ย้อนความไปประมาณสองปีที่แล้ว.....
เราเริ่มคิดอยากจะวิ่ง .. เพราะหนังเรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน อารมณ์อยากเป็นแบบคุณสู่ขวัญในหนัง ไม่ได้อยากผัวตายนะคะ T_T
จะว่าไปชีวิตอิชั้นก็คล้ายๆสู่ขวัญในเรื่องเหมือนกันนะ .... ช่วงอารมณ์แกว่งๆ ( ฮอร์โมนเริ่มบกพร่อง สายตาเริ่มฝ้าฟาง มึนๆกับชีวิต ) โดดเดี่ยว อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว
อยากวิ่งๆแล้วต๊ะเอ๋ หนุ่มๆแบบนิชคุณแล้วสบตาฟรุ้งฟริ้งแลกไลน์กัน อยากได้กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ อยากโดนชนแว่นหล่น อยากเคี้ยวเด็ก เผื่อจะได้เสริมสร้างแคลเซี่ยมให้ป้าเป็นอมตะ........ ( เริ่ม go 2 far แว้ววว กลับมา กลับมา....อาซิ่ม )
แต่..ในความเป็นจริง มันโหดร้ายเกินจะบรรยาย...
ไม่รู้ในหนังคุณเจ๊สู่ขวัญไปวิ่งที่ไหน จำไม่ได้ละ แต่ที่ๆเราไปวิ่งเนี่ยยย ไม่เคยเจอหรือสัมผัสกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆเลย แม_ร่ง .. กลิ่นเหงื่อคุณผู้ชายแต่ละท่าน โดยเฉพาะรุ่นฝีเท้าจัดๆนี่ บับว่า อยากยืนแจกโรลออลให้

ตรงนั้นเลย กลิ่นอ่อนมาก อ่อนแรงเลย มันทำให้ speed ที่สะสมเร่งมา ง่อยลงทันที.. ( ไปว่าคนอื่น แต่หารู้ไม่ว่ากลิ่นจักกระแร้เจ้ก็ไม่ได้มาเล่นๆเลย อิ )
ส่วนเรื่องโดนชนแว่นหล่น ก็เคย เพียงแต่ไอ้ที่ชน คือ ลูกกลมๆที่ผ่านทีนผู้ชายมาแล้ว...ลูกบอลหนังที่หนุ่มๆเค้าเล่นเตะกันในสนามฟุตบอลนี่ล่ะ เคยโดนเข้าจังๆสองครั้ง แบบไม่ทันได้หลบ กำลังวิ่งๆอยู่ โดนไปกลางกบาลทีนึง โดนเข้าที่หน้าทีนึง ถ้าไปทำจมูกมานี่ ซิลิโคนคงงอกออกมาเป็นนอแน่ๆ ใครเคยโดนตีหัวลากเข้าถ้ำคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดีว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน แว่นแตกเหมือนในหนังเลย แต่ผิดตรงที่ไร้คนมาประคอง..ไร้คนเหลียวแล..น้ำตาไหลแพร่กๆเดียวดาย
เจ็บ แต่ไม่จำ...
ถ้าเรายังไม่เจอเนื้อคู่ที่สนามวิ่ง เราจะไม่หยุดวิ่งเด็ดขาด
นั่นล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นที่เราเริ่มวิ่งอย่างจริงจัง
คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ปลายทางใดซักแห่ง ... ( อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาอย่าเลียนแบบ อย่ามาแย่งเลนป้าวิ่งเด็ดขาด ป้าเตือนแล้วนะ!!!)
ดีจะตาย…. ถ้าได้วิ่งจับมือคนรักเข้าเส้นชัยด้วยกัน หอบเหนื่อยย ด้วยกัน เซลฟี่ภาพคู่กัน หน้าตาเหมือนใกล้จะตายไปพร้อมกัน มันอาจเป็นภาพสุดท้ายก่อนตายก็ได้ อย่างน้อยก็ เสร็จ finish ไปพร้อมๆกัน 5555555555555+++ ( หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ) บอกตามตรง เวลาเราไปงานวิ่ง แล้วเห็นคนมาเป็นคู่นี่เราหมั่นไส้มาก แหม..วิ่งคู่กัน ซับเหงื่อให้กัน อยากจะพุ่งเข้าแทรกกลาง แต่กลัวโดนเหยียบ
เราวิ่งมาปีกว่า โดยคิดเสมอว่า การวิ่งคือการออกกำลังกายที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย อันนี้เคยเขียนไว้จริงๆในเพจของตัวเอง การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ใช้เงินน้อยสุดแล้ว แต่ on condition ถ้า..... ถ้า........ ถ้าเราไม่เล่นอินเตอร์เนต
เปล่านา... เราไม่ได้แอนตี้ หรือมีเจตนาจะถากถางคนที่ใช้ gadget หรือมี accessory ในการเล่นกีฬาแต่อย่างใด มันจะผิดอะไร ถ้ามีกำลังซื้อ มีความสุขกับการมีอุปกรณ์ ที่เสริมสร้างพลังใจในการเดินหน้าต่อไป เหมือนห้อยพระแล้ว ผีเผออะไรก็ไม่กลัว คงอารมณ์แป่เอี่ย.. หรือจะมี เพื่อความสะดวก มีเพื่อเป็นแรงจูงใจว่า

ลงทุนไปเยอะแล้ว

ต้องได้อะไรกลับมาโด้ยว้อยยยยย... จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันเงินเค้า ตังเค้า เราไม่เผือกแน่นอน แต่สำหรับเรานี่ การซื้ออะไรแต่ละชิ้น ต้องคิดแล้วคิดอีก คิดดีๆ มันต้องไม่ใช่เพื่อความเท่ห์อย่างเดียว และต้องไม่ใช่มาจากอารมณ์หน้ามืดชั่ววูบ เราต้องคิดอุบายล่อหลอกตัวเองให้ได้ว่ามันคือสิ่งจำเป็นแล้วถึงจะซื้อ ( เอิ่ม...... เกือบจะดีแล้วเชียวววว )
เราเริ่มวิ่ง ด้วยไนกี้ sales 30% ไปลอง ละซื้อเลย เริ่มวิ่ง แบบที่คนที่ไม่เคยเล่นกีฬาชนิดใดๆวิ่ง วิ่งเหยาะแหยะ พยายามไม่หยุดเดิน จำได้ว่าครั้งแรกที่วิ่ง ใช้เวลาไป 15 นาที เพลงปลุกใจใดๆที่โหลดเก็บไว้ฟังตอนวิ่ง ไม่สามารถปลุกเจ้ได้สักเพลง ขาหนัก หัวหนัก หน้ามืด เหงื่อกัดจักแร้ คันในร่มผ้า เชื้อราขี้กลากบนหนังศรีษะ ( โทนาฟ ) หายใจไม่ออก แต่ความรู้สึกหลังวิ่งเสร็จ โอว ว ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน อดีนารีนหลั่งไหล ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลเหมือนกรึ๊บเบลโลมา ( เข้าใจไปเองท้างน้านนนน )
ถ้าไม่รู้สึกถูกจริตกับการวิ่ง รองเท้าไนกี้เราก็คงถูกเก็บกับอีเฟอร์บี้ในตู้เก็บของน่ะแหละ
พอถูกจริต เราก็เริ่มวิ่ง แทบจะทุกวัน วิ่งเสร็จ อัพลงเฟส ราวกับเป็นความภาคภูมิใจแก่วงศ์ตระกูลมาก ( วิ่ง pace 9 -10 ) ตอนนั้นไม่รู้หรอก pace คืออะไร เราถือโทรศัพท์วิ่ง แค่เพื่อจะบันทึกว่า วิ่งถึงจำนวนกิโลที่ตั้งใจแล้วเท่านั้น ไม่สนใจความเร็ว ไม่สนใจ endurance ไม่สนใจ heart rate ไม่สน speed เพราะ ไม่ได้คิดจะลงแข่งอะไรกับใคร ไม่เคยเร่ง เพราะไม่รีบ สวนสาธารณะเล็กๆ ที่รอบวิ่งหนึ่งรอบ ความยาวประมาณ .38 กิโลเมตร ทำให้การวิ่งแต่ละครั้งที่ไป ชิวม้ากมากกกก วิ่งไป.. ถ่ายรูปคู่ต้นไม้บ้าง เซลฟี่บ้าง ทักทายบรรพบุรุษบ้างเป็นช่วงๆ
มาเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการวิ่งใหม่ เพราะน้องชายนี่ล่ะ จะทำเป็นไม่รู้จักมันก็ไม่ได้ เพราะ เจอทุกเสาร์ก็โม้ตลอดประมาณไปวิ่งที่งานนี้มานะ ตอนนี้ จะวิ่ง mini แล้ว .. นี่วิ่ง เพสนี้นะ ....เจ้วิ่งเพสอะไร?..เราจะไป half แล้ว ... เออ เดือนหน้าจะไปวิ่งมาราธอนแล้วเจ้... นั่งแอบลุ้นเมื่อไหร่มันจะขาเดี้ยง และสุดท้ายมันก็เดี้ยงจริงๆ (แอบสะใจ ) ใครจะไปคิดว่า คนบางคนบ้าขนาดวิ่งจนตัวเองเข้าไปนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ ( เหอ เหอ เหอออ ) แต่ลึกๆ เรา นับถือ ในความบ้าบิ่นของมัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะวิ่งมาราธอนได้ เค้าต้องแกร่งมากๆทีเดียว
ลึกๆ เราต้องขอบคุณเจ้าน้องชาย ที่มันทำให้เราวิ่งเร็วขึ้น ทำให้กล้าที่จะลองทำอะไรที่ตัวเองไม่คิดมาก่อนว่าจะทำได้ กล้าที่จะเอาชนะสิ่งที่เคยคิดว่ามันคือขีดจำกัดของตัวเอง
ใครจะไปคิดว่า ... อิเจ้นี่ ฝันไปถึงมาราธอนแล้วตอนนี้ ทั้งๆที่ ณ วันนี้ ยังไม่เคยวิ่งถึง half marathon
แต่ 21 กิโล แรกของเรา มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆแล้ว ในอีกไม่กี่วัน !!!!!!!!
นักวิ่งหลายคน เวลาไปวิ่งตามงานวิ่งมักจะได้ pace ที่เร็วขึ้น เพราะบรรยากาสในงานวิ่งมักจะชวนให้ฮึกเหิม นักวิ่งมากหน้าหลายตาที่พากันวอร์มอัพ โชว์น่องเงาวับจะทำให้เลือดลมสูบฉีด หัวใจอยากเอาชนะพองโต..
แต่สำหรับเรา กลับไม่เป็นแบบนั้น เราวิ่งช้ากว่า speed ซ้อมทุกครั้ง งานวิ่งเดียวที่เราไปร่วมแล้ววิ่งเร็วกว่าเวลาซ้อมคือ งานวิ่งกับน้องหมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา... ไร้แรงกดดันใดๆ วิ่งไปหลบระเบิด (อุนจิ ) สับขาหลอก หัวเกือบทิ่มฟันแทะฟุตบาตหลายรอบ แต่ก็ยังได้ pace ที่ไม่ขี้เหร่เลย.
ไม่รู้นักวิ่งคนอื่นๆ เป็นไหม แต่เรานอนไม่หลับทุกครั้ง ก่อนงานวิ่ง...ครั้งนี้ ก็คงจะหนักกว่าที่เคย
เพ้อหนัก กลัวสารพัด จะปวดอึระหว่างวิ่งไหม..วิ่งๆอยู่ตะคริวกินทำไง จะพกอะไรไปด้วยดี จะขับรถหรือไปแท๊กซี่ จะเอาหม้อสุกี้ไปต้มระหว่างทางดีไหมเผื่อหิว เป็นลมไปจะมีใครช่วยป้าบ้าง เข้าเส้นชัยจะทำหน้าแบบไหนดี ฯลฯ
พอเถอะ หยุดคิดได้ละป้า
ถึงวันนั้น ค่อยๆคลานให้ถึงเส้นชัยพอ..
เวิ่นเว้อ before 21 finish line
เราเริ่มคิดอยากจะวิ่ง .. เพราะหนังเรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน อารมณ์อยากเป็นแบบคุณสู่ขวัญในหนัง ไม่ได้อยากผัวตายนะคะ T_T
จะว่าไปชีวิตอิชั้นก็คล้ายๆสู่ขวัญในเรื่องเหมือนกันนะ .... ช่วงอารมณ์แกว่งๆ ( ฮอร์โมนเริ่มบกพร่อง สายตาเริ่มฝ้าฟาง มึนๆกับชีวิต ) โดดเดี่ยว อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว
อยากวิ่งๆแล้วต๊ะเอ๋ หนุ่มๆแบบนิชคุณแล้วสบตาฟรุ้งฟริ้งแลกไลน์กัน อยากได้กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ อยากโดนชนแว่นหล่น อยากเคี้ยวเด็ก เผื่อจะได้เสริมสร้างแคลเซี่ยมให้ป้าเป็นอมตะ........ ( เริ่ม go 2 far แว้ววว กลับมา กลับมา....อาซิ่ม )
แต่..ในความเป็นจริง มันโหดร้ายเกินจะบรรยาย...
ไม่รู้ในหนังคุณเจ๊สู่ขวัญไปวิ่งที่ไหน จำไม่ได้ละ แต่ที่ๆเราไปวิ่งเนี่ยยย ไม่เคยเจอหรือสัมผัสกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆเลย แม_ร่ง .. กลิ่นเหงื่อคุณผู้ชายแต่ละท่าน โดยเฉพาะรุ่นฝีเท้าจัดๆนี่ บับว่า อยากยืนแจกโรลออลให้
ส่วนเรื่องโดนชนแว่นหล่น ก็เคย เพียงแต่ไอ้ที่ชน คือ ลูกกลมๆที่ผ่านทีนผู้ชายมาแล้ว...ลูกบอลหนังที่หนุ่มๆเค้าเล่นเตะกันในสนามฟุตบอลนี่ล่ะ เคยโดนเข้าจังๆสองครั้ง แบบไม่ทันได้หลบ กำลังวิ่งๆอยู่ โดนไปกลางกบาลทีนึง โดนเข้าที่หน้าทีนึง ถ้าไปทำจมูกมานี่ ซิลิโคนคงงอกออกมาเป็นนอแน่ๆ ใครเคยโดนตีหัวลากเข้าถ้ำคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดีว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน แว่นแตกเหมือนในหนังเลย แต่ผิดตรงที่ไร้คนมาประคอง..ไร้คนเหลียวแล..น้ำตาไหลแพร่กๆเดียวดาย
เจ็บ แต่ไม่จำ...
ถ้าเรายังไม่เจอเนื้อคู่ที่สนามวิ่ง เราจะไม่หยุดวิ่งเด็ดขาด
นั่นล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นที่เราเริ่มวิ่งอย่างจริงจัง
คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ปลายทางใดซักแห่ง ... ( อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาอย่าเลียนแบบ อย่ามาแย่งเลนป้าวิ่งเด็ดขาด ป้าเตือนแล้วนะ!!!)
ดีจะตาย…. ถ้าได้วิ่งจับมือคนรักเข้าเส้นชัยด้วยกัน หอบเหนื่อยย ด้วยกัน เซลฟี่ภาพคู่กัน หน้าตาเหมือนใกล้จะตายไปพร้อมกัน มันอาจเป็นภาพสุดท้ายก่อนตายก็ได้ อย่างน้อยก็ เสร็จ finish ไปพร้อมๆกัน 5555555555555+++ ( หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ) บอกตามตรง เวลาเราไปงานวิ่ง แล้วเห็นคนมาเป็นคู่นี่เราหมั่นไส้มาก แหม..วิ่งคู่กัน ซับเหงื่อให้กัน อยากจะพุ่งเข้าแทรกกลาง แต่กลัวโดนเหยียบ
เราวิ่งมาปีกว่า โดยคิดเสมอว่า การวิ่งคือการออกกำลังกายที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย อันนี้เคยเขียนไว้จริงๆในเพจของตัวเอง การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ใช้เงินน้อยสุดแล้ว แต่ on condition ถ้า..... ถ้า........ ถ้าเราไม่เล่นอินเตอร์เนต
เปล่านา... เราไม่ได้แอนตี้ หรือมีเจตนาจะถากถางคนที่ใช้ gadget หรือมี accessory ในการเล่นกีฬาแต่อย่างใด มันจะผิดอะไร ถ้ามีกำลังซื้อ มีความสุขกับการมีอุปกรณ์ ที่เสริมสร้างพลังใจในการเดินหน้าต่อไป เหมือนห้อยพระแล้ว ผีเผออะไรก็ไม่กลัว คงอารมณ์แป่เอี่ย.. หรือจะมี เพื่อความสะดวก มีเพื่อเป็นแรงจูงใจว่า
เราเริ่มวิ่ง ด้วยไนกี้ sales 30% ไปลอง ละซื้อเลย เริ่มวิ่ง แบบที่คนที่ไม่เคยเล่นกีฬาชนิดใดๆวิ่ง วิ่งเหยาะแหยะ พยายามไม่หยุดเดิน จำได้ว่าครั้งแรกที่วิ่ง ใช้เวลาไป 15 นาที เพลงปลุกใจใดๆที่โหลดเก็บไว้ฟังตอนวิ่ง ไม่สามารถปลุกเจ้ได้สักเพลง ขาหนัก หัวหนัก หน้ามืด เหงื่อกัดจักแร้ คันในร่มผ้า เชื้อราขี้กลากบนหนังศรีษะ ( โทนาฟ ) หายใจไม่ออก แต่ความรู้สึกหลังวิ่งเสร็จ โอว ว ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน อดีนารีนหลั่งไหล ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลเหมือนกรึ๊บเบลโลมา ( เข้าใจไปเองท้างน้านนนน )
ถ้าไม่รู้สึกถูกจริตกับการวิ่ง รองเท้าไนกี้เราก็คงถูกเก็บกับอีเฟอร์บี้ในตู้เก็บของน่ะแหละ
พอถูกจริต เราก็เริ่มวิ่ง แทบจะทุกวัน วิ่งเสร็จ อัพลงเฟส ราวกับเป็นความภาคภูมิใจแก่วงศ์ตระกูลมาก ( วิ่ง pace 9 -10 ) ตอนนั้นไม่รู้หรอก pace คืออะไร เราถือโทรศัพท์วิ่ง แค่เพื่อจะบันทึกว่า วิ่งถึงจำนวนกิโลที่ตั้งใจแล้วเท่านั้น ไม่สนใจความเร็ว ไม่สนใจ endurance ไม่สนใจ heart rate ไม่สน speed เพราะ ไม่ได้คิดจะลงแข่งอะไรกับใคร ไม่เคยเร่ง เพราะไม่รีบ สวนสาธารณะเล็กๆ ที่รอบวิ่งหนึ่งรอบ ความยาวประมาณ .38 กิโลเมตร ทำให้การวิ่งแต่ละครั้งที่ไป ชิวม้ากมากกกก วิ่งไป.. ถ่ายรูปคู่ต้นไม้บ้าง เซลฟี่บ้าง ทักทายบรรพบุรุษบ้างเป็นช่วงๆ
มาเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการวิ่งใหม่ เพราะน้องชายนี่ล่ะ จะทำเป็นไม่รู้จักมันก็ไม่ได้ เพราะ เจอทุกเสาร์ก็โม้ตลอดประมาณไปวิ่งที่งานนี้มานะ ตอนนี้ จะวิ่ง mini แล้ว .. นี่วิ่ง เพสนี้นะ ....เจ้วิ่งเพสอะไร?..เราจะไป half แล้ว ... เออ เดือนหน้าจะไปวิ่งมาราธอนแล้วเจ้... นั่งแอบลุ้นเมื่อไหร่มันจะขาเดี้ยง และสุดท้ายมันก็เดี้ยงจริงๆ (แอบสะใจ ) ใครจะไปคิดว่า คนบางคนบ้าขนาดวิ่งจนตัวเองเข้าไปนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ ( เหอ เหอ เหอออ ) แต่ลึกๆ เรา นับถือ ในความบ้าบิ่นของมัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะวิ่งมาราธอนได้ เค้าต้องแกร่งมากๆทีเดียว
ลึกๆ เราต้องขอบคุณเจ้าน้องชาย ที่มันทำให้เราวิ่งเร็วขึ้น ทำให้กล้าที่จะลองทำอะไรที่ตัวเองไม่คิดมาก่อนว่าจะทำได้ กล้าที่จะเอาชนะสิ่งที่เคยคิดว่ามันคือขีดจำกัดของตัวเอง
ใครจะไปคิดว่า ... อิเจ้นี่ ฝันไปถึงมาราธอนแล้วตอนนี้ ทั้งๆที่ ณ วันนี้ ยังไม่เคยวิ่งถึง half marathon
แต่ 21 กิโล แรกของเรา มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆแล้ว ในอีกไม่กี่วัน !!!!!!!!
นักวิ่งหลายคน เวลาไปวิ่งตามงานวิ่งมักจะได้ pace ที่เร็วขึ้น เพราะบรรยากาสในงานวิ่งมักจะชวนให้ฮึกเหิม นักวิ่งมากหน้าหลายตาที่พากันวอร์มอัพ โชว์น่องเงาวับจะทำให้เลือดลมสูบฉีด หัวใจอยากเอาชนะพองโต..
แต่สำหรับเรา กลับไม่เป็นแบบนั้น เราวิ่งช้ากว่า speed ซ้อมทุกครั้ง งานวิ่งเดียวที่เราไปร่วมแล้ววิ่งเร็วกว่าเวลาซ้อมคือ งานวิ่งกับน้องหมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา... ไร้แรงกดดันใดๆ วิ่งไปหลบระเบิด (อุนจิ ) สับขาหลอก หัวเกือบทิ่มฟันแทะฟุตบาตหลายรอบ แต่ก็ยังได้ pace ที่ไม่ขี้เหร่เลย.
ไม่รู้นักวิ่งคนอื่นๆ เป็นไหม แต่เรานอนไม่หลับทุกครั้ง ก่อนงานวิ่ง...ครั้งนี้ ก็คงจะหนักกว่าที่เคย
เพ้อหนัก กลัวสารพัด จะปวดอึระหว่างวิ่งไหม..วิ่งๆอยู่ตะคริวกินทำไง จะพกอะไรไปด้วยดี จะขับรถหรือไปแท๊กซี่ จะเอาหม้อสุกี้ไปต้มระหว่างทางดีไหมเผื่อหิว เป็นลมไปจะมีใครช่วยป้าบ้าง เข้าเส้นชัยจะทำหน้าแบบไหนดี ฯลฯ
พอเถอะ หยุดคิดได้ละป้า
ถึงวันนั้น ค่อยๆคลานให้ถึงเส้นชัยพอ..