจนรากเลือด พอหายพวกมันก็กลับมาแว้งกัดทากาอิกับเด็กๆอีกอยู่ดี ตามความคิดของฉันการหยุดหมอนั่นมีแค่วิธีเดียวเท่านั้น”

              เขามองซาคาโมโตะด้วยดวงตาลุกวาวราวสัตว์ป่า “ทำให้พวกมันเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

              เป็นคำพูดตรงใจคนฟังที่สุด แต่การหักแขนหักขาเด็กนักเรียนเกือบครึ่งโหลไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆ เพราะโลกยุคนี้มีตำรวจ มีการสืบสวน ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไรลงไปกลุ่มซาคาโมโตะที่เขาอุปโลกน์ขึ้นจะพลอยเสียหายไปด้วย

              “ฉันคิดว่า_”

              เสียงร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องของฟุรุคาวะดึงชายหนุ่มทั้งสองให้กระเด้งจากเก้าอี้ก้าวพรวดไปที่ประตู เสียงคลิ้กดังมาจากด้านในก่อนมันจะอ้าเปิดออกช้าๆ ซาคาโมโตะมองจิ้งจอกน้อยที่กำลังลอยวนไปวนมาอย่างลุกลนก่อนเดินตรงไปหาฟุรุคาวะที่นั่งเหงื่อท่วมอยู่บนเตียง

              “เกิดอะไรขึ้น !”

              ถามด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับโผเข้าไปซุกอกด้วยท่าทางเหมือนเด็กที่ตื่นจากฝันร้าย ซาคาโมโตะจึงกอดเขาไว้พร้อมกับปลอบเบาๆขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบห้องเพื่อหาปิศาจหรืออะไรสักอย่างที่เป็นตัวก่อเหตุ พอเห็นทาคุกำลังเดินสำรวจไปจนถึงหน้าต่างเขาก็หันกลับมาให้ความสนใจเด็กหนุ่มไล่ตรวจตามร่างกายอย่างละเอียด นอกจากอาการสั่นไปทั้งตัวแล้วก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลอะไร เขาถอนใจออกมาเบาๆอย่างโล่งอกก่อนเอ่ยถาม

              “เป็นอะไร ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ”

              ฟุรุคาวะพยักหน้าแต่ไม่ยอมพูดอะไร ซาคาโมโตะจึงกระชับแขนขึ้นอีกนิดและแตะปากกับศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”

              จากท่าทางที่ดูหวาดผวาของคนในอ้อมกอดทำให้ชายหนุ่มเดาว่าเขาน่าจะฝันถึงการตายอันน่าสยดสยองของพ่อแม่หรือภูตผีปิศาจที่เคยมารบกวน แต่พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาตื่นกลัวแล้วความคิดดังกล่าวก็หายไป เพราะไม่ได้มีเพียงแค่ความตระหนกหากมีความสับสน ไม่เข้าใจแฝงอยู่ด้วย

              “จำไม่ได้” ฟุรุคาวะพูดเสียงสั่น “ฉันรู้แค่ว่ามันเป็นความฝันที่น่ากลัวมากแต่ฉันจำมันไม่ได้”

              หากเป็นคนขวัญอ่อนเด็กหนุ่มคงปล่อยโฮออกมาแล้ว แต่เพราะเคยประสบเรื่องราวอันน่าขนลุกมาแล้วก่อนหน้านั้นเขาจึงแค่นั่งตัวสั่นเป็นลูกนก ตาสองข้างแดงก่ำจากการพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เกิดอาการสติแตก ทาคุซึ่งยืนฟังอยู่ใกล้ๆจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

              “ไม่น่าเชื่อ ลองนึกให้ดีๆสิ”

              ฟุรุคาวะทำตามคำพูดของคนตัวใหญ่แต่ภายในหัวกลับว่างเปล่า ไม่มีภาพที่เกี่ยวกับความฝันเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอแต่ความดำมืดจนเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิด เด็กหนุ่มจึงกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อข่มอารมณ์ วินาทีนั้นแสงสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ถึงจะเป็นเพียงนิดเดียวกลับส่งผลให้เขานั่งตัวแข็งทื่อตาเบิกโพลง ซาคาโมโตะซึ่งคอยสังเกตกิริยาเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นจึงรีบหันไปปรามเพื่อนด้วยสายตาก่อนหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกเบาใจ

              “นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร”

              “ฉันเห็นเปลวไฟ” ฟุรุคาวะพูดขึ้นมาและมองหน้าชายหนุ่มด้วยดวงตาที่ฉายความเจ็บปวด มันทำให้ซาคาโมโตะถึงกับใจหายวาบเพราะในอดีตเขาเคยเห็นแววตาแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากใบหน้าเปื้อนฝุ่นมอมแมมของเด็กหญิงตัวเล็กๆที่บิดาพามาด้วย

              “เปลวไฟยังไง ใช่แบบเดียวกับที่ฝันถึงบ่อยๆหรือเปล่า” เมื่อเห็นเพื่อนรักแสดงท่าทางแปลกๆ ทาคุจึงทำหน้าที่ซักไซ้ เด็กหนุ่มส่ายหน้า

              “ไม่ใช่”

              “ว้า บอกแค่นั้นมันจะไปรู้ได้ยังไง นึกให้ดีสิว่ามันเป็นไฟแบบไหน คบเพลิง พลุ หรือพวกกองไฟตามแค้มป์” สารถีหนุ่มถามพร้อมกับช่วยยกตัวอย่างประกอบแต่ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อสบดวงตาของฟุรุคาวะ

              “ฉันยืนอยู่กลางหมู่บ้านที่กำลังมีไฟลุกท่วม”

              ทาคุกับซาคาโมโตะมองหน้ากัน เพราะคำพูดของเด็กหนุ่มแสดงถึงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดของผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายมาก่อน ในกลุ่มของพวกเขานอกจากคุโระอินุมารุที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้วยังมีอีกหนึ่งที่เคยเห็นภาพบ้านเรือนถูกเผาด้วยเช่นกัน หากแต่โหดร้ายกว่ามากเพราะนอกจากจะถูกห้อมล้อมด้วยกองเพลิงแล้วรอบกายยังเกลื่อนไปด้วยซากศพของญาติพี่น้องที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ      

              “นอกจากไฟแล้วยังนึกอะไรได้อีก” ชายหนุ่มซึ่งหันกลับไปยังฟุรุคาวะแล้วกล่าวถาม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกแต่สุดท้ายเขากลับส่ายหน้าช้าๆ

              “ฉันจำได้แค่นั้น” ปากบางเม้มแน่นเมื่อนึกถึงนิทานวายุที่ได้ฟังจากทาคุ เปลวไฟที่เห็นในความฝันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่หมู่บ้านถูกเผาเหลือเกิน ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล่านั่นเลยสักนิดแล้วทำไมถึงเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ จะบอกว่ากลัว เขาก็โตเกินกว่าจะเกิดความรู้สึกเด็กๆแบบนั้น พลันลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาฉุกคิด

              หรือมันจะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของผู้หญิงที่ชื่อฟูจิน

              แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนิทานวายุเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือหากเป็นจริงเขาก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับภูตเลยสักนิด แถมยังเพิ่งได้ยินชื่อนี้ตอนที่พบกับซาคาโมโตะ แล้วทำไมเขาต้องเห็นภาพแบบเดียวกับเธอ

              “ถ้าจำได้แค่นั้นก็ไม่ต้องมานั่งนึก” เสียงซาคาโมโตะดึงความคิดของเด็กหนุ่มกลับมา เขาผลักคนพูดให้ออกห่างจากตัว

              “แต่ฉันอยากคิดให้ออก”

              “อย่าดีกว่า” ชายหนุ่มห้ามอย่างเคร่งขรึมพลางมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นความรั้นฉายออกมาทางดวงตา เขาก็ส่งยิ้มน้อยๆให้ “ห้ามนายไม่ได้ใช่ไหม”

              “ก็คงยังงั้น” ฟุรุคาวะพูด ซาคาโมโตะจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวยื่นส่งให้

              “ถ้าอยากจะฝันต่อก็ตามใจ แต่นายต้องอาบน้ำก่อน”

              คำพูดนั้นทำให้ฟุรุคาวะนึกได้ว่าเขายังอยู่ในชุดนักเรียนและมีเหงื่อท่วมตัวจากฝันร้าย เด็กหนุ่มจึงรับผ้าเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย พอคนตัวเล็กคล้อยหลังทาคุซึ่งคันปากอยู่นานจึงถาม

              “นายว่ามันจะเกี่ยวกับฟูจินหรือเปล่า”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่