[CR] กาลครั้งหนึ่ง...ฉันนั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปดูแสงเหนือ!!! (Final) Ep.5 ตามล่าแสงเหนือ!!!!

หลังจากที่เราเริ่มนั่งรถไฟจากหัวลำโพง (Ep.1 http://pantip.com/topic/34705697)
แล่นขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านลาว เวียดนาม จนถึงจีน  (Ep.2 http://pantip.com/topic/34707777)
แล้วนั่งรถไฟกันต่อ เข้าสู่ ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย จนถึงมอสโคว (Ep.3 http://pantip.com/topic/34710959)
จนมาถึงยุโรป ทะลุมายัง สแกนดิเนเวีย (Ep.4 http://pantip.com/topic/34722865)    
ในที่สุดก็เดินทางมาถึง บทสรุปของการเดินทางอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว แสงเหนือใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว!!!!

-------------------------------------


   รถไฟเคลื่อนที่ออกจากชานชลาตามกำหนดเวลาเป๊ะ



   เราอยู่ในตู้นอน แบบสี่เตียงต่อหนึ่งห้อง มีเพื่อนร่วมห้อง เป็นนักศึกษาชาวฮ่องกง ที่มาเรียนต่อที่สตอกโฮล์ม อีกสองคน

   เนื่องจากเป็นเวลามืดค่ำแล้ว จริงๆเพิ่งจะเกือบทุ่มนึง แต่บรรยากาศนี่เหมือนเที่ยงคืนแล้วเลย เป็นธรรมดาของประเทศทางเหนืออ่ะเนอะ เมื่อตอนถึงหน้าหนาว ดวงอาทิตย์ก็จะตกเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่มีนาฬิกานี่ก็เดาไม่ถูกเลยน่ะ ว่ามันกี่โมง

   บวกกับที่เราซัดมื้อค่ำกันมาจนอิ่ม รู้สึกเหมือนแรงดึงดูดจากเตียงมันยิ่งท่วมท้นเป็นทวีคูณ พอหัวถึงหมอนปุ๊บ ภาพก็ตัดปั๊บ ง่ายเหมือนดีดนิ้ว

   การนอนง่าย หลับง่ายนี่ ผมว่าเป็นสมบัติจำเป็นสมบัตินึง สำหรับชาวแบ็คแพ็คน่ะ เพราะเนื่องจากเราเบี้ยน้อย หอยน้อย เราก็ต้องเลือกการเดินทางแบบประหยัด ถ้าดวงดีหน่อยก็อาจจะได้แบบสะดวกสบายกว่าที่ควรจะเป็น ก็โชคดีไป แล้วยิ่งถ้าเจอเพื่อนร่วมเดินทางแบบที่ นอนกรนแล้วละก็ ชีวิตก็จะลำบากไปอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นผมก็ต้องพกสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าเอียร์ปลั๊ก ทุกครั้งที่เดินทางแบ็คแพ็ค มันสามารถเปลี่ยนเสียงกรนประหนึ่งเรือกลไฟ เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดแบบเงียบสนิทได้ภายในพริบตา แต่นั่นก็ต้องเสี่ยงกับการไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกด้วยเช่นกัน

    ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับวิวข้างทางที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ มองดูนาฬิกาเป็นเวลาจะสิบโมงกว่าแล้ว ห่า!! แต่บรรยากาศเหมือนเพิ่มหกโมงเช้า แสงแดดเพิ่งออกอ่อนๆ เหมือนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น ทำเอาร่างกายสับสนไปหมด ว่านี่มันเช้าหรือมันสายแล้วกันแน่



   ระหว่างทางรถไฟแวะจอดที่สถานีไหนบ้างก็ไม่รู้ จำไม่ได้ รู้แต่ว่าเราต้องลงที่สถานีคิรูน่า (Kiruna) ซึ่งเป็นสถานีต่อไปนี่แหละ เพื่อเปลี่ยนขบวนรถไฟ ไปยังสถานี Abisko Turiststation



   คนส่วนใหญ่ที่นั่งมาจากสตอกโฮล์มรวมทั้งรูมเมทของเรา ลงที่สถานีคิรูน่ากันหมด เหลือนักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่ชีวิต ที่เหลืออยู่ที่ชานชลา เพื่อรอขึ้นรถไฟต่อไป




   จริงๆมันก็คือรถไฟขบวนเดิมอ่ะแหละ ที่จะวิ่งต่อไปยัง Narvik เพียงแต่เขาจะเอาตู้นอนที่ลากมาจากสตอกโฮล์มออก แล้วใส่ตู้นั่งไปแทนเพียงสองสามตู้



   เราลงไปยืดเส้นยืดสาย ถ่ายรูปเก้ๆกังๆอยู่ที่ชานชลาซักพัก เจ้าหน้าที่สถานีก็โบกไม้โบกมือ ส่งสัญญาณว่าให้รีบมาขึ้นรถไฟกันได้แล้ว เราก็ขึ้นไปจับจองที่นั่ง เลือกคันหน้าสุดเลย ปรากฎว่า โล่ง! คันนี้ทั้งคัน มีเรานั่งกันอยู่สองคน เชีย! ยังไงเนี่ยะ ใช่ป่ะเนี่ยะ ไม่ใช่ว่าจะลากรถไฟเข้าอู่น่ะเว้ย เมื่อเราเห็นพนักงานเดินผ่านมาพอดี ก็รีบชี้ตั๋วให้ดูว่าเราจะไปสถานีนี้น่ะ เขาก็บอกโอเคๆ ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย



   เราใช้เวลาเดินทางต่อไปอีกเกือบๆสองชั่วโมง เจ้าหน้าก็มาบอกว่าสถานีหน้าน่ะยูววววว เราก็โอเคๆ แต๊งกิ้วเวรี่มัช แล้วรถไฟก็จอดสนิท

   เราสองคนยืนหว่าเว้ กันสองคนที่สถานีรถไฟ Abisko Turiststation ภาพที่คิดไว้ตอนแรกเนี่ยะ มันน่าจะเป็นสถานีที่ดูเป็นเรื่องเป็นราว กว่าการที่มันจะมาเป็นเหมือนเพิงรถบขส.ริมทางหลวงแบบนี้ ชื่อก็อุส่าเป็น ทัวร์ริสเตชั่น ก็มโนไปว่าน่าจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวน่ะ นี่แม่ม ไม่มีใครเลย แม้แต่ที่สถานีก็ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตให้เห็นซักตัวเลย



   ยังไงดีว่ะ? เข้าไปดูแผนที่ก่อนแล้วกัน เพราะจำได้ว่าที่พักมันอยู่ไม่ไกลจากสถานีนี่หว่า แล้วก็พบว่า อ๋อออออ มันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีนี่เอง เพียงแต่มันมีทางรถไฟ และถนนกั้นเราไว้อยู่ เราต้องเดินลอดใต้สะพานเพื่อไปยังอีกฝั่งนึง ก็จะเจอกับที่พักของเรา



   เดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ เราก็เจอกับที่พักของเราได้อย่างไม่ยากเย็น เราก็เข้าไปทำการเช็คอินเสร็จสรรพ ได้กุญแจห้องเป็นที่เรียนร้อยแล้ว ก็เอาข้าวของไปเก็บ อาบน้ำอาบท่าซักนิดแล้วก็…นอน

   “เมิงจะนอนห่าไรกันทั้งวัน” คิดอย่างนี้อยู่ล่ะสิ หึหึ คือมันไม่มีอะไรให้ทำไง อยู่ท่ามกลางป่าเขาซ่ะขนาดนี้ แล้วดวงอาทิตย์ที่เมิงเห็นอยู่หลัดๆ แม่มก็กำลังจะตกแระ พอตกแล้วมันก็มืด พอมืดแล้วมันก็ไม่มีไฟถนน พอไม่มีไฟถนนเมิงก็ไปไหนไม่ได้ พอไปไหนไม่ได้ก็…นอน

   แล้วประเด็นสำคัญเลยคือ คืนนี้เราจะออกตามล่าแสงเหนือ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาทั้งคืน งั้นก็นอนเก็บแรงก่อนดีกว่า คืนนี้จะได้มีกำลังวังชาเนอะ

   ที่ๆเราจะไปดูแสงเหนือกันนั้นจะอยู่บนเขานู้น จะมีกระต็อบเล็กๆ อยู่ข้างบน ซึ่งจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป ซึ่งทั้งหมดนี้เราได้จองล่วงหน้าผ่านเวปของที่นี่แล้ว โดนค่าเสียหายไปประมาณคนละสามพันบาท



   หลับไปได้ซักพักใหญ่ๆ ก็ตื่นเนื่องจากเสียงนาฬิกาปลุก เราตั้งปลุกไว้ เพราะเราจะต้องออกจากที่นี่ ไปขึ้นกระเช้าตอนสองทุ่ม แต่งองค์ทรงเครื่องกันแบบจัดเต็มที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา เพราะอากาศข้างบนภูเขาหิมะตอนดึกดื่นนี่มันคงไม่ปราณีชาวประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรอย่างเราๆเป็นแน่แท้ เอาล่ะ เสื้อพร้อม รองเท้าพร้อม ถุงมือพร้อม กล้องพร้อม ขาตั้งกล้องพร้อม แต่ท้องไม่พร้อม!!

   “ห่า!! พวกเมิงยังไม่ได้กินข้าวกันเลย” ท้องร้องส่งเสียงมาแบบนั้น เออนั้นสิ มัวแต่จะนอนอยู่ได้ เป็นไงหล่ะ หิวดิ กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะเว้ย ป่ะ เดี๋ยวไปถามพนักงานรีเซพชั่นดูว่าแถวนี้มีไรกินมั่ง เพราะดูนาฬิกาแล้วเรายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ

   “แถวนี้ไม่มีร้านอาหารหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เธอหรอกน่ะ ถ้าจะมีก็นู้นเลย ในเมือง เดินจากนี้ไปประมาณครึ่งชั่งโมง” พนักงานสาวดับความหวังมื้อค่ำของเราอย่างเย็นชา พร้อมกับชี้ในแผนที่ให้ดูว่าถ้าจะเดินไปในเมืองนั้นจะต้องเดินไปทางไหน

   ซึ่งแน่นอนว่าเรา ไม่ไป เพราะนอกจากมันจะไกลแล้ว อากาศตอนนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะกับการเดินเท่าไหร่ หนำซ้ำถนนก็ไม่มีไฟอีก ครั้นจะให้เดินเปิดแฟลชจากมือถือคลำทางไปเรื่อยๆ ก็กลัวว่าจะไปโผล่อยู่ขั้วโลกเหนือ เท่านั้นยังไม่พอ นางยังบอกอีกว่า เดินๆไปถ้าโชคดีอาจจะเจอหมาป่าน่ะ หายากด้วยน่ะ เดี๋ยว!!! โชคดี!!! เมิงใช้คำว่าโชคดีหรา!!!! คือกูไม่ได้มาทริปไนท์ซาฟรีส่องสัตว์ยามค่ำคืนน่ะเห้ย กูมาดูแสงเหนือ!!!! แทนที่กูจะได้กินมื้อค่ำ ดีไม่ดีเดี๋ยวก็ได้ตกไปเป็นมื้อค่ำซ่ะเองหรอก

   เราเซย์แต๊งกิ้วแบบเจื่อนๆ แล้วบอกว่าเด๋วเราหากินที่นี่เอาก็ได้ เพราะจริงๆที่นี่มีร้านอาหารอยู่ แต่ดูทรงแล้วน่าจะแพงง่ะ เราเลยไม่เลือกตั้งแต่แรก แต่มาถึงตอนนี้แล้ว ก็เหลือออพชั่นเดียวแล้วป่ะว่ะ

   เชี่ย!! นี่ราคาอาหารต่อหนึ่งคนหรือต่อหนึ่งครอบครัวว่ะเนี่ย! แม่ม ราคานี้เมิงซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพเชียงใหม่ ไปกินข้าวซอยได้สบายๆ คือเดินเข้าไปอย่างราชา แต่พอเจอราคา เดินกลับออกมาอย่างกับยาจก บ๊าย!

   เชี่ยแล้วง่ะ กินไรดีล่ะทีนี้ นี่ถ้าพกน้ำแดงมาซักขวดนี่ว่าจะไปโกยๆหิมะแถวนี้ มาทำน้ำแข็งใสกินแล้วน่ะ

   แต่ความหวังของเราก็ยังไม่ดับ ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ มีตู้ขายน้ำขายนมอยู่ เอาว่ะ จัดนม จัดน้ำผลไม้ ซักขวดสองขวดรองท้องไปก่อนก็ได้ว่ะ เราเลยรีบพุ่งไปในร้านทันใด แล้วเราก็เจอขุมทรัพย์… มาม่า!!!!! เชี่ย! มีมาม่าขายในร้านขายของที่ระลึก พีค!!! (มาม่า=บะหมีกึ่งสำเร็จรูป ไม่ใช่ มาม่าจากเมืองไทยน่ะ) ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรก เราเลยจัดกันไปคนละสองสามห่อ คละรสชาด กันไป

   เรากลับไปยังตึกที่พัก เข้าครัวต้มมาม่าอย่างเร็ว รอดตายแล้วโว้ยยยยย รู้สึกดีใจมากที่ไม่ตัดสินใจกินข้าวที่ร้านอาหารนั้นไปซ่ะก่อน ค่าอาหารนี่คงซื้อมาม่าแจกคนที่นี่ทั้งตึก

   หลังจากซู้ดมาม่ากันอย่างไว ตอนนี้ เราก็พร้อมทั้งกำลังกายและกำลังใจ ในการออกตามล่าแสงเหนือแล้ว ขอให้โชคเข้าข้างเราด้วยเถิด เพี้ยง!!!!

ชื่อสินค้า:   แสงเหนือ, Aurora Borealis, Northern Light
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่