เที่ยวญี่ปุ่นคันไซ ฉบับแม่ลูก: ซากุระสะพรั่ง สวยฟิน!🌸โอซาก้า เกียวโต-อาราชิยามา



ทริปญี่ปุ่นเมื่อเดือนเมษา ช่วงซากุระบาน 🌸🌸ที่เกียวโต โอซาก้า 6-13 เมษายน 2568  เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เราไม่ได้แพลนทริปล่วงหน้ากันเลยและยังไปผจญภัยกันแค่ 2 คน แม่ลูก สิ่งที่เรากังวลมากๆเลย คือ ไม่อยากเป็นแม่-ลูก “เดอะแบก”  โดยเฉพาะแบกหรือลากกระเป๋า ในตอนขึ้น-ลงรถไฟ หรือขึ้นบันไดเลื่อนตามสถานีต่างๆ 5555 (เหงาๆคือทริปนี้ ไม่มีใครว่างมาด้วยเลยค่ะ)  ขณะที่วัตถุประสงค์ของทริปนี้คือ เราต้องการเดินทางแบบประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ถึงอย่างนั้น ก็ต้องการความสะดวกและคล่องตัวที่สุดด้วยเช่นกัน 


 เมื่อต้องเริ่มทริปเกียวโต โอซาก้า และรู้จุดหมายที่อยากจะไปแล้ว ต่อมาก็คือวางแผนเส้นทาง เลือก Pass ให้คุ้มที่สุด! โดยในทริปนี้  การเดินทางส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคคันไซ    เราเลือกใช้ บัตรเติมเงิน ICOCA เป็นหลัก ใช้ง่ายและสะดวกมาก เหมือนบัตรที่แตะเข้า–ออกสถานีบ้านเรา ในการขึ้นรถโดยสารต่างๆทั้งรถบัสและรถไฟในคันไซ  แล้วก็ยังใช้ ซื้อ ขนม เครื่องดื่ม และอื่นๆ ใน 7-Eleven, FamilyMart, Lawson, หรือตู้อัตโนมัติ  ได้ด้วย (อ้อ แอบบอกนิดนึงว่า...เติมเงินบัตร ICOCA ขั้นต่ำ 2000 เยน  มีค่ามัดจำบัตร 500 เยน ต้องใช้เงินสดเติมในบัตรนะ (สามารถแวะเติมได้ตามตู้อัตโนมัติที่สถานีรถไฟ หรือ ร้านสะดวกซื้อค่ะ)    ส่วนถ้าใช้ไม่หมด ไม่สามารถถอนได้นะคะ แต่บัตรมีอายุ 10 ปี  แค่เก็บไว้ให้ดี อย่าทำหายก็พอ ครั้งหน้ากลับมาก็ใช้ได้อีก
บัตร ICOCA ที่เราได้มาเป็น รุ่น Limited Edition  ASTRO BOY  กับ Hello Kitty ซากุระ  🌸🌸 น่ารักมาก จัดกันมาคนละใบ (ซึ่งรุ่นนี้ ต้องไปซื้อที่ Counter ของนายสถานีเท่านั้นนะคะ-ไม่มีจำหน่ายจากตู้ขายบัตรอัตโนมัติ) 
และเราซื้อบัตร 3 Day Pass Kansai Railway เอาไว้ด้วย คนละ 1 ใบ  ราคาคนละ 7000 เยน  ใช้สำหรับเดินทางระหว่างเมืองในคันไซ
เช่น เกียวโต–โอซาก้า หรือไปนารา โกเบ อะไรพวกนี้ คุ้มมากสำหรับใครที่วางแผนจะไปหลายเมืองติดกัน  (ทริปเราคือ เริ่มจากออกนอกเมืองไป Kyoto ก่อน 3 วันแรกพอดี  แล้วค่อยกลับมาตะลุยเที่ยวโอซาก้าก่อนกลับฺ BKK)

และเราซื้อบัตร 3 Day Pass Kansai Railway เอาไว้ด้วย คนละ 1 ใบ ราคาคนละ 7000 เยน ใช้สำหรับเดินทางระหว่างเมืองในคันไซเช่น เกียวโต–โอซาก้า หรือไปนารา โกเบ อะไรพวกนี้ คุ้มมากสำหรับใครที่วางแผนจะไปหลายเมืองติดกัน  (ทริปเราคือ เริ่มจากออกนอกเมืองไป Kyotoก่อน แล้วค่อยกลับมาตะลุยเที่ยวโอซาก้าก่อนกลับฺBKK)

สำหรับเราสั่งซื้อล่วงหน้าไปทางแอป KLOOK  แต่สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Link นี้นะคะ https://www.surutto.com/kansai_rw/en/krp.html   
พอไปถึงสนามบินนานาชาติคันไซ ก็แวะไปรับตั๋วที่ KANSAI TOURIST INFORMATION CENTER อยู่ตรงชั้น 1 Terminal 1 เคาน์เตอร์เปิด ตั้งแต่
9.00 -19.00 น.
หลังจากไปรับตั๋วสำคัญในการเดินทางท่องเที่ยวของเรา 2 แม่ลูก ครบแล้ว  เราก็นั่งรถไฟ สาย Hello Kitty   ออกจากสนามบินคันไซ มุ่งหน้าไปเกียวโต ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของทริปนี้เลยค่ะ     เอาจริงๆ เราตื่นเต้นมากที่จะได้นั่งรถไฟลาย Kitty แบบนี้ เพราะมันน่ารัก สุด ๆ และก็เป็นครั้งแรกของเราที่ได้นั่งบนรถไฟแบบนี้ด้วย!    ส่วนลูกเราก็เหนื่อยจากการเดินทาง นั่งปุ๊บก็หลับปั๊บ
ส่วนแม่อย่างเราก็ไม่อยู่นิ่ง เดินสำรวจทั่วขบวน แม้แต่ห้องน้ำก็ไม่เว้น  ขอแซะรูปไว้สักหน่อย 555วิวระหว่างทางก็สวยมาก จนถ่ายรูปเพลินเลยค่ะในส่วนของตั๋วรถไฟ HARUKA  เส้นทาง OSAKA -KYOTO  เราซื้อล่วงหน้าผ่านแอป  KLOOK   และทำการลงทะเบียนเพื่อรับตั๋วดิจิทัลบนมือในการใช้สแกนเข้าไปในชานชาลาได้เลย ไม่ต้องต่อแถวยาวๆ ให้เสียเวลา  ลงเครื่องแล้วก็ไปขึ้นสถานีรถไฟที่สนามบินคันไซคือ สถานี Kansai Airport  ซึ่งให้บริการทั้ง JR และ Nankai Railway ค่ะ
                                                               แนบตัวอย่างตั๋วบนมือถือเพื่อจะใช้เข้าชานชาลา Hello Kitty

🧳➡️ เริ่มต้นทริปจาก OSAKA เข้า KYOTO  เรามีกระเป๋าใหญ่คนละใบกับลูกสาว & เป้สะพายหลังคนละใบ & กระเป๋าจิงโจ้ด้านหน้า (พูดง่าย ๆ คือ แบกของกันเต็มตัวมากค่ะ ) บนขบวน JR HARUKA มีที่วางกระเป๋าเดินทางให้ด้วย โชคดีที่ว่าคนโดยสารบนรถไม่เยอะเท่าไหร่ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อยมีที่วางกระเป๋าของเราขนาด 28 นิ้ว ใบใหญ่เอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ แล้วพอเดินทางถึงสถานีเกียวโต ที่ต้องเดินทางไปสถานีย่อยๆ ก่อนถึง โรงแรมนี่สิ...........
(แค่คิดก็อยากจะกรี๊ดออกมาเลยค่ะ)
ถึงแล้วจ้าเกียวโต …….นั่งรถไฟสายด่วนขบวน Hello Kitty จากสนามบินคันไซมาถึงสถานีเกียวโตแป๊บเดียวเอง (ค่าตั๋ว 2 คน 800 บาท คนละ1800 yen )   แต่ระหว่างเดินทาง ขึ้น-ลง ตามสถานีรถไฟย่อยๆ เพื่อไปโรงแรม  ก็พยายามมองหาลิฟต์ในสถานีรถไฟ (เจอลิฟต์น้อย -ลิฟหลบมุมอยู่บ้างอะไรบ้าง มองไม่เห็น)  บันไดเลื่อนในสถานีก็มี (แต่แคบ) ทำให้เดินทางไม่ค่อยสะดวก  /// ลูกสาวบ่น คิดถึงพ่อสาย support จุงเบย (😂โอ๊ย แม่ก็คิดถึงเหมือนกันลูก 55555
😢)
พอไปถึง โรงแรม ก็ได้เวลา Check in -15.00 น พอดี เราก็เอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมก่อนค่ะ
ถึงห้องพัก... เล็กมากกกกค่ะ!! ถึงขั้นเอากระเป๋าเข้าไปวางแล้วเหลือทางเดินประมาณครึ่งแผ่นกระเบื้อง (ดูจากรูปฉันไม่ได้พูดเกินจริงเลย)  แทบจะไม่มีที่ให้เดิน555
ตอนแรกตั้งใจจะ Walk-in ไปหาอะไรกินในร้านอาหารกันเลย แต่พอเห็นกองกระเป๋าที่วางขวางทางเดินแล้ว... แม่ถึงกับถอนหายใจหนักมาก เหมือนแบกบ้านทั้งหลังมาด้วยยังไงยังงั้น 5555
ส่วนลูกก็หิวจนแทบจะเคี้ยวอากาศได้อยู่แล้ว เลยเปลี่ยนแผน! แวะซื้อของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นไปกินในห้องก่อน จะได้พัก เก็บกระเป๋า และเติมพลังไปพร้อมกัน เพื่อเตรียมผจญภัยต่อ
เติมอาหารในท้องพอควรแล้วก็… 🚊 🚉 ได้เดินทางไปกับ Hankyu Train (Hankyu -Kyoto Line) ไปชมซากุระที่ Arashiyama Park  บรรยากาศดีสุดๆ เลยค่ะ ตอนนั้น (7 เมย 68) ดอกซากุระ full bloom 🌸🌸บานเต็มทั่วเลยค่ะ โชคดีมาก ระหว่างเดินชมวิวหันไปทางไหนก็เจอแต่สีชมพู สลับสีขาวฟูๆ สวยละมุนมากประทับใจไม่รู้ลืมเลยค่ะ ว่าแล้วก็ขอแชะภาพกันซักหน่อย เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเรามาไม่ถึงญี่ปุ่น 


แวะร้านขนมหวานน่ารักกันหน่อยค่ะ  ร้าน そらつき (Soratsuki) แหล่งสวรรค์ของคนรักสตรอว์เบอร์รี่! ✨🍓
ระหว่างที่เดินเล่นในสวนสาธารณะอาราชิยาม่าที่เต็มไปด้วยซากุระ จู่ๆ ก็สะดุดตากับ Kiosk ร้านขนมเล็กๆ ที่ตกแต่งแบบน่ารักเวอร์  ตั้งอยู่ในไม่ไกลจากทางเข้า สีแดงสดใสเต็มไปด้วยสตรอว์เบอร์รี่สดๆ น่ากินมากค่ะ  นี่แหละค่ะ ร้านขนมหวานในฝันของสายหวานที่แท้จริง จะไม่แวะได้ไงไหว
เราลองชิมแล้วบอกเลยว่า หวานชื่นฉ่ำ สดชื่น และละมุนมากๆค่ะ เหมาะกับการพักเบรกเติมน้ำตาล ระหว่างเที่ยวสุดๆ  รับรองว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องติดใจแน่นอน 🍓💖

เพลินกับความงามของซากุระ 🌸ก็ถึงเวลาเดินทางต่อแล้วค่ะ
ขึ้นรถไฟ 🚊ท้องถิ่นสาย Hankyu ขากลับไป โรงแรม สายตาของเราก็ดันเหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่กว่า A4 นิดหน่อยในรถไฟ มีข้อความภาษาญี่ปุ่นอยู่เต็มไปหมด สายตาไปสะดุดตาเข้ากับคำว่า “ Handsfree Luggage” สนใจมวากกกก ตรงกับชีวิตเพราะมีกระเป๋าเดินทางรุงรังพอดี จะใช้บริการได้ยังไงนะ ? ไม่อยากบ้าหอบฟาง ขึ้นรถแล้วดูเกะกะ เหมือนตอนขามาอีกแล้ว แถมเริ่ม Shopping ซื้อของใส่กระเป๋าแล้วด้วย (จะเริ่มหนักล่ะ)

มาถึงโรงแรมก็รีบตรงปรี่ไปถามFront Reception ถึงบริการ “ Handsfree Luggage” ที่ไปเจอมา ก็ได้ความว่ามันคือบริการที่เขาจะมารับกระเป๋าไปส่งให้เรา ถ้าเราจะไปเที่ยวอีกเมืองหนึ่ง ก็แค่ฝากกระเป๋าไว้ที่Lobby โรงแรมตามนัดหมาย (ก่อน 09.00 น ) แล้วเขาจะเอาไปส่งให้ถึงโรงแรมปลายทางเลย จะได้ไม่ต้องหอบกระเป๋าไปไหนมาไหนเอง

ซึ่งที่โรงแรมก็มีบริการของเขาเองนะคะ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,500 บาท แต่ถ้าเราสมัครเอง จะแค่ 500 บาท (ถูกกว่าตั้ง 1000 บาทแน่ะ) ยิ่งถ้าได้ภาษาอังกฤษอยู่แล้วด้วย ก็กรอกข้อมูลใน webได้สบายๆเลย เอาเงินไปกินซูชิได้ตั้งหลายมื้อ
เราเจอข้อมูลของ Airporter  รายละเอียด ดูจาก link นี้ค่ะ ⬇️

https://hands-free.kyoto.travel/?lang=en 

พออ่านรายละเอียดเท่านั้นแหละ บอกตัวเองในใจ นี่มันคือ บริการ ที่เราควรใช้ตั้งแต่แรกเลยนี่นา! อยากย้อนเวลากลับไปใช้ตั้งแต่ตอนลงเครื่องเลย 555 เพราะตอนนั้นคือ ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งหลง 555 แถมกระเป๋าก็ใหญ่จนอยากทิ้งไว้กลางสถานีแล้วเดินหนีไปเลยค่ะ
(ดูจากรูปสิค่ะ กระเป๋าใหญ่จนจะเท่าลูกสาวอยู่แล้ว555)
ไว้เรามาเล่าแบบละเอียดๆใน EP.2 ว่า วิธีการฝากกระเป๋า กรอกข้อมูลในระบบ มีคนรับไปส่งข้ามเมืองทำอย่างไร ทุกคนจะได้ทำตามง่ายๆ  ไปเที่ยวตัวปลิว  เผื่อจะได้ไปแวะเที่ยวได้หลายๆเมือง  EP. ต่อไปจะมาเล่าต่อ  ไม่ต้องลำบากแบกกระเป๋า  ตัวเบา เราเลือกได้ แบบ Handfree Luggage    สนใจปักหมุดไว้เล้ยย XD
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่