บทที่ 19
http://pantip.com/topic/35130503
บทที่ 20 เสียงคำรามของอสนีบาต
หลังจากสอบถามอาการจากแพทย์และพูดคุยให้กำลังใจภรรยากับลูกของทากาอิแล้ว ซาคาโมโตะจึงพาฟุรุคาวะกลับบ้าน ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกันเด็กหนุ่มก็เอาแต่ปิดปากเงียบ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของอาจารย์ ส่วนตัวซาคาโมโตะเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกันเพราะกำลังตกอยู่ในความครุ่นคิดหากไม่ใช่อาการของคนเจ็บ แต่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทากาอิต้องเข้าโรงพยาบาล
คำขู่ที่คาวาเบะพูดทิ้งท้ายเหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือของตน สีหน้าท่าทางยโสตอนเอ่ยชื่อทากาอิเป็นข้อยืนยัน แต่ทำไมเขาถึงโดนทำร้ายทั้งที่เมื่อวันก่อนเป็นวันหยุด จะบอกว่าไม่พอใจที่ถูกตำหนิตอนอยู่ในโรงเรียนก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะก่อนหน้านั้นพวกของคาวาเบะขาดเรียนไปสามวัน และตั้งแต่ถูกทำร้ายครั้งล่าสุดทากาอิก็แทบไม่ได้ยุ่งกับอันธพาลกลุ่มนี้อีกเลย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
คิดพลางชำเลืองมองคนข้างตัว ว่ากันตามจริงเขาไม่อยากยุ่งกับปัญหาของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากทากาอิเป็นคนดีและฟุรุคาวะเองก็เคารพอาจารย์คนนี้มาก เมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้นเขาก็จำต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ปัญหาคือเขาควรจัดการอย่างไรดี เพราะเด็กร้ายกาจแบบนั้นแค่คำขู่คงไม่ได้ผลเท่าไหร่ หรือต่อให้โดนซ้อมปางตาย พอหายพวกมันก็จะย้อนกลับมาเล่นงานทั้งทากาอิและฟุรุคาวะเพื่อเอาคืน
นัยน์ตาของชายหนุ่มทอแสงสีอำพันออกมาแวบหนึ่ง แม้ฟุรุคาวะจะไม่ทันสังเกตแต่ทาคุซึ่งเหลือบมองกระจกหลังเห็นเข้าพอดี จึงเอ่ยถามสั้นๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
เสียงของเขาทำให้ทั้งคู่หลุดจากความคิด เด็กหนุ่มทำหน้างงและรีบส่ายหน้าส่วนซาคาโมโตะมุ่นคิ้วตอบเสียงห้วน
“ขับรถไปเถอะ”
“ขอรับคุณชาย” สารถีหนุ่มย้อนกลับพลางส่งสายตากวนประสาทผ่านกระจกมองหลัง “แต่ผมคงขับดีๆไม่ได้ถ้ามีแสงอะไรแวบเข้าตา”
“แสงอะไรเหรอ” ฟุรุคาวะซึ่งนั่งนิ่งมานานเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนมองซ้ายมองขวาเพราะคิดว่าคงหมายถึงแสงไฟหน้ารถบรรทุกหรือจักรยานยนต์ แต่ทาคุกลับหัวเราะ
“แค่พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ ว่าแต่หิวหรือยังล่ะ แวะหาอะไรกินก่อนไหม”
ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมง่วงอยากกลับไปนอนเร็วๆ”
เขาให้เหตุผลแต่ทาคุไม่เห็นด้วย
“จะนอนทั้งท้องว่างได้ยังไง เอางี้พอไปถึงฉันจะ_”
“พอได้แล้วทาคุ”
ซาคาโมโตะขัดด้วยเสียงเชิงออกคำสั่งทำให้สารถีหนุ่มหุบปากฉับในทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วง พอเห็นสีหน้าหมองเศร้าขณะที่เจ้าตัวทอดสายตาเหม่อออกไปนอกรถ เขาจึงเข้าใจว่าตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังกลุ้มเรื่องอาจารย์จนไม่มีกะใจทำอะไร
เมื่อถึงบ้านฟุรุคาวะก็แยกตัวเข้าห้องปล่อยให้สองหนุ่มยืนมองหน้ากันเพราะนึกไม่ออกว่าควรจะปลอบใจยังไงดี ทีแรกทั้งคู่ตั้งใจรอให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้ก่อนแล้วค่อยตามเข้าไปคุยแต่พอได้ยินเสียงล็อคประตูทาคุก็หันไปมองหน้าเพื่อน
“คืนนี้นายต้องนอนโซฟาแล้วละ”
เขาถอดเสื้อนอก เสียบกระติกน้ำร้อน จากนั้นจึงหยิบขวดกาแฟกับโถชามาวาง “นายจะเอาอะไร” ถามโดยไม่หันหน้า ซาคาโมโตะจึงตอบทั้งที่ตายังคงจ้องอยู่บนประตูห้องนอนของฟุรุคาวะ
“กาแฟ”
สารถีหนุ่มพยักหน้ารับและจัดแจงตักผงกาแฟใส่แก้ว ปากก็พูดไปด้วย
“เอาไงดี”
ชายหนุ่มละสายตาจากประตูเลื่อนไปมองเพื่อน “อะไร”
“เรื่องทากาอิน่ะ” ทาคุขยายความพลางเติมน้ำตาลลงไปช้อนครึ่งจากนั้นจึงหยิบแก้วกาแฟและถ้วยชาเดินไปหาซาคาโมโตะที่อยู่ในห้องนั่งเล่น “เขาโดนทำร้ายหนักขนาดนั้น นายจะไม่สืบหน่อยเหรอว่าเป็นฝีมือของใคร”
พูดพร้อมกับส่งแก้วกาแฟให้ อีกฝ่ายยื่นมือไปรับพร้อมกับตอบ
“เรื่องคนทำฉันพอจะรู้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า”
ทาคุหย่อนตัวลงนั่ง จิบชาหนึ่งอึกก่อนเอ่ยชื่อผู้ต้องสงสัย
“คาวาเบะ”
ซาคาโมโตะพยักหน้าช้าๆ “จากพฤติกรรมกับคำขู่ที่ได้ยินวันนี้ ฉันคิดว่าใช่ แต่นึกไม่ออกว่าทำไมเขาถึงลงมือรุนแรงขนาดนั้นเพราะเท่าที่รู้ ทากาอิเคยโดยหมอนี่ทำร้ายมาแล้วสองครั้งแต่ก็แค่เบาะๆ ผิดจากคราวนี้ที่กะเอาถึงตาย”
“คนชั่วจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” สารถีหนุ่มย้อนถาม “ดูอย่างเจ้าคาราสุเฮบิสิ จู่ๆมันก็โผล่มาแล้วก็ไล่ฆ่าไปทั่ว จะบอกว่าตอนเด็กๆมันโดนรังแกก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะดูท่าทางแล้วเจ้านี่คงร้ายกาจมาตั้งแต่หลุดจากท้องแม่”
“นายจะเอามาเปรียบกันไม่ได้หรอกทาคุ คาราสุเฮบิเป็นปิศาจ แต่นี่เป็นมนุษย์”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน” ทาคุพูดเสียงเรียบ “สำหรับฉันมนุษย์กับปิศาจก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นักหรอก พอมีความโลภมันก็เลวได้เหมือนๆกัน”
เป็นความจริงที่ไม่มีข้อโต้แย้ง ซาคาโมโตะนั่งมองแก้วกาแฟในมือพลางนึกย้อนคิด นับตั้งแต่ในอดีตทั้งเขาและทาคุเคยมีเรื่องที่จำต้องเกี่ยวข้องกับพวกมนุษย์มาแล้วหลายครั้ง ที่เลวก็มีดีก็มากปะปนคละเคล้ากันไปเช่นเดียวกับเผ่าปิศาจ
“มันอาจจะจริงอย่างที่นายพูดแต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีสำหรับการฆ่า”
“ถึงได้ถามไงว่า นายจะเอายังไง” ทาคุพูดอย่างเป็นงานเป็นการ “แต่อย่างคาวาเบะแค่ขู่อย่างเดียวคงไม่พอหรอก หรือต่อให้อัดจนรากเลือด พอหายพวกมันก็กลับมาแว้งกัดทากาอิกับเด็กๆอีกอยู่ดี ตามความคิดของฉันการหยุดหมอนั่นมีแค่วิธีเดียวเท่านั้น”
เขามองซาคาโมโตะด้วยดวงตาลุกวาวราวสัตว์ป่า “ทำให้พวกมันเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
เป็นคำพูดตรงใจคนฟังที่สุด แต่การหักแขนหักขาเด็กนักเรียนเกือบครึ่งโหลไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆ เพราะโลกยุคนี้มีตำรวจ มีการสืบสวน ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไรลงไปกลุ่มซาคาโมโตะที่เขาอุปโลกน์ขึ้นจะพลอยเสียหายไปด้วย
“ฉันคิดว่า_”
เสียงร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องของฟุรุคาวะดึงชายหนุ่มทั้งสองให้กระเด้งจากเก้าอี้ก้าวพรวดไปที่ประตู เสียงคลิ้กดังมาจากด้านในก่อนมันจะอ้าเปิดออกช้าๆ ซาคาโมโตะมองจิ้งจอกน้อยที่กำลังลอยวนไปวนมาอย่างลุกลนก่อนเดินตรงไปหาฟุรุคาวะที่นั่งเหงื่อท่วมอยู่บนเตียง
“เกิดอะไรขึ้น !”
ถามด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับโผเข้าไปซุกอกด้วยท่าทางเหมือนเด็กที่ตื่นจากฝันร้าย ซาคาโมโตะจึงกอดเขาไว้พร้อมกับปลอบเบาๆขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบห้องเพื่อหาปิศาจหรืออะไรสักอย่างที่เป็นตัวก่อเหตุ พอเห็นทาคุกำลังเดินสำรวจไปจนถึงหน้าต่างเขาก็หันกลับมาให้ความสนใจเด็กหนุ่มไล่ตรวจตามร่างกายอย่างละเอียด นอกจากอาการสั่นไปทั้งตัวแล้วก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลอะไร เขาถอนใจออกมาเบาๆอย่างโล่งอกก่อนเอ่ยถาม
“เป็นอะไร ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ”
ฟุรุคาวะพยักหน้าแต่ไม่ยอมพูดอะไร ซาคาโมโตะจึงกระชับแขนขึ้นอีกนิดและแตะปากกับศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”
จากท่าทางที่ดูหวาดผวาของคนในอ้อมกอดทำให้ชายหนุ่มเดาว่าเขาน่าจะฝันถึงการตายอันน่าสยดสยองของพ่อแม่หรือภูตผีปิศาจที่เคยมารบกวน แต่พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาตื่นกลัวแล้วความคิดดังกล่าวก็หายไป เพราะไม่ได้มีเพียงแค่ความตระหนกหากมีความสับสน ไม่เข้าใจแฝงอยู่ด้วย
“จำไม่ได้” ฟุรุคาวะพูดเสียงสั่น “ฉันรู้แค่ว่ามันเป็นความฝันที่น่ากลัวมากแต่ฉันจำมันไม่ได้”
หากเป็นคนขวัญอ่อนเด็กหนุ่มคงปล่อยโฮออกมาแล้ว แต่เพราะเคยประสบเรื่องราวอันน่าขนลุกมาแล้วก่อนหน้านั้นเขาจึงแค่นั่งตัวสั่นเป็นลูกนก ตาสองข้างแดงก่ำจากการพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เกิดอาการสติแตก ทาคุซึ่งยืนฟังอยู่ใกล้ๆจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ไม่น่าเชื่อ ลองนึกให้ดีๆสิ”
ฟุรุคาวะทำตามคำพูดของคนตัวใหญ่แต่ภายในหัวกลับว่างเปล่า ไม่มีภาพที่เกี่ยวกับความฝันเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอแต่ความดำมืดจนเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิด เด็กหนุ่มจึงกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อข่มอารมณ์ วินาทีนั้นแสงสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ถึงจะเป็นเพียงนิดเดียวกลับส่งผลให้เขานั่งตัวแข็งทื่อตาเบิกโพลง ซาคาโมโตะซึ่งคอยสังเกตกิริยาเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นจึงรีบหันไปปรามเพื่อนด้วยสายตาก่อนหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกเบาใจ
“นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร”
“ฉันเห็นเปลวไฟ” ฟุรุคาวะพูดขึ้นมาและมองหน้าชายหนุ่มด้วยดวงตาที่ฉายความเจ็บปวด มันทำให้ซาคาโมโตะถึงกับใจหายวาบเพราะในอดีตเขาเคยเห็นแววตาแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากใบหน้าเปื้อนฝุ่นมอมแมมของเด็กหญิงตัวเล็กๆที่บิดาพามาด้วย
“เปลวไฟยังไง ใช่แบบเดียวกับที่ฝันถึงบ่อยๆหรือเปล่า” เมื่อเห็นเพื่อนรักแสดงท่าทางแปลกๆ ทาคุจึงทำหน้าที่ซักไซ้ เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“ว้า บอกแค่นั้นมันจะไปรู้ได้ยังไง นึกให้ดีสิว่ามันเป็นไฟแบบไหน คบเพลิง พลุ หรือพวกกองไฟตามแค้มป์” สารถีหนุ่มถามพร้อมกับช่วยยกตัวอย่างประกอบแต่ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อสบดวงตาของฟุรุคาวะ
“ฉันยืนอยู่กลางหมู่บ้านที่กำลังมีไฟลุกท่วม”
ทาคุกับซาคาโมโตะมองหน้ากัน เพราะคำพูดของเด็กหนุ่มแสดงถึงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดของผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายมาก่อน ในกลุ่มของพวกเขานอกจากคุโระอินุมารุที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้วยังมีอีกหนึ่งที่เคยเห็นภาพบ้านเรือนถูกเผาด้วยเช่นกัน หากแต่โหดร้ายกว่ามากเพราะนอกจากจะถูกห้อมล้อมด้วยกองเพลิงแล้วรอบกายยังเกลื่อนไปด้วยซากศพของญาติพี่น้องที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ
“นอกจากไฟแล้วยังนึกอะไรได้อีก” ชายหนุ่มซึ่งหันกลับไปยังฟุรุคาวะแล้วกล่าวถาม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกแต่สุดท้ายเขากลับส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันจำได้แค่นั้น” ปากบางเม้มแน่นเมื่อนึกถึงนิทานวายุที่ได้ฟังจากทาคุ เปลวไฟที่เห็นในความฝันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่หมู่บ้านถูกเผาเหลือเกิน ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล่านั่นเลยสักนิดแล้วทำไมถึงเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ จะบอกว่ากลัว เขาก็โตเกินกว่าจะเกิดความรู้สึกเด็กๆแบบนั้น พลันลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาฉุกคิด
หรือมันจะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของผู้หญิงที่ชื่อฟูจิน
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนิทานวายุเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือหากเป็นจริงเขาก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับภูตเลยสักนิด แถมยังเพิ่งได้ยินชื่อนี้ตอนที่พบกับซาคาโมโตะ แล้วทำไมเขาต้องเห็นภาพแบบเดียวกับเธอ
“ถ้าจำได้แค่นั้นก็ไม่ต้องมานั่งนึก” เสียงซาคาโมโตะดึงความคิดของเด็กหนุ่มกลับมา เขาผลักคนพูดให้ออกห่างจากตัว
“แต่ฉันอยากคิดให้ออก”
“อย่าดีกว่า” ชายหนุ่มห้ามอย่างเคร่งขรึมพลางมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นความรั้นฉายออกมาทางดวงตา เขาก็ส่งยิ้มน้อยๆให้ “ห้ามนายไม่ได้ใช่ไหม”
“ก็คงยังงั้น” ฟุรุคาวะพูด ซาคาโมโตะจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวยื่นส่งให้
“ถ้าอยากจะฝันต่อก็ตามใจ แต่นายต้องอาบน้ำก่อน”
คำพูดนั้นทำให้ฟุรุคาวะนึกได้ว่าเขายังอยู่ในชุดนักเรียนและมีเหงื่อท่วมตัวจากฝันร้าย เด็กหนุ่มจึงรับผ้าเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย พอคนตัวเล็กคล้อยหลังทาคุซึ่งคันปากอยู่นานจึงถาม
“นายว่ามันจะเกี่ยวกับฟูจินหรือเปล่า”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี(yaoi) บทที่ 20 เสียงคำรามของอสนีบาต
บทที่ 20 เสียงคำรามของอสนีบาต
หลังจากสอบถามอาการจากแพทย์และพูดคุยให้กำลังใจภรรยากับลูกของทากาอิแล้ว ซาคาโมโตะจึงพาฟุรุคาวะกลับบ้าน ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกันเด็กหนุ่มก็เอาแต่ปิดปากเงียบ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของอาจารย์ ส่วนตัวซาคาโมโตะเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกันเพราะกำลังตกอยู่ในความครุ่นคิดหากไม่ใช่อาการของคนเจ็บ แต่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทากาอิต้องเข้าโรงพยาบาล
คำขู่ที่คาวาเบะพูดทิ้งท้ายเหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือของตน สีหน้าท่าทางยโสตอนเอ่ยชื่อทากาอิเป็นข้อยืนยัน แต่ทำไมเขาถึงโดนทำร้ายทั้งที่เมื่อวันก่อนเป็นวันหยุด จะบอกว่าไม่พอใจที่ถูกตำหนิตอนอยู่ในโรงเรียนก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะก่อนหน้านั้นพวกของคาวาเบะขาดเรียนไปสามวัน และตั้งแต่ถูกทำร้ายครั้งล่าสุดทากาอิก็แทบไม่ได้ยุ่งกับอันธพาลกลุ่มนี้อีกเลย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
คิดพลางชำเลืองมองคนข้างตัว ว่ากันตามจริงเขาไม่อยากยุ่งกับปัญหาของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากทากาอิเป็นคนดีและฟุรุคาวะเองก็เคารพอาจารย์คนนี้มาก เมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้นเขาก็จำต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ปัญหาคือเขาควรจัดการอย่างไรดี เพราะเด็กร้ายกาจแบบนั้นแค่คำขู่คงไม่ได้ผลเท่าไหร่ หรือต่อให้โดนซ้อมปางตาย พอหายพวกมันก็จะย้อนกลับมาเล่นงานทั้งทากาอิและฟุรุคาวะเพื่อเอาคืน
นัยน์ตาของชายหนุ่มทอแสงสีอำพันออกมาแวบหนึ่ง แม้ฟุรุคาวะจะไม่ทันสังเกตแต่ทาคุซึ่งเหลือบมองกระจกหลังเห็นเข้าพอดี จึงเอ่ยถามสั้นๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
เสียงของเขาทำให้ทั้งคู่หลุดจากความคิด เด็กหนุ่มทำหน้างงและรีบส่ายหน้าส่วนซาคาโมโตะมุ่นคิ้วตอบเสียงห้วน
“ขับรถไปเถอะ”
“ขอรับคุณชาย” สารถีหนุ่มย้อนกลับพลางส่งสายตากวนประสาทผ่านกระจกมองหลัง “แต่ผมคงขับดีๆไม่ได้ถ้ามีแสงอะไรแวบเข้าตา”
“แสงอะไรเหรอ” ฟุรุคาวะซึ่งนั่งนิ่งมานานเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนมองซ้ายมองขวาเพราะคิดว่าคงหมายถึงแสงไฟหน้ารถบรรทุกหรือจักรยานยนต์ แต่ทาคุกลับหัวเราะ
“แค่พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ ว่าแต่หิวหรือยังล่ะ แวะหาอะไรกินก่อนไหม”
ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมง่วงอยากกลับไปนอนเร็วๆ”
เขาให้เหตุผลแต่ทาคุไม่เห็นด้วย
“จะนอนทั้งท้องว่างได้ยังไง เอางี้พอไปถึงฉันจะ_”
“พอได้แล้วทาคุ”
ซาคาโมโตะขัดด้วยเสียงเชิงออกคำสั่งทำให้สารถีหนุ่มหุบปากฉับในทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วง พอเห็นสีหน้าหมองเศร้าขณะที่เจ้าตัวทอดสายตาเหม่อออกไปนอกรถ เขาจึงเข้าใจว่าตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังกลุ้มเรื่องอาจารย์จนไม่มีกะใจทำอะไร
เมื่อถึงบ้านฟุรุคาวะก็แยกตัวเข้าห้องปล่อยให้สองหนุ่มยืนมองหน้ากันเพราะนึกไม่ออกว่าควรจะปลอบใจยังไงดี ทีแรกทั้งคู่ตั้งใจรอให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้ก่อนแล้วค่อยตามเข้าไปคุยแต่พอได้ยินเสียงล็อคประตูทาคุก็หันไปมองหน้าเพื่อน
“คืนนี้นายต้องนอนโซฟาแล้วละ”
เขาถอดเสื้อนอก เสียบกระติกน้ำร้อน จากนั้นจึงหยิบขวดกาแฟกับโถชามาวาง “นายจะเอาอะไร” ถามโดยไม่หันหน้า ซาคาโมโตะจึงตอบทั้งที่ตายังคงจ้องอยู่บนประตูห้องนอนของฟุรุคาวะ
“กาแฟ”
สารถีหนุ่มพยักหน้ารับและจัดแจงตักผงกาแฟใส่แก้ว ปากก็พูดไปด้วย
“เอาไงดี”
ชายหนุ่มละสายตาจากประตูเลื่อนไปมองเพื่อน “อะไร”
“เรื่องทากาอิน่ะ” ทาคุขยายความพลางเติมน้ำตาลลงไปช้อนครึ่งจากนั้นจึงหยิบแก้วกาแฟและถ้วยชาเดินไปหาซาคาโมโตะที่อยู่ในห้องนั่งเล่น “เขาโดนทำร้ายหนักขนาดนั้น นายจะไม่สืบหน่อยเหรอว่าเป็นฝีมือของใคร”
พูดพร้อมกับส่งแก้วกาแฟให้ อีกฝ่ายยื่นมือไปรับพร้อมกับตอบ
“เรื่องคนทำฉันพอจะรู้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า”
ทาคุหย่อนตัวลงนั่ง จิบชาหนึ่งอึกก่อนเอ่ยชื่อผู้ต้องสงสัย
“คาวาเบะ”
ซาคาโมโตะพยักหน้าช้าๆ “จากพฤติกรรมกับคำขู่ที่ได้ยินวันนี้ ฉันคิดว่าใช่ แต่นึกไม่ออกว่าทำไมเขาถึงลงมือรุนแรงขนาดนั้นเพราะเท่าที่รู้ ทากาอิเคยโดยหมอนี่ทำร้ายมาแล้วสองครั้งแต่ก็แค่เบาะๆ ผิดจากคราวนี้ที่กะเอาถึงตาย”
“คนชั่วจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” สารถีหนุ่มย้อนถาม “ดูอย่างเจ้าคาราสุเฮบิสิ จู่ๆมันก็โผล่มาแล้วก็ไล่ฆ่าไปทั่ว จะบอกว่าตอนเด็กๆมันโดนรังแกก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะดูท่าทางแล้วเจ้านี่คงร้ายกาจมาตั้งแต่หลุดจากท้องแม่”
“นายจะเอามาเปรียบกันไม่ได้หรอกทาคุ คาราสุเฮบิเป็นปิศาจ แต่นี่เป็นมนุษย์”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน” ทาคุพูดเสียงเรียบ “สำหรับฉันมนุษย์กับปิศาจก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นักหรอก พอมีความโลภมันก็เลวได้เหมือนๆกัน”
เป็นความจริงที่ไม่มีข้อโต้แย้ง ซาคาโมโตะนั่งมองแก้วกาแฟในมือพลางนึกย้อนคิด นับตั้งแต่ในอดีตทั้งเขาและทาคุเคยมีเรื่องที่จำต้องเกี่ยวข้องกับพวกมนุษย์มาแล้วหลายครั้ง ที่เลวก็มีดีก็มากปะปนคละเคล้ากันไปเช่นเดียวกับเผ่าปิศาจ
“มันอาจจะจริงอย่างที่นายพูดแต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีสำหรับการฆ่า”
“ถึงได้ถามไงว่า นายจะเอายังไง” ทาคุพูดอย่างเป็นงานเป็นการ “แต่อย่างคาวาเบะแค่ขู่อย่างเดียวคงไม่พอหรอก หรือต่อให้อัดจนรากเลือด พอหายพวกมันก็กลับมาแว้งกัดทากาอิกับเด็กๆอีกอยู่ดี ตามความคิดของฉันการหยุดหมอนั่นมีแค่วิธีเดียวเท่านั้น”
เขามองซาคาโมโตะด้วยดวงตาลุกวาวราวสัตว์ป่า “ทำให้พวกมันเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
เป็นคำพูดตรงใจคนฟังที่สุด แต่การหักแขนหักขาเด็กนักเรียนเกือบครึ่งโหลไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆ เพราะโลกยุคนี้มีตำรวจ มีการสืบสวน ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไรลงไปกลุ่มซาคาโมโตะที่เขาอุปโลกน์ขึ้นจะพลอยเสียหายไปด้วย
“ฉันคิดว่า_”
เสียงร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องของฟุรุคาวะดึงชายหนุ่มทั้งสองให้กระเด้งจากเก้าอี้ก้าวพรวดไปที่ประตู เสียงคลิ้กดังมาจากด้านในก่อนมันจะอ้าเปิดออกช้าๆ ซาคาโมโตะมองจิ้งจอกน้อยที่กำลังลอยวนไปวนมาอย่างลุกลนก่อนเดินตรงไปหาฟุรุคาวะที่นั่งเหงื่อท่วมอยู่บนเตียง
“เกิดอะไรขึ้น !”
ถามด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับโผเข้าไปซุกอกด้วยท่าทางเหมือนเด็กที่ตื่นจากฝันร้าย ซาคาโมโตะจึงกอดเขาไว้พร้อมกับปลอบเบาๆขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบห้องเพื่อหาปิศาจหรืออะไรสักอย่างที่เป็นตัวก่อเหตุ พอเห็นทาคุกำลังเดินสำรวจไปจนถึงหน้าต่างเขาก็หันกลับมาให้ความสนใจเด็กหนุ่มไล่ตรวจตามร่างกายอย่างละเอียด นอกจากอาการสั่นไปทั้งตัวแล้วก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลอะไร เขาถอนใจออกมาเบาๆอย่างโล่งอกก่อนเอ่ยถาม
“เป็นอะไร ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ”
ฟุรุคาวะพยักหน้าแต่ไม่ยอมพูดอะไร ซาคาโมโตะจึงกระชับแขนขึ้นอีกนิดและแตะปากกับศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”
จากท่าทางที่ดูหวาดผวาของคนในอ้อมกอดทำให้ชายหนุ่มเดาว่าเขาน่าจะฝันถึงการตายอันน่าสยดสยองของพ่อแม่หรือภูตผีปิศาจที่เคยมารบกวน แต่พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาตื่นกลัวแล้วความคิดดังกล่าวก็หายไป เพราะไม่ได้มีเพียงแค่ความตระหนกหากมีความสับสน ไม่เข้าใจแฝงอยู่ด้วย
“จำไม่ได้” ฟุรุคาวะพูดเสียงสั่น “ฉันรู้แค่ว่ามันเป็นความฝันที่น่ากลัวมากแต่ฉันจำมันไม่ได้”
หากเป็นคนขวัญอ่อนเด็กหนุ่มคงปล่อยโฮออกมาแล้ว แต่เพราะเคยประสบเรื่องราวอันน่าขนลุกมาแล้วก่อนหน้านั้นเขาจึงแค่นั่งตัวสั่นเป็นลูกนก ตาสองข้างแดงก่ำจากการพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เกิดอาการสติแตก ทาคุซึ่งยืนฟังอยู่ใกล้ๆจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ไม่น่าเชื่อ ลองนึกให้ดีๆสิ”
ฟุรุคาวะทำตามคำพูดของคนตัวใหญ่แต่ภายในหัวกลับว่างเปล่า ไม่มีภาพที่เกี่ยวกับความฝันเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอแต่ความดำมืดจนเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิด เด็กหนุ่มจึงกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อข่มอารมณ์ วินาทีนั้นแสงสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ถึงจะเป็นเพียงนิดเดียวกลับส่งผลให้เขานั่งตัวแข็งทื่อตาเบิกโพลง ซาคาโมโตะซึ่งคอยสังเกตกิริยาเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นจึงรีบหันไปปรามเพื่อนด้วยสายตาก่อนหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกเบาใจ
“นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร”
“ฉันเห็นเปลวไฟ” ฟุรุคาวะพูดขึ้นมาและมองหน้าชายหนุ่มด้วยดวงตาที่ฉายความเจ็บปวด มันทำให้ซาคาโมโตะถึงกับใจหายวาบเพราะในอดีตเขาเคยเห็นแววตาแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากใบหน้าเปื้อนฝุ่นมอมแมมของเด็กหญิงตัวเล็กๆที่บิดาพามาด้วย
“เปลวไฟยังไง ใช่แบบเดียวกับที่ฝันถึงบ่อยๆหรือเปล่า” เมื่อเห็นเพื่อนรักแสดงท่าทางแปลกๆ ทาคุจึงทำหน้าที่ซักไซ้ เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“ว้า บอกแค่นั้นมันจะไปรู้ได้ยังไง นึกให้ดีสิว่ามันเป็นไฟแบบไหน คบเพลิง พลุ หรือพวกกองไฟตามแค้มป์” สารถีหนุ่มถามพร้อมกับช่วยยกตัวอย่างประกอบแต่ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อสบดวงตาของฟุรุคาวะ
“ฉันยืนอยู่กลางหมู่บ้านที่กำลังมีไฟลุกท่วม”
ทาคุกับซาคาโมโตะมองหน้ากัน เพราะคำพูดของเด็กหนุ่มแสดงถึงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดของผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายมาก่อน ในกลุ่มของพวกเขานอกจากคุโระอินุมารุที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้วยังมีอีกหนึ่งที่เคยเห็นภาพบ้านเรือนถูกเผาด้วยเช่นกัน หากแต่โหดร้ายกว่ามากเพราะนอกจากจะถูกห้อมล้อมด้วยกองเพลิงแล้วรอบกายยังเกลื่อนไปด้วยซากศพของญาติพี่น้องที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ
“นอกจากไฟแล้วยังนึกอะไรได้อีก” ชายหนุ่มซึ่งหันกลับไปยังฟุรุคาวะแล้วกล่าวถาม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกแต่สุดท้ายเขากลับส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันจำได้แค่นั้น” ปากบางเม้มแน่นเมื่อนึกถึงนิทานวายุที่ได้ฟังจากทาคุ เปลวไฟที่เห็นในความฝันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่หมู่บ้านถูกเผาเหลือเกิน ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล่านั่นเลยสักนิดแล้วทำไมถึงเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ จะบอกว่ากลัว เขาก็โตเกินกว่าจะเกิดความรู้สึกเด็กๆแบบนั้น พลันลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาฉุกคิด
หรือมันจะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของผู้หญิงที่ชื่อฟูจิน
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนิทานวายุเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือหากเป็นจริงเขาก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับภูตเลยสักนิด แถมยังเพิ่งได้ยินชื่อนี้ตอนที่พบกับซาคาโมโตะ แล้วทำไมเขาต้องเห็นภาพแบบเดียวกับเธอ
“ถ้าจำได้แค่นั้นก็ไม่ต้องมานั่งนึก” เสียงซาคาโมโตะดึงความคิดของเด็กหนุ่มกลับมา เขาผลักคนพูดให้ออกห่างจากตัว
“แต่ฉันอยากคิดให้ออก”
“อย่าดีกว่า” ชายหนุ่มห้ามอย่างเคร่งขรึมพลางมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นความรั้นฉายออกมาทางดวงตา เขาก็ส่งยิ้มน้อยๆให้ “ห้ามนายไม่ได้ใช่ไหม”
“ก็คงยังงั้น” ฟุรุคาวะพูด ซาคาโมโตะจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวยื่นส่งให้
“ถ้าอยากจะฝันต่อก็ตามใจ แต่นายต้องอาบน้ำก่อน”
คำพูดนั้นทำให้ฟุรุคาวะนึกได้ว่าเขายังอยู่ในชุดนักเรียนและมีเหงื่อท่วมตัวจากฝันร้าย เด็กหนุ่มจึงรับผ้าเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย พอคนตัวเล็กคล้อยหลังทาคุซึ่งคันปากอยู่นานจึงถาม
“นายว่ามันจะเกี่ยวกับฟูจินหรือเปล่า”