บทที่ 1-2
http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5
http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 หน้ากากในความมืด
หนวดปลาหมึกสีดำเป็นมันเลื่อมยื่นออกมาจากโพรงมรณะอีกหลายเส้นรัดแขน ขาและลำตัวของฟุรุคาวะจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป แรงกดอันทรงพลังที่เค้นลงไปบนลำคอบีบหลอดลมให้ตีบตันทำให้ลมหายใจขาดเป็นช่วง ใบหน้าของเขาเริ่มซีดลงความเย็นอันเป็นสัญญาณแห่งความตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความทรมานจากสิ่งที่กำลังเผชิญทำให้เด็กหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะเหมือนพ่อแม่ตอนถูกไฟคลอกหรือเปล่า ถ้าใช่ก็คงดีเพราะอย่างน้อยเขายังได้ลิ้มรสความรู้สึกแบบเดียวกับพวกท่านก่อนหมดลมหายใจ
‘ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก’
เสียงใครบางคนแว่วเข้ามาในโสต ฟุรุคาวะจึงเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความสงสัย ท่ามกลางความดำมืดภายในโพรงมีใบหน้าของผู้ชายปรากฏขึ้น ดวงตาที่กำลังพร่าเลือนทำให้มองไม่ชัดนักกระนั้นยังเห็นอีกฝ่ายเหยียดริมฝีปากยิ้ม
‘เจ้าเป็นของข้าแล้ว ฟูจิน’
ชื่อนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพร้อมกับหลับตาลง ตอนแรกก็ซาคาโมโตะมาคราวนี้เป็นชายลึกลับ เขาชื่อฟุรุคาวะ ฟุบุกิต่างหากเรียกฟูจินกันอยู่ได้ ดูเหมือนสิ่งนั้นจะเข้าใจความคิดของคนที่อยู่ในพันธนาการเพราะมันตอบ
‘เพราะเจ้าคือ...’ ยังไม่ทันจบประโยคร่างสูงใหญ่ของทาคุกับซาคาโมโตะพลันปรากฏขึ้นกลางห้อง การมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของทั้งสองคนทำให้ผู้ที่อยู่ในเงามืดตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกก่อนส่งเสียงคำราม
“ไรโชมารุ”
นัยน์ตามีแสงแห่งความพิโรธปะทุขึ้น มันจ้องทั้งคู่อย่างมาดร้ายก่อนดวงหน้าขาวซีดจะค่อยๆจมหายไปในความมืด เมื่อไร้คนบงการรยางค์สีดำจึงคลายออกปล่อยร่างที่ใกล้สิ้นสติของฟุรุคาวะให้ร่วงลงพื้น โชคดีที่ซาคาโมโตะอ้าแขนรับไว้ได้ทัน พอเห็นเด็กหนุ่มหลุดจากเงื้อมมือของปิศาจแล้วเขาจึงออกคำสั่งกับทาคุ
“กำจัดมันให้หมด!”
“ได้เลย” สารถีหนุ่มตอบพร้อมกับสร้างลูกไฟดวงใหญ่ขึ้น พริบตาปิศาจอสุรกายที่อยู่ในห้องก็ถูกเผาจนไม่เหลือสักตัว “เฮอะ! สู้กันยังไม่ทันเหงื่อออกก็ตายหมดซะแล้ว กระจอกชะมัด”
ทาคุบ่นเนื่องจากยังไม่ค่อยสะใจกับบทบู๊ของตัวเองเท่าไหร่ เขากวาดตาสำรวจไปรอบห้องก่อนหันไปทางซาคาโมโตะที่ยืนอุ้มฟุรุคาวะเอาไว้ “เป็นไงบ้าง”
ชายหนุ่มมองคนในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก นอกจากรอยช้ำบนลำคอแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีบาดแผลอะไรอีก
“ไม่เป็นไร”
“ค่อยยังชั่ว” ทาคุพูดอย่างโล่งใจก่อนหันมองไปรอบๆอีกครั้ง “แต่แปลกจังเลยนะทั้งที่มีจิ้งจอกน้อยอยู่ด้วยทำไมพวกนั้นถึงบุกเข้ามาทำร้ายเด็กคนนี้ได้”
“ฉันไม่รู้” ซาคาโมโตะตอบพลางพาร่างไร้สติไปวางไว้บนเตียง “ฉันสังเกตแต่แรกแล้วว่าปิศาจพวกนี้ถูกความอ่อนแอของฟุบุกิเรียกออกมา แต่อย่างที่นายถามทั้งที่มีกิซึเนะทำไมมันยังบุกเข้ามาได้”
สารถีหนุ่มนิ่งฟังอย่างเคร่งขรึมแต่กลับสะดุดกับบางคำที่หลุดออกมา เขาหันไปมองเจ้านายพร้อมกับทำตาโต
“สนิทจนเรียกชื่อต้นกันได้แล้วเหรอ ก้าวหน้าไปไกลแล้วนี่”
เป็นการกระเซ้าเพื่อคลายความตึงเครียดแต่ซาคาโมโตะไม่สนุกตามไปด้วย เขายังมองคอเขียวช้ำของฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วงก่อนใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆบนใบหน้าลากเรื่อยลงไปถึงคางและหยุดไว้ที่ลำคอ ทาคุมองการกระทำนั้นไม่วางตาแต่ไม่ได้ถามอะไรเพราะรู้ดีว่านั่นคือวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้านาย
“เห็นหน้าที่อยู่ในโพรงหรือเปล่า”
จู่ๆซาคาโมโตะก็ถามขึ้น สารถีหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับผงกศีรษะรับ
“เห็น นายรู้หรือว่ามันเป็นใคร”
“ไม่ใช่ใคร แต่เป็นอะไรต่างหาก” ซาคาโมโตะตอบพลางเหลือบตาขึ้นมองทาคุที่กำลังยืนกอดอกคิดตาม “ที่เห็นน่ะไม่ใช่คนแต่เป็นยามันบะ”
หัวคิ้วของทาคุขมวดจนแทบจะผูกกัน
“ยามันบะที่เป็นหน้ากากโนน่ะเหรอ” เขาถาม ใบหน้าทะเล้นเมื่อครู่ดูจริงจังขึ้น “เท่าที่รู้มีคนเดียวที่ใช้ของแบบนั้นแต่จอมยะโสอย่างเจ้านั่นจะทำร้ายเด็กคนนี้ไปเพื่ออะไร”
คำถามของคนสนิททำให้ซาคาโมโตะบดกรามตัวเองเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ทาคุหรือตอนนั้นคือคุโระอินุมารุเคยถามเขาแบบเดียวกันแต่สุดท้ายแล้วคนรักของเขาก็ถูกฆ่าตาย
นัยน์ตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเหมือนมีน้ำกรดหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน ชายหนุ่มบดกรามจนเป็นสันนูนด้วยความแค้นแน่นอก เขามองฟุรุคาวะที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักครั้งนั้นเขาสูญเสียเธอเพราะอ่อนแอเกินไปแต่วันนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก เขาจะใช้พลังอันเข้มแข็งนี้ปกป้องคนรักและทำทุกอย่างเพื่ออยู่ด้วยกันอีกครั้งแม้ว่าตอนนี้เธอคนนั้นจะอยู่ในร่างของผู้ชายก็ตาม
“ว่าไงไรโชมารุ” พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนานทาคุจึงถามย้ำอีกครั้งและฉีกยิ้มแห้งอย่างสำนึกผิดเมื่อเห็นหน้าบูดบึ้งของซาคาโมโตะ “รู้ว่าไม่ชอบให้เรียกชื่อนี้แต่นายเล่นเงียบไปเลยนี่หว่า”
เขาแก้ตัวไปเรื่อยและโล่งใจขึ้นเมื่อรอยช้ำบนคอของเด็กหนุ่มหายไปแล้ว ซาคาโมโตะย้ายมือจากลำคอขึ้นไปแตะแก้มของฟุรุคาวะเบาๆ กิริยาที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลกับวิธีมองของเขาทำให้ทาคุเจ็บจี๊ดในหัวใจนิดๆ
อยากทำแบบนั้นบ้างจัง
สารถีหนุ่มกัดปากและสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความริษยาที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อยออกไป ใช่ เขาเคยแอบหลงรักฟูจินและปวดร้าวเจียนใจจะขาดตอนนางตาย แต่ความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่ถึงครึ่งหากเทียบกับไรโชมารุที่เสียใจจนแทบคลั่งนับจากวันนั้นก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของนางและออกตามหาไปทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ย่อท้อ
“บางทีสิ่งที่เราคิดว่ายุติลงแล้วอาจเป็นเพียงการหยุดเพื่อรอโอกาสเหมาะ” เสียงของซาคาโมโตะดึงจิตใจที่กำลังฟุ้งซ่านกลับมา ทาคุมุ่นคิ้ว
“นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
ซาคาโมโตะละจากฟุรุคาวะหันมามองคนสนิทด้วยนัยน์ตาสีอำพัน
“ฉันคิดว่านายเองก็น่าจะรู้”
“แต่พวกโอโรจิทำสัญญาสงบศึกกับพวกเราตั้งแต่แปดร้อยปีก่อน ตอนนี้พวกมันเองก็สนุกกับการอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์”
“สัญญามันก็แค่แผ่นกระดาษ” ซาคาโมโตะพูดพลางก้มหน้าลงมองฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วง “ที่พวกมันยอมตกลงด้วยก็เพื่อเอาตัวรอดฉันเชื่อว่าการที่โอโรจินิ่งก็เพื่อรอเวลาล้างแค้น แต่ทำไมถึงเป็นตอนนี้”
เขาลูบแก้มเด็กหนุ่มพลางมองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก “และทำไมถึงพยายามลากเขามายุ่งกับเรื่องของพวกเรา”
“หรือพวกมันรู้ว่าฟุรุคาวะคือฟูจินกลับชาติมาเกิด”
ซาคาโมโตะส่ายหน้าไม่เห็นด้วยความความคิดนั้น “ขนาดนายเองยังไม่รู้”
คำพูดนี้ทำเอาทาคุถึงกับสะอึก จริงสินะ เขาเจอฟุรุคาวะหลายครั้งแต่ไม่สำเหนียกถึงวิญญาณของฟูจินที่สถิตอยู่ในร่างเลยสักนิดจนกระทั่งสัมผัสเนื้อตัวต่างจากซาคาโมโตะที่แค่เห็นก็รู้สึกได้แล้ว
“ถ้ามันรู้แค่ว่านายสนใจเด็กคนนี้เป็นพิเศษล่ะ” เขาเปลี่ยนข้อสันนิษฐาน ครั้งนี้คนเป็นนายผงกศีรษะรับ
“แบบนั้นยิ่งน่าเป็นห่วง”
เขาพูดสั้นๆแต่จากสีหน้าแล้วทำให้สารถีหนุ่มพอจะเดาออกว่าเวลานี้ใจของซาคาโมโตะเต็มไปด้วยความสับสนว่าควรจัดการสิ่งใดก่อน ไหนจะเรื่องวิวาทระหว่างกลุ่ม พฤติกรรมที่รุนแรงขึ้นของพวกโอโรจิแถมตอนนี้ยังมีเรื่องของฟุรุคาวะซึ่งทาคุแน่ใจว่านายของเขาพุ่งความสนใจมาที่ประเด็นหลังมากที่สุด
“ถ้าเป็นห่วงก็น่าจะพาไปอยู่ด้วยกัน” เขาพูดเชิงแนะนำแต่ซาคาโมโตะกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เขาไม่ยอมหรอก”
“รู้ได้ยังไง” สารถีหนุ่มถาม อีกฝ่ายเหลือบตามอง
“เขาเคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือบ้างหรือเปล่า”
ทาคุยิ้มแหยสั่นหน้า “ไม่” นิ่งเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นเปลี่ยนเป็นนายย้ายเข้ามาอยู่ด้วยก็สิ้นเรื่อง”
“ได้ไง...” ซาคาโมโตะทำท่าปฏิเสธแต่สารถีจอมกวนไม่ฟังแถมยังเจ้ากี้เจ้าการพูดต่อ
“ฉันคิดว่าพวกโอโรจิคงจับตาดูตลอดเวลาเราสองคนออกจากห้องเมื่อไหร่มันย่องเข้ามางาบหมอนี่ไปแน่ เพื่อความปลอดภัยคืนนี้นายพักที่นี่ก่อนพรุ่งนี้ฉันจะขนข้าวของมาให้”
“ไม่ได้นะ!” ซาคาโมโตะแย้งด้วยใบหน้าเข้มแถมยังทำท่ากระดากนิดๆเล่นเอาทาคุแทบขำพรวดออกมา
“หรือนายอยากทิ้งเขาให้ตกเป็นเหยื่อเจ้านั่น”
“ไม่”
“งั้นก็อยู่ที่นี่” ทาคุกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนไปทางจริงจังพลางเดินไปที่ประตู ก่อนออกจากห้องยังไม่วายเอี้ยวตัวหันกลับมากระเซ้า “ จะนอนกอดทั้งคืนก็ได้นะ”
ผลุบออกจากห้องโดยไม่รอให้อีกฝ่ายโต้คืน ซาคาโมโตะจึงได้แต่บ่นออกมาเบาๆ
“เจ้าบ้า”
น่าแปลกที่ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยสักนิดตรงกันข้ามออกจะสุขใจเลยด้วยซ้ำ เขาค่อยๆหย่อนตัวนั่งบนเตียงโดยมองฟุรุคาวะตลอดเวลาส่วนมือลูบไล้ไปตามเรือนร่างเพื่อตรวจดูว่ามีบาดแผลหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ คลำไปก็คิดไปด้วยว่าหากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้เพราะเป็นการไม่สมควรที่สตรีและบุรุษจะถูกเนื้อต้องตัวกัน แม้จะเป็นการกระทำเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บก็ตาม แต่ตอนนี้เขาสามารถจับเนื้อต้องตัวคนรักได้โดยไม่ต้องกลัวข้อครหาเพราะผู้ชายกับผู้ชายจะจับเนื้อต้องตัวยังไงก็ไม่น่าเกลียด
จะว่าผู้ชายก็ไม่เชิงนัก แม้ภายนอกจะดูเป็นแบบนั้นแต่ลึกลงไปข้างในเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นวิญญาณอันแสนอ่อนโยนของอิสตรีไม่เพียงเท่านั้น ทั้งผิวพรรณ ดวงหน้าหรือแม้แต่กลิ่น คิดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด เขายังจำได้ดีเพราะมันกลิ่นไออันหอมกรุ่นจากเรือนกายของฟูจิน
ความคะนึงหาที่อัดแน่นสุมทรวงทำให้สุดที่จะยั้งใจไว้อีกต่อไป ซาคาโมโตะโน้มตัวลงแตะริมฝีปากจูบหน้าผากคนรักเบาๆ การกระทำนั้นเองทำให้ฟุรุคาวะได้สติ เขากะพริบตาสองสามครั้งเพื่อไล่ความมึนงงก่อนเหลือบมองไปรอบๆ
“เกิดอะไรขึ้น แล้วเจ้าหนวดปลาหมึกนั่นล่ะ” เอ่ยปากเหมือนถามตัวเองพลางกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อไล่ความมึนงง พอเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ข้างๆเท่านั้นดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลง
“ซาคาโมโตะ!!!”
ทำท่าจะลุกแต่ถูกอีกฝ่ายกดไหล่สองข้างเอาไว้ “อยู่นิ่งๆไม่งั้น” ละคำพูดไว้อย่างมีเลศนัยทำให้คนฟังต้องมุ่นคิ้วด้วยความระแวง
“ไม่งั้นนายจะทำไม ?!”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี(Yaoi) บทที่ 10 หน้ากากในความมืด
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 หน้ากากในความมืด
หนวดปลาหมึกสีดำเป็นมันเลื่อมยื่นออกมาจากโพรงมรณะอีกหลายเส้นรัดแขน ขาและลำตัวของฟุรุคาวะจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป แรงกดอันทรงพลังที่เค้นลงไปบนลำคอบีบหลอดลมให้ตีบตันทำให้ลมหายใจขาดเป็นช่วง ใบหน้าของเขาเริ่มซีดลงความเย็นอันเป็นสัญญาณแห่งความตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความทรมานจากสิ่งที่กำลังเผชิญทำให้เด็กหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะเหมือนพ่อแม่ตอนถูกไฟคลอกหรือเปล่า ถ้าใช่ก็คงดีเพราะอย่างน้อยเขายังได้ลิ้มรสความรู้สึกแบบเดียวกับพวกท่านก่อนหมดลมหายใจ
‘ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก’
เสียงใครบางคนแว่วเข้ามาในโสต ฟุรุคาวะจึงเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความสงสัย ท่ามกลางความดำมืดภายในโพรงมีใบหน้าของผู้ชายปรากฏขึ้น ดวงตาที่กำลังพร่าเลือนทำให้มองไม่ชัดนักกระนั้นยังเห็นอีกฝ่ายเหยียดริมฝีปากยิ้ม
‘เจ้าเป็นของข้าแล้ว ฟูจิน’
ชื่อนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพร้อมกับหลับตาลง ตอนแรกก็ซาคาโมโตะมาคราวนี้เป็นชายลึกลับ เขาชื่อฟุรุคาวะ ฟุบุกิต่างหากเรียกฟูจินกันอยู่ได้ ดูเหมือนสิ่งนั้นจะเข้าใจความคิดของคนที่อยู่ในพันธนาการเพราะมันตอบ
‘เพราะเจ้าคือ...’ ยังไม่ทันจบประโยคร่างสูงใหญ่ของทาคุกับซาคาโมโตะพลันปรากฏขึ้นกลางห้อง การมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของทั้งสองคนทำให้ผู้ที่อยู่ในเงามืดตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกก่อนส่งเสียงคำราม
“ไรโชมารุ”
นัยน์ตามีแสงแห่งความพิโรธปะทุขึ้น มันจ้องทั้งคู่อย่างมาดร้ายก่อนดวงหน้าขาวซีดจะค่อยๆจมหายไปในความมืด เมื่อไร้คนบงการรยางค์สีดำจึงคลายออกปล่อยร่างที่ใกล้สิ้นสติของฟุรุคาวะให้ร่วงลงพื้น โชคดีที่ซาคาโมโตะอ้าแขนรับไว้ได้ทัน พอเห็นเด็กหนุ่มหลุดจากเงื้อมมือของปิศาจแล้วเขาจึงออกคำสั่งกับทาคุ
“กำจัดมันให้หมด!”
“ได้เลย” สารถีหนุ่มตอบพร้อมกับสร้างลูกไฟดวงใหญ่ขึ้น พริบตาปิศาจอสุรกายที่อยู่ในห้องก็ถูกเผาจนไม่เหลือสักตัว “เฮอะ! สู้กันยังไม่ทันเหงื่อออกก็ตายหมดซะแล้ว กระจอกชะมัด”
ทาคุบ่นเนื่องจากยังไม่ค่อยสะใจกับบทบู๊ของตัวเองเท่าไหร่ เขากวาดตาสำรวจไปรอบห้องก่อนหันไปทางซาคาโมโตะที่ยืนอุ้มฟุรุคาวะเอาไว้ “เป็นไงบ้าง”
ชายหนุ่มมองคนในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก นอกจากรอยช้ำบนลำคอแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีบาดแผลอะไรอีก
“ไม่เป็นไร”
“ค่อยยังชั่ว” ทาคุพูดอย่างโล่งใจก่อนหันมองไปรอบๆอีกครั้ง “แต่แปลกจังเลยนะทั้งที่มีจิ้งจอกน้อยอยู่ด้วยทำไมพวกนั้นถึงบุกเข้ามาทำร้ายเด็กคนนี้ได้”
“ฉันไม่รู้” ซาคาโมโตะตอบพลางพาร่างไร้สติไปวางไว้บนเตียง “ฉันสังเกตแต่แรกแล้วว่าปิศาจพวกนี้ถูกความอ่อนแอของฟุบุกิเรียกออกมา แต่อย่างที่นายถามทั้งที่มีกิซึเนะทำไมมันยังบุกเข้ามาได้”
สารถีหนุ่มนิ่งฟังอย่างเคร่งขรึมแต่กลับสะดุดกับบางคำที่หลุดออกมา เขาหันไปมองเจ้านายพร้อมกับทำตาโต
“สนิทจนเรียกชื่อต้นกันได้แล้วเหรอ ก้าวหน้าไปไกลแล้วนี่”
เป็นการกระเซ้าเพื่อคลายความตึงเครียดแต่ซาคาโมโตะไม่สนุกตามไปด้วย เขายังมองคอเขียวช้ำของฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วงก่อนใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆบนใบหน้าลากเรื่อยลงไปถึงคางและหยุดไว้ที่ลำคอ ทาคุมองการกระทำนั้นไม่วางตาแต่ไม่ได้ถามอะไรเพราะรู้ดีว่านั่นคือวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้านาย
“เห็นหน้าที่อยู่ในโพรงหรือเปล่า”
จู่ๆซาคาโมโตะก็ถามขึ้น สารถีหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับผงกศีรษะรับ
“เห็น นายรู้หรือว่ามันเป็นใคร”
“ไม่ใช่ใคร แต่เป็นอะไรต่างหาก” ซาคาโมโตะตอบพลางเหลือบตาขึ้นมองทาคุที่กำลังยืนกอดอกคิดตาม “ที่เห็นน่ะไม่ใช่คนแต่เป็นยามันบะ”
หัวคิ้วของทาคุขมวดจนแทบจะผูกกัน
“ยามันบะที่เป็นหน้ากากโนน่ะเหรอ” เขาถาม ใบหน้าทะเล้นเมื่อครู่ดูจริงจังขึ้น “เท่าที่รู้มีคนเดียวที่ใช้ของแบบนั้นแต่จอมยะโสอย่างเจ้านั่นจะทำร้ายเด็กคนนี้ไปเพื่ออะไร”
คำถามของคนสนิททำให้ซาคาโมโตะบดกรามตัวเองเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ทาคุหรือตอนนั้นคือคุโระอินุมารุเคยถามเขาแบบเดียวกันแต่สุดท้ายแล้วคนรักของเขาก็ถูกฆ่าตาย
นัยน์ตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเหมือนมีน้ำกรดหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน ชายหนุ่มบดกรามจนเป็นสันนูนด้วยความแค้นแน่นอก เขามองฟุรุคาวะที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักครั้งนั้นเขาสูญเสียเธอเพราะอ่อนแอเกินไปแต่วันนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก เขาจะใช้พลังอันเข้มแข็งนี้ปกป้องคนรักและทำทุกอย่างเพื่ออยู่ด้วยกันอีกครั้งแม้ว่าตอนนี้เธอคนนั้นจะอยู่ในร่างของผู้ชายก็ตาม
“ว่าไงไรโชมารุ” พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนานทาคุจึงถามย้ำอีกครั้งและฉีกยิ้มแห้งอย่างสำนึกผิดเมื่อเห็นหน้าบูดบึ้งของซาคาโมโตะ “รู้ว่าไม่ชอบให้เรียกชื่อนี้แต่นายเล่นเงียบไปเลยนี่หว่า”
เขาแก้ตัวไปเรื่อยและโล่งใจขึ้นเมื่อรอยช้ำบนคอของเด็กหนุ่มหายไปแล้ว ซาคาโมโตะย้ายมือจากลำคอขึ้นไปแตะแก้มของฟุรุคาวะเบาๆ กิริยาที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลกับวิธีมองของเขาทำให้ทาคุเจ็บจี๊ดในหัวใจนิดๆ
อยากทำแบบนั้นบ้างจัง
สารถีหนุ่มกัดปากและสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความริษยาที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อยออกไป ใช่ เขาเคยแอบหลงรักฟูจินและปวดร้าวเจียนใจจะขาดตอนนางตาย แต่ความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่ถึงครึ่งหากเทียบกับไรโชมารุที่เสียใจจนแทบคลั่งนับจากวันนั้นก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของนางและออกตามหาไปทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ย่อท้อ
“บางทีสิ่งที่เราคิดว่ายุติลงแล้วอาจเป็นเพียงการหยุดเพื่อรอโอกาสเหมาะ” เสียงของซาคาโมโตะดึงจิตใจที่กำลังฟุ้งซ่านกลับมา ทาคุมุ่นคิ้ว
“นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
ซาคาโมโตะละจากฟุรุคาวะหันมามองคนสนิทด้วยนัยน์ตาสีอำพัน
“ฉันคิดว่านายเองก็น่าจะรู้”
“แต่พวกโอโรจิทำสัญญาสงบศึกกับพวกเราตั้งแต่แปดร้อยปีก่อน ตอนนี้พวกมันเองก็สนุกกับการอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์”
“สัญญามันก็แค่แผ่นกระดาษ” ซาคาโมโตะพูดพลางก้มหน้าลงมองฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วง “ที่พวกมันยอมตกลงด้วยก็เพื่อเอาตัวรอดฉันเชื่อว่าการที่โอโรจินิ่งก็เพื่อรอเวลาล้างแค้น แต่ทำไมถึงเป็นตอนนี้”
เขาลูบแก้มเด็กหนุ่มพลางมองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก “และทำไมถึงพยายามลากเขามายุ่งกับเรื่องของพวกเรา”
“หรือพวกมันรู้ว่าฟุรุคาวะคือฟูจินกลับชาติมาเกิด”
ซาคาโมโตะส่ายหน้าไม่เห็นด้วยความความคิดนั้น “ขนาดนายเองยังไม่รู้”
คำพูดนี้ทำเอาทาคุถึงกับสะอึก จริงสินะ เขาเจอฟุรุคาวะหลายครั้งแต่ไม่สำเหนียกถึงวิญญาณของฟูจินที่สถิตอยู่ในร่างเลยสักนิดจนกระทั่งสัมผัสเนื้อตัวต่างจากซาคาโมโตะที่แค่เห็นก็รู้สึกได้แล้ว
“ถ้ามันรู้แค่ว่านายสนใจเด็กคนนี้เป็นพิเศษล่ะ” เขาเปลี่ยนข้อสันนิษฐาน ครั้งนี้คนเป็นนายผงกศีรษะรับ
“แบบนั้นยิ่งน่าเป็นห่วง”
เขาพูดสั้นๆแต่จากสีหน้าแล้วทำให้สารถีหนุ่มพอจะเดาออกว่าเวลานี้ใจของซาคาโมโตะเต็มไปด้วยความสับสนว่าควรจัดการสิ่งใดก่อน ไหนจะเรื่องวิวาทระหว่างกลุ่ม พฤติกรรมที่รุนแรงขึ้นของพวกโอโรจิแถมตอนนี้ยังมีเรื่องของฟุรุคาวะซึ่งทาคุแน่ใจว่านายของเขาพุ่งความสนใจมาที่ประเด็นหลังมากที่สุด
“ถ้าเป็นห่วงก็น่าจะพาไปอยู่ด้วยกัน” เขาพูดเชิงแนะนำแต่ซาคาโมโตะกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เขาไม่ยอมหรอก”
“รู้ได้ยังไง” สารถีหนุ่มถาม อีกฝ่ายเหลือบตามอง
“เขาเคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือบ้างหรือเปล่า”
ทาคุยิ้มแหยสั่นหน้า “ไม่” นิ่งเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นเปลี่ยนเป็นนายย้ายเข้ามาอยู่ด้วยก็สิ้นเรื่อง”
“ได้ไง...” ซาคาโมโตะทำท่าปฏิเสธแต่สารถีจอมกวนไม่ฟังแถมยังเจ้ากี้เจ้าการพูดต่อ
“ฉันคิดว่าพวกโอโรจิคงจับตาดูตลอดเวลาเราสองคนออกจากห้องเมื่อไหร่มันย่องเข้ามางาบหมอนี่ไปแน่ เพื่อความปลอดภัยคืนนี้นายพักที่นี่ก่อนพรุ่งนี้ฉันจะขนข้าวของมาให้”
“ไม่ได้นะ!” ซาคาโมโตะแย้งด้วยใบหน้าเข้มแถมยังทำท่ากระดากนิดๆเล่นเอาทาคุแทบขำพรวดออกมา
“หรือนายอยากทิ้งเขาให้ตกเป็นเหยื่อเจ้านั่น”
“ไม่”
“งั้นก็อยู่ที่นี่” ทาคุกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนไปทางจริงจังพลางเดินไปที่ประตู ก่อนออกจากห้องยังไม่วายเอี้ยวตัวหันกลับมากระเซ้า “ จะนอนกอดทั้งคืนก็ได้นะ”
ผลุบออกจากห้องโดยไม่รอให้อีกฝ่ายโต้คืน ซาคาโมโตะจึงได้แต่บ่นออกมาเบาๆ
“เจ้าบ้า”
น่าแปลกที่ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยสักนิดตรงกันข้ามออกจะสุขใจเลยด้วยซ้ำ เขาค่อยๆหย่อนตัวนั่งบนเตียงโดยมองฟุรุคาวะตลอดเวลาส่วนมือลูบไล้ไปตามเรือนร่างเพื่อตรวจดูว่ามีบาดแผลหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ คลำไปก็คิดไปด้วยว่าหากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้เพราะเป็นการไม่สมควรที่สตรีและบุรุษจะถูกเนื้อต้องตัวกัน แม้จะเป็นการกระทำเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บก็ตาม แต่ตอนนี้เขาสามารถจับเนื้อต้องตัวคนรักได้โดยไม่ต้องกลัวข้อครหาเพราะผู้ชายกับผู้ชายจะจับเนื้อต้องตัวยังไงก็ไม่น่าเกลียด
จะว่าผู้ชายก็ไม่เชิงนัก แม้ภายนอกจะดูเป็นแบบนั้นแต่ลึกลงไปข้างในเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นวิญญาณอันแสนอ่อนโยนของอิสตรีไม่เพียงเท่านั้น ทั้งผิวพรรณ ดวงหน้าหรือแม้แต่กลิ่น คิดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด เขายังจำได้ดีเพราะมันกลิ่นไออันหอมกรุ่นจากเรือนกายของฟูจิน
ความคะนึงหาที่อัดแน่นสุมทรวงทำให้สุดที่จะยั้งใจไว้อีกต่อไป ซาคาโมโตะโน้มตัวลงแตะริมฝีปากจูบหน้าผากคนรักเบาๆ การกระทำนั้นเองทำให้ฟุรุคาวะได้สติ เขากะพริบตาสองสามครั้งเพื่อไล่ความมึนงงก่อนเหลือบมองไปรอบๆ
“เกิดอะไรขึ้น แล้วเจ้าหนวดปลาหมึกนั่นล่ะ” เอ่ยปากเหมือนถามตัวเองพลางกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อไล่ความมึนงง พอเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ข้างๆเท่านั้นดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลง
“ซาคาโมโตะ!!!”
ทำท่าจะลุกแต่ถูกอีกฝ่ายกดไหล่สองข้างเอาไว้ “อยู่นิ่งๆไม่งั้น” ละคำพูดไว้อย่างมีเลศนัยทำให้คนฟังต้องมุ่นคิ้วด้วยความระแวง
“ไม่งั้นนายจะทำไม ?!”