เช้าตรู่ของวันนี้ ฉันเก็บข้าวเก็บของสัมภาระทุกอย่างกองรวมกันไว้ โทรเรียกบริษัทรับขนของให้มารับเวลา 8 โมงตรง
เดินทั่วห้อง มองหาของใช้ของตัวเองทุกชิ้นแล้วหยิบพวกมันวางลงในกล่อง บ้านของเขาที่ปราศจากของของฉันมันดูโล่งพิกล
ของบางอย่างที่เขายกให้หรือฉันซื้อไว้ใช้ด้วยกัน ฉันก็ทิ้งไว้ เผื่อเขาจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้
เช้าวันนี้ฉันไม่มีน้ำตาแล้ว เพราะมันเหนื่อยและหมดแรงที่จะร้องไห้ ฉันพยายามพูดจาแบบปกติ ไม่อยากแสดงความอ่อนแอในตัว
เขาพูดจาค่อนแคะอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียอย่างนั้น แต่จริงๆในใจมันบาดลึกชะมัด
เมื่อบริษัทขนของมาถึง ช่วยกันขนกล่องของฉันไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดมาถาม คุณอายย้ายห้องหรอครับ
ฉันได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า เปล่าค่ะ พอดีของมันเยอะเลยขนบางส่วนออกไปเก็บอีกบ้านนึงเท่านั้น จริงๆไม่อยากจะโกหกหรอก แต่ฉํนสมเพชตัวเองถ้าจะพูดว่าเลิกกันแล้ว เขาไล่ให้กลับไปอยู่บ้านแล้วค่ะ เขาไม่ต้องการฉันแล้ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องบอกใคร
ระหว่างที่พนักงานช่วยแพ็กของฉันนั้น เขาไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาดู ปิดประตูอยู่ในห้องนอน
ฉันนั่งรถไปกับบริษัทขนของเพื่อกลับบ้านของฉัน บ้านที่ว่างเปล่า ขบคิดอยู่ในใจว่าเมื่อแม่กลับมาจากทำงานแล้ว ฉันจะบอกแม่ว่าอย่างไร
การอยู่คนเดียวมันน่ากลัวยิ่งนักโดยเฉพาะฉันที่อยู่กับเขาทุกวัน ทั้งวัน ตลอดเวลา ฉันนั่งเหม่อลอยอยู่เฉยๆเหมือนคนบ้า ร้องไห้แล้วหยุด
สกัดกั้นตัวเองไม่ให้ปล่อยจิตใจไปกับความเศร้า แต่สุดท้ายก็ร้องไห้อีกที
วันนี้ฉันมีนัดไปทำผมที่ซาลอน แต่ส่องกระจกดูสภาพตัวเองแล้วยังรังเกียจและสมเพชตัวเอง
ส่งข้อความไปหาพี่เป้ ช่างทำผม ว่าขอเลื่อนเป็นวันอื่น วันนี้ไม่สบาย แต่ฉันก็บอกไปอีก ขอโทษที่โกหก จริงๆฉันเลิกกับแฟน ฉันค่อนข้างสับสนตัวเองและชีวิตมากมาย ไม่รู้ว่าควรไปตามนัดที่นัดไว้หรือควรอยู่กับตัวเองสะสางชีวิต
พี่เป้ ช่างทำผมสุดแสนใจดี เป็นเหมือนพี่สาวที่เจอกันอาทิตย์ละครั้ง บอกว่ามาทำผมเถอะ จะได้เจอกัน อย่าอยู่เดียวเลย
ฉันจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบบึ่งไปที่ซาลอน พี่เป้มองหน้าก็รู้ว่าฉันไม่โอเค ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกลอก ตาบวมโตจนไม่มีชั้นตา ผมที่มัดรวบมาแบบลวกๆ
ไม่เหลือเค้าน้องสาวคนเดิมที่ชอบแต่งตัว แต่งหน้าให้สวยอยู่ตลอดเวลา
แต่ฉันก็รู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยอยู่ในซาลอน มีคนมาทำผมมากมาย พี่เป้ถามไถ่เป็นอย่างไรบ้าง โอเคมั้ย มีงานต้องทำมั้ย แล้วจะไหวหรือเปล่า
มันอาจดูเป็นประโยคถามไถ่ตามมารยาท แต่สำหรับคนคนนึงที่ทั้งจิตใจและทุกอย่างมันพัง คำพูดพวกนี้มันเหมือนเป็นน้ำมาปลอบประโลมจิตใจที่แห้งเหี่ยวของฉัน
โชคดีวันนี้เป็นวันหยุดของบอส เพื่อนเกย์ที่ทำงานแบบวันหยุดแบบไม่ปกติ เรานัดเจอกันเพื่อกินข้าวและดูหนัง
จริงๆฉันไม่ได้อยากกินอะไรหรอก ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ก็พูดไปงั้นแล้วว่ากินข้าว ทั้งๆที่ฉันก็ไม่ได้กินอะไรมากนัก
บอสก็เพิ่งผ่านมรสุมการเลิกรามาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จริงๆฉันไม่อยากคุยกับเพื่อนเรื่องพวกนี้หรอก ไม่อยากให้เพื่อนเบื่อหน่ายกับปัญหาส่วนตัวของฉันเอง
แต่พอได้คุยมันรู้สึกว่าการได้ระบายกับใครสักคน การได้รับคำปลอบใจจากเพื่อน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังมีค่า ยังมีคนที่ห่วงใยฉันอยู่
หนังที่เราดูเป็นแอนิเมชั่นสนุกสนาน แต่ทำไมฉันจึงกลับไปคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา เจ้าสมองไม่รักดี
มีหลายๆคำที่บอสบอกฉัน มันฟังดูธรรมดาทั่วไปแต่มันก็จริงอย่างที่เพื่อนพูด 'มันต้องใช้เวลา' 'เวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาได้' 'แต่พอผ่านมาแล้วมันก็ดีขึ้น'
ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าปัญหาแค่นี้ไม่ทำให้ถึงตายหรอก แต่ทำไมตอนนี้มันเจ็บเจียนตายขนาดนี้นะ ไม่เข้าใจเลย
บอสเองก็เคยเศร้า เพื่อนคนอื่นๆเองก็เคยเศร้า คนอื่นๆบนโลกก็ฝ่านปัญหาแบบนี้มาทั้งนั้น เขาก็ผ่านกันมาได้
แล้วทำไมฉันจะผ่านไม่ได้ล่ะ ฉันก็เป็นคนคนนึงนะ
แต่เพื่อนก็ปลอบใจว่า เดี๋ยวเขาก็มาง้อ เขารัก เดี๋ยวเขาก็อยากให้ไปอยู่ด้วย
แต่ถ้าเขาอยากให้ฉันกลับไป...ฉันก็คงพร้อมที่จะกลับไปโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย
สามทุ่มกว่า กลับมาถึงบ้าน แม่กลับมาจากทำงานแล้ว แค่มองหน้าแม่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมดปัญหาเรื่องที่จะบอกแม่ยังไง ไม่ต้องบอกหรอก เขารู้
เขาเห็นบรรดากล่องใส่ของในห้องนอน เขาก็รู้
เวลาที่แม่ถามไถ่ ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างมาก ฉันไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้เรื่องไร้สาระพวกนี้
แม่ถามว่าจะเอายังไงต่อ แค่ทะเลาะกันหรือเลิกกัน แต่แม่จ๋า เขาบอกเลิกหนูแล้ว เขาไล่หนูออกมา หนูรู้สึกเหมือนหนูไม่ใช่คน ไม่มีค่าอะไรเลย
แม่บอกว่าไม่เป็นไร ก็มาอยู่กับแม่ มาอยู่บ้านเรานี่แหละ ตั้งทำงานอยู่กับแม่ก็ได้
ที่ผ่านมาฉันตั้งใจทำงานหาเงิน โอนเงินให้แม่เยอะๆ ซื้อของฝากไปให้แม่ อยากให้แม่รู้สึกว่าฉันสบายดี ฉันโตแล้ว ฉันแข็งแกร่งและดูแลตัวเองได้ อยากให้แม่หายห่วง
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย แม่แค่อยากให้ฉันมีความสุขเท่านั้นแหละ
ฉันไปอาบน้ำหลังจากที่ไม่ได้อาบกว่า 2 วัน นั่งนึกถึงชีวิตฉันว่าต่อไปจะต้องเป็นอย่างไร ฉันควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร
นึกถึงบรรดางานที่จำเป็นต้องทำ โอ้โห มีงานเยอะมากที่ฉันควรจะเริ่มทำแต่ยังไม่ได้เริ่ม ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมชีวิตให้เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้ได้
ฉันพยายามเริ่มทำงานที่ค้างคาไว้ หวังจะสะสางภาระให้เสร็จสิ้น ถึงแม้ชีวิตส่วนตัวจะพัง แต่หน้าที่การงานมันต้องไม่พัง
ไม่จริงหรอก...มันพังไปหมดนั่นแหละ สมองเจ้ากรรมไม่เคยทำสิ่งที่ควรทำ จิตใจและสมองสามัคคีกันเลื่อนลอย เหม่อมอง คิดถึงเขาอยู่ตลอด
ถ้าเขาไปคุยกับคนอื่นล่ะ ถ้าเขามีคนใหม่ไปแล้วจะทำยังไง ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ
เขาเสียใจมั้ยที่ไม่มีฉันแล้ว เขาอาจจะไม่เสียใจเลยก็ได้นะ หรือเขาอาจจะเสียใจมาก
ถ้าเขากลับมาฉันจะกลับไปมั้ย แต่ฉํนรักเขามากเลยนะ กลับไปแน่นอนสินะ
แต่เขาบล็อกเบอร์ แต่ทุกอย่างของฉันไปแล้ว หมดทางติดต่อ มีแต่ทางอีเมล แต่ฉันก็จะสมเพชตัวเองถ้าจะเมลไปร่ายยาวหาเขา
จะไปหาก็ไม่ได้ ไม่มีคีย์การ์ดคอนโดเขาแล้ว แต่แย่จัง ยังมีพัสดุอีกกองใหญ่ๆที่อยู่ที่นิติบุคคลของคอนโดเขา ฉันคงต้องแอบย่องเข้าไปบอกยามให้ไปเอาพัสดุมาให้หน่อย
นั่งเหม่อลอยอยู่เป็นชั่วโมงจนนึกได้ว่างานที่ตั้งใจจะทำมันไม่ได้เดินหน้าเลยสักนิด รู้สึกผิดหวังในตัวเอง
ฉันคนเดิมที่เคยบ้างาน ไม่เคยเลทงาน ตรงต่อเวลาและมีระเบียบวินัยมันหายไปไหนนะ
ฉันพังถึงขนาดเสียความเป็นตัวเองไปเลยหรอเนี่ย
ร่างกายและสมองเหนื่อยล้าเกินกว่าจะคิดและทำอะไรต่อได้ ปิดแล็บท็อปแล้วเอนกายลงเตรียมตัวนอน
คิดในใจ นอนบ้างก็ดี จะได้ลืมๆไปชั่วขณะ
ผิดมหันต์ ฉันตื่นทุกชั่วโมง กดดูโทรศัพท์มาว่าข้อความจากเขาบ้างมั้ย ร้องไห้น้ำตาไหลเหมือนคนบ้า ผล็อยหลับไป แล้วก็ตื่นทุกชั่วโมงแบบนี้วนไปเรื่อยๆ
ความเศร้ามันน่ากลัวชะมัด ขนาดจะนอนยังคอยหลอกหลอนทำให้นอนไม่ได้ นอนหลับแล้วยังฝันร้ายสะดุ้งตื่นตลอด
จะทรมานกันไปถึงไหนนะ...
วันที่ 1 ของการเลิกรา - ชีวิตฉันคืออะไร
เดินทั่วห้อง มองหาของใช้ของตัวเองทุกชิ้นแล้วหยิบพวกมันวางลงในกล่อง บ้านของเขาที่ปราศจากของของฉันมันดูโล่งพิกล
ของบางอย่างที่เขายกให้หรือฉันซื้อไว้ใช้ด้วยกัน ฉันก็ทิ้งไว้ เผื่อเขาจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้
เช้าวันนี้ฉันไม่มีน้ำตาแล้ว เพราะมันเหนื่อยและหมดแรงที่จะร้องไห้ ฉันพยายามพูดจาแบบปกติ ไม่อยากแสดงความอ่อนแอในตัว
เขาพูดจาค่อนแคะอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียอย่างนั้น แต่จริงๆในใจมันบาดลึกชะมัด
เมื่อบริษัทขนของมาถึง ช่วยกันขนกล่องของฉันไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดมาถาม คุณอายย้ายห้องหรอครับ
ฉันได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า เปล่าค่ะ พอดีของมันเยอะเลยขนบางส่วนออกไปเก็บอีกบ้านนึงเท่านั้น จริงๆไม่อยากจะโกหกหรอก แต่ฉํนสมเพชตัวเองถ้าจะพูดว่าเลิกกันแล้ว เขาไล่ให้กลับไปอยู่บ้านแล้วค่ะ เขาไม่ต้องการฉันแล้ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องบอกใคร
ระหว่างที่พนักงานช่วยแพ็กของฉันนั้น เขาไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาดู ปิดประตูอยู่ในห้องนอน
ฉันนั่งรถไปกับบริษัทขนของเพื่อกลับบ้านของฉัน บ้านที่ว่างเปล่า ขบคิดอยู่ในใจว่าเมื่อแม่กลับมาจากทำงานแล้ว ฉันจะบอกแม่ว่าอย่างไร
การอยู่คนเดียวมันน่ากลัวยิ่งนักโดยเฉพาะฉันที่อยู่กับเขาทุกวัน ทั้งวัน ตลอดเวลา ฉันนั่งเหม่อลอยอยู่เฉยๆเหมือนคนบ้า ร้องไห้แล้วหยุด
สกัดกั้นตัวเองไม่ให้ปล่อยจิตใจไปกับความเศร้า แต่สุดท้ายก็ร้องไห้อีกที
วันนี้ฉันมีนัดไปทำผมที่ซาลอน แต่ส่องกระจกดูสภาพตัวเองแล้วยังรังเกียจและสมเพชตัวเอง
ส่งข้อความไปหาพี่เป้ ช่างทำผม ว่าขอเลื่อนเป็นวันอื่น วันนี้ไม่สบาย แต่ฉันก็บอกไปอีก ขอโทษที่โกหก จริงๆฉันเลิกกับแฟน ฉันค่อนข้างสับสนตัวเองและชีวิตมากมาย ไม่รู้ว่าควรไปตามนัดที่นัดไว้หรือควรอยู่กับตัวเองสะสางชีวิต
พี่เป้ ช่างทำผมสุดแสนใจดี เป็นเหมือนพี่สาวที่เจอกันอาทิตย์ละครั้ง บอกว่ามาทำผมเถอะ จะได้เจอกัน อย่าอยู่เดียวเลย
ฉันจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบบึ่งไปที่ซาลอน พี่เป้มองหน้าก็รู้ว่าฉันไม่โอเค ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกลอก ตาบวมโตจนไม่มีชั้นตา ผมที่มัดรวบมาแบบลวกๆ
ไม่เหลือเค้าน้องสาวคนเดิมที่ชอบแต่งตัว แต่งหน้าให้สวยอยู่ตลอดเวลา
แต่ฉันก็รู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยอยู่ในซาลอน มีคนมาทำผมมากมาย พี่เป้ถามไถ่เป็นอย่างไรบ้าง โอเคมั้ย มีงานต้องทำมั้ย แล้วจะไหวหรือเปล่า
มันอาจดูเป็นประโยคถามไถ่ตามมารยาท แต่สำหรับคนคนนึงที่ทั้งจิตใจและทุกอย่างมันพัง คำพูดพวกนี้มันเหมือนเป็นน้ำมาปลอบประโลมจิตใจที่แห้งเหี่ยวของฉัน
โชคดีวันนี้เป็นวันหยุดของบอส เพื่อนเกย์ที่ทำงานแบบวันหยุดแบบไม่ปกติ เรานัดเจอกันเพื่อกินข้าวและดูหนัง
จริงๆฉันไม่ได้อยากกินอะไรหรอก ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ก็พูดไปงั้นแล้วว่ากินข้าว ทั้งๆที่ฉันก็ไม่ได้กินอะไรมากนัก
บอสก็เพิ่งผ่านมรสุมการเลิกรามาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จริงๆฉันไม่อยากคุยกับเพื่อนเรื่องพวกนี้หรอก ไม่อยากให้เพื่อนเบื่อหน่ายกับปัญหาส่วนตัวของฉันเอง
แต่พอได้คุยมันรู้สึกว่าการได้ระบายกับใครสักคน การได้รับคำปลอบใจจากเพื่อน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังมีค่า ยังมีคนที่ห่วงใยฉันอยู่
หนังที่เราดูเป็นแอนิเมชั่นสนุกสนาน แต่ทำไมฉันจึงกลับไปคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา เจ้าสมองไม่รักดี
มีหลายๆคำที่บอสบอกฉัน มันฟังดูธรรมดาทั่วไปแต่มันก็จริงอย่างที่เพื่อนพูด 'มันต้องใช้เวลา' 'เวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาได้' 'แต่พอผ่านมาแล้วมันก็ดีขึ้น'
ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าปัญหาแค่นี้ไม่ทำให้ถึงตายหรอก แต่ทำไมตอนนี้มันเจ็บเจียนตายขนาดนี้นะ ไม่เข้าใจเลย
บอสเองก็เคยเศร้า เพื่อนคนอื่นๆเองก็เคยเศร้า คนอื่นๆบนโลกก็ฝ่านปัญหาแบบนี้มาทั้งนั้น เขาก็ผ่านกันมาได้
แล้วทำไมฉันจะผ่านไม่ได้ล่ะ ฉันก็เป็นคนคนนึงนะ
แต่เพื่อนก็ปลอบใจว่า เดี๋ยวเขาก็มาง้อ เขารัก เดี๋ยวเขาก็อยากให้ไปอยู่ด้วย
แต่ถ้าเขาอยากให้ฉันกลับไป...ฉันก็คงพร้อมที่จะกลับไปโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย
สามทุ่มกว่า กลับมาถึงบ้าน แม่กลับมาจากทำงานแล้ว แค่มองหน้าแม่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมดปัญหาเรื่องที่จะบอกแม่ยังไง ไม่ต้องบอกหรอก เขารู้
เขาเห็นบรรดากล่องใส่ของในห้องนอน เขาก็รู้
เวลาที่แม่ถามไถ่ ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างมาก ฉันไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้เรื่องไร้สาระพวกนี้
แม่ถามว่าจะเอายังไงต่อ แค่ทะเลาะกันหรือเลิกกัน แต่แม่จ๋า เขาบอกเลิกหนูแล้ว เขาไล่หนูออกมา หนูรู้สึกเหมือนหนูไม่ใช่คน ไม่มีค่าอะไรเลย
แม่บอกว่าไม่เป็นไร ก็มาอยู่กับแม่ มาอยู่บ้านเรานี่แหละ ตั้งทำงานอยู่กับแม่ก็ได้
ที่ผ่านมาฉันตั้งใจทำงานหาเงิน โอนเงินให้แม่เยอะๆ ซื้อของฝากไปให้แม่ อยากให้แม่รู้สึกว่าฉันสบายดี ฉันโตแล้ว ฉันแข็งแกร่งและดูแลตัวเองได้ อยากให้แม่หายห่วง
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย แม่แค่อยากให้ฉันมีความสุขเท่านั้นแหละ
ฉันไปอาบน้ำหลังจากที่ไม่ได้อาบกว่า 2 วัน นั่งนึกถึงชีวิตฉันว่าต่อไปจะต้องเป็นอย่างไร ฉันควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร
นึกถึงบรรดางานที่จำเป็นต้องทำ โอ้โห มีงานเยอะมากที่ฉันควรจะเริ่มทำแต่ยังไม่ได้เริ่ม ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมชีวิตให้เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้ได้
ฉันพยายามเริ่มทำงานที่ค้างคาไว้ หวังจะสะสางภาระให้เสร็จสิ้น ถึงแม้ชีวิตส่วนตัวจะพัง แต่หน้าที่การงานมันต้องไม่พัง
ไม่จริงหรอก...มันพังไปหมดนั่นแหละ สมองเจ้ากรรมไม่เคยทำสิ่งที่ควรทำ จิตใจและสมองสามัคคีกันเลื่อนลอย เหม่อมอง คิดถึงเขาอยู่ตลอด
ถ้าเขาไปคุยกับคนอื่นล่ะ ถ้าเขามีคนใหม่ไปแล้วจะทำยังไง ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ
เขาเสียใจมั้ยที่ไม่มีฉันแล้ว เขาอาจจะไม่เสียใจเลยก็ได้นะ หรือเขาอาจจะเสียใจมาก
ถ้าเขากลับมาฉันจะกลับไปมั้ย แต่ฉํนรักเขามากเลยนะ กลับไปแน่นอนสินะ
แต่เขาบล็อกเบอร์ แต่ทุกอย่างของฉันไปแล้ว หมดทางติดต่อ มีแต่ทางอีเมล แต่ฉันก็จะสมเพชตัวเองถ้าจะเมลไปร่ายยาวหาเขา
จะไปหาก็ไม่ได้ ไม่มีคีย์การ์ดคอนโดเขาแล้ว แต่แย่จัง ยังมีพัสดุอีกกองใหญ่ๆที่อยู่ที่นิติบุคคลของคอนโดเขา ฉันคงต้องแอบย่องเข้าไปบอกยามให้ไปเอาพัสดุมาให้หน่อย
นั่งเหม่อลอยอยู่เป็นชั่วโมงจนนึกได้ว่างานที่ตั้งใจจะทำมันไม่ได้เดินหน้าเลยสักนิด รู้สึกผิดหวังในตัวเอง
ฉันคนเดิมที่เคยบ้างาน ไม่เคยเลทงาน ตรงต่อเวลาและมีระเบียบวินัยมันหายไปไหนนะ
ฉันพังถึงขนาดเสียความเป็นตัวเองไปเลยหรอเนี่ย
ร่างกายและสมองเหนื่อยล้าเกินกว่าจะคิดและทำอะไรต่อได้ ปิดแล็บท็อปแล้วเอนกายลงเตรียมตัวนอน
คิดในใจ นอนบ้างก็ดี จะได้ลืมๆไปชั่วขณะ
ผิดมหันต์ ฉันตื่นทุกชั่วโมง กดดูโทรศัพท์มาว่าข้อความจากเขาบ้างมั้ย ร้องไห้น้ำตาไหลเหมือนคนบ้า ผล็อยหลับไป แล้วก็ตื่นทุกชั่วโมงแบบนี้วนไปเรื่อยๆ
ความเศร้ามันน่ากลัวชะมัด ขนาดจะนอนยังคอยหลอกหลอนทำให้นอนไม่ได้ นอนหลับแล้วยังฝันร้ายสะดุ้งตื่นตลอด
จะทรมานกันไปถึงไหนนะ...