ช่วงวันสองวันก่อนได้มีโอกาสสนทนาทางบอร์ดกับสมาชิกท่านหนึ่ง (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามตรงๆ เพราะไม่ได้ต้องการพาดพิงถึงตัวบุคคล ต้องการนำแต่คำพูดมาวิคราะห์เท่านั้น ) ในกระทู้ที่ตั้งเกี่ยวกับการเมือง อันที่จริงชื่อหัวกระทู้ก็ออกชอบกลอยู่แล้ว คือตั้งว่า "ความถูกต้อง VS เสียงข้างมาก" และในหัวกระทู้ก็เป็นแบบนั้นคือ ให้เลือกเอาว่าหากจะร่างกฎหมาย ให้เลือกเอาอย่างเดียวระหว่าง "ความถูกต้อง หรือ เสียงข้างมาก" และมีประเด็นเรื่องอ้างไปถึง "กฎการเคลื่อนที่ของมวสาร" หรืออ้างถึง "ผู้มีวิจารณญาณ"
ซึ่งการสนทนาต้องยุติลง เนื่องจากผมตอบคำถามของจขกท.ไว้มาก แต่จขกท.บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถามสำคัญของผม และที่สำคัญ จขกท.ไปอ้างความเห็นที่ผมโพสต์ไว้แบบผิดๆซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน จึงไม่สามารถจะคุยกับคู่สนทนาเช่นนั้นได้ต่อไป
แต่เห็นว่า
คำพูดเขาส่อไปในทางที่อาจจะไม่ซื่อตรงต่อระบบประชาธิปไตย เหมือนมันแอบซ่อนอยู่ในใจคนนั้น เวลามันจะแสดงออกมานั้น มันแอบโผล่มาในการเสนอแนวคิดอย่างไร (ขอเน้นว่าจะพูดถึงคำพูดและแนวคิดเป็นหลักนะครับ ของดการพาดพิงตัวคน และในการสนทนานั้น จขกท.นั้นพยายามบ่ายเบี่ยงในการตอบคำถามสมาชิกตลอด) จึงขอเอามาวิเคราะห์อีกทีดังนี้
1.
"ความถูกต้อง VS เสียงข้างมาก"
ที่จริงหากเราพิจารณาให้ดี คนทั่วไปที่สามัญสำนึกย่อมรู้ว่า การร่างกฎหมายนั้น ทำโดยตัวแทนของประชาชน คือ สส. ผู้ซึ่งได้รับมอบอาณัติจากประชาชน มัน
เป็นแบบนี้ในทุกสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก และในการร่างกฎหมายนั้น เขาต้องใช้
หลักหลายๆอย่างประกอบกัน ไม่ใช่หลักเดียว ไม่ว่าจะ ยึด
หลักความเสมอภาค ความยุติธรรม รักษาความเป็นประชาธิปไตย หรือ
ผดุงไว้ซึ่งสันติสุขของสังคม ดังตัวอย่างในแผนภูมินี้
จะเห็นได้ว่า ทั้ง "ความถูกต้อง" หรือ "เสียงข้างมาก" ต่างก็
เป็นขั้นตอนขั้นหนึ่งที่จำเป็น ในการร่างกฎหมาย นั่นคือ สส.ทุกคนต้องคำนึงถึงความถูกต้อง (โดยยึดหลัก ยึดหลักความเสมอภาค ความยุติธรรม รักษาความเป็นประชาธิปไตย หรือ ผดุงไว้ซึ่งสันติสุขของสังคม ) มัน
จะขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงความสำคัญแล้ว “เสียงข้างมาก” จะเป็นคำที่สำคัญมากเพราะมีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า “ความถูกต้อง”
เพราะคำว่า
เสียงข้างมาก ย่อมหมายถึง "เสียงข้างมาก" ของ "ผู้ที่เห็นว่าถูกต้อง" นั่นคือคำว่าเสียงข้างมาก
มี “ความถูกต้อง” แฝงอยู่ เพราะคนที่เขาโหวต เขาก็ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง
การที่พยายามจะบังคับให้เลือกเอาระหว่าง "ความถูกต้อง หรือ เสียงข้างมาก" ก็น่าจะเป็นความไม่ซื่อตรงต่อระบบประชาธิปไตย ที่มันแอบซ่อนอยู่ ภายในใจ จึงพยายามจะถามเพื่อยุแยงให้คนทั่ว เห็นไปว่า ความถูกต้อง และ เสียงข้างมาก มันแยกกัน จะรวมกันไม่ได้ เพื่อคนเห็นว่า หากใช้ "เสียงข้างมาก" ก็จะไม่มี "ความถูกต้อง" ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงตามแผนภูมิที่แสดงไว้
2.
“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” และ “กฎหมาย”
แนวความคิดที่ไม่ซื่อต่อระบบประชาธิปไตยในกระทู้นั้น ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในแนวคิดนั้น ยังมีการลากเอา “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” ขึ้นมา ซึ่งตอนแรกสมาชิกทั้งหลายก็คงงง ว่ามันเกี่ยวอะไรกับกฎหมายถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมา
สำหรับผมแล้ว ผมบอกในกระทู้นั้นแล้วว่า หากจะใช้คำว่า มนุษย์กำหนด“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” ก็ขอให้ใช้ในลักษณะที่
กำหนดแบบหมายรู้หมายจำเท่านั้น ไม่ใช่กำหนดอย่างตามอำเภอใจมนุษย์ เช่นกำหนดวันแต่งงาน กำหนดวันเดินทาง เพราะการอ้างเรื่องนี้มาในกระทู้แบบนั้น
เสี่ยงต่อการที่คนจะเข้าใจผิดว่า การกำหนด“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” เท่าเทียมกับการกำหนด “กฎหมาย”
และเมื่ออ่านไปจนท้ายๆกระทู้ ก็จะเห็นแนวความที่น่าจะไม่ซื่อตรงต่อระบบประชาธิปไตยที่ซ่อน โผล่ออกมา นั่นคือ
สุดท้ายก็ต้องการเปรียบเทียบกลายๆว่า........ ผู้มีความรู้เท่านั้นที่จะตั้งกฎได้ ทำนองว่า
ผู้มีอำนาจก็ตั้งกฎได้ โดยไม่ต้องอาศัยตัวแทนประชาชน นั่น คือการออกกฎหมายคงต้องทำโดยผู้รู้ผู้มีวิจารณญาณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่คนที่มีสติดี ย่อมเห็นได้ว่า “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” กับ “กฎหมายของมนุษย์” นั่นมันต่างกัน เอามาเปรยบกันไม่ได้ เพราะ
“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” เกิดจาก
มนุษย์สังเกตความเป็นไปในธรรมชาติ แล้ว
พยายามเขียนความสัมพันธ์นั้น เป็นสูตรเป็นสมการเพื่ออธิบาย ความสัมพันธ์นั่นๆ ส่งต่อไปในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อให้แก่มนุษย์คนอื่นได้รับทราบ ซึ่งการทำเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่เรียนรู้อย่างสูงส่ง ขอเพียงมีใจเป็นนักวิทยาศาตร์ ก็จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ต้องอาศัยความเพียรความพยายาม
การที่อ้างว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนด “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” นั่น ก็มีความหมายแต่เพียง
มนุษย์ หมายรู้หมายจำความสัมพันธ์อันนั้นของธรรมชาติ ..............
มิได้หมายความไปถึงว่า มนุษย์กำหนดหรือเปลี่ยนแปลง“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” หรือ กฎอื่นๆของธรรมชาติได้เลย
แต่กฎหมายนั้น เกิดขึ้นจากมนุษย์ต้องการกำหนดความสัมพันธ์ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งในสังคมประชาธิปไตย จะต้องเป็นตัวแทนของประชาชนในสังคมนั่นๆเป็นคนกำหนดกฎหมาย มิใช่ปราชญ์ นักวิทยาศาตร์ ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้ หรืออ้างว่ามีวิจารณญาณ สูงส่งกว่าคนทั่วไป ซึ่งในช่วงท้ายๆกระทู้นั่น จขกท.ก็โผล่ไต๋ ที่ไม่ซ่อตรงต่อระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างถึง ผู้มีวิจาณญาณสูง ซึ่งสมาชิกก็พยายามถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าใครวิจารณญาณสูง แต่จขกท. ก็ตอบไม่ได้ คงรู้แต่ว่า ไม่ยอมให้ประชาชนหรือสส.ร่างกันเอง
อนึ่ง กฎหมายนั้น มนุษย์จะกำหนดแก้ไข เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ได้ ตามสภาพสังคม แต่ “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” หรือกฎธรรมชาติอื่นๆ มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยแปลงได้ตามอำเภอใจ เพราะกฎธรรมชาตินั่นมันคงที่เป็นสัมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างใจคน มนุษย์
ได้แต่พัฒนากฎใหม่ ๆที่อาจจะอธิบาย ธรรมชาติได้ดีกว่ากฎเดิมเท่านั้น แต่มนุษย์มิอาจเปลี่ยน “กฎธรรมชาติ” ตามใจตนอย่างกฎหมาย
[ สรุป กฏหมายมนุษย์แก้ไขปรับปรุงตั้งใหม่เมื่อไรก็ได้ กฎธรรมชาติมนุษย์แก้ไม่ได้ ]
3.
ผู้มีวิจารณญาณ กับการร่างกฎหมาย
นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จขกท.นั้น อ้างถึง ทำนองว่า ผู้มีวิจารณญาณ ย่อมร่างกฎหมายได้ดีกว่าตัวแทนของประชาชน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะ
1. การร่างกฎหมายนั้น แม้จะต้องใช้ความรู้กฎหมาย แต่ก็เป็นเพียงส่วนประกอบ เพราะมนุษย์เป็นผู้กำหนดกฎหมายโดยตรง ดังนั้น ในความเป็นจริง จะร่างกฎหมาย โดยคำนึงถึงเรื่องที่จะต้องทำ ต้งแก้ไข ต้องร่าง เนื้อหาจะเป็นอย่างไร จากนั้น จะมีคณะกรรมการที่เกียวข้อง ไปขัดเกลาให้สามารถออกมาในรูปแบบภาษากฎหมาย นักกฎหมายจึงเป็นแค่เสมียนในการออกกฎหมาย ไม่ใช่ผู้กำหนด แต่ผู้กำหนดกฎหมาย คือตัวแทนของประชาชน คือ สส.
2. กฎหมายมีเพื่อบังคับใช้กับประชาชน หากให้คนที่ไม่ผูกมัดเกี่ยวโยงโดยตรงกับประชาชนร่าง ยอมไม่ใส่ใจคำนึงถึงประโยชน์ หรือผลร้ายที่จะเกิดจากกฎหมายนั้นๆ เท่ากับคนที่ประชาชนควบคุมได้ อย่างน้อยก็ผ่านหัวคะแนน ผ่านการเลือกตั้ง อย่างน้อยก็ไม่เลือกเขาไปอีก แต่หากให้ผู้มีวิจารณญาณ หรือนักปราชญ์ร่างกฎหมาย ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะร่างให้ชนชั้นของนักปราชญ์ พวกพ้องของนักปราชญ์ ได้ประโยชน์เสียเอง และประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถเอาออกไปเสีย โดยไม่เลือกใหม่ได้
3. คนที่มีวิจารณญาณ ดี ไม่ได้มีรอยสักอยู่ที่หน้าผากบอกให้รู้ว่า คนนี้แหละคนมีวิจารณญาณดี เป็นศรีสังคม ไม่ทรยศประชาชน ไม่มีแน่ ไม่เคยเห็น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีวิจารณญาณดี เอาตำแหน่งหน้าที่การงานได้ไหม เช่น ผู้พิพากษา ปลัดกระทรวง ข้าราชการตำรวจทหาร ได้ไหม ก็ต้องถามก่อนละว่าใคร เพราะรายนามที่เอยมาทั้งหมด ก็มีคนไมดีปะปน ผู้พิพากษาที่โดนสอบวินัยก็มีเนื่องๆ ที่เป็นคนสติไม่สมประกอบไปอาละวาดในที่สาธารณะก็มีให้เห็น ปลัดกระทรวงซุกเงินไว้เป็นร้อยล้านก็มี ข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปกติมีให้เห็นมากมาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วตกลงใครกันที่เป็นผู้มีวิจารณญาณที่ดี
คำตอบคือ เรื่องนี้อ้างขึ้นเพราะใจมันไม่ตรง ไม่เคารพระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น จึงไม่ยอมรับการที่ สส.จะเป็นตัวแทนร่างกฎหมาย อย่างที่สังคมประชาธิปไตยทั่วโลกเขาทำกัน
ที่ยกมาให้เห็นนั้น เป็นเพียงตัวอย่างแนวความคิดเหล่านี้ มันแอบซ่อนอยู่ในใจผู้ใด ก็มีแต่จะทำให้คนพวกนั้น คิดอย่างไร้เหตุผล
สุดท้าย นี้ขอย้ำว่า กระทู้นี้ไม่ได้ต้องการโจมตีชื่อบุคคลใด และขอไม่ลิงค์กระทู้ เพราะไม่ได้ต้องการโจมตีบุคคลใด เพราะที่ผมรังเกียจผมไม่ได้รังเกียจตัวบุคคลตรง แต่รังเกียจแนวความคิดเช่นนี้ “ความคิดที่ไม่ซื่อตรงต่อระบอบประชาธิปไตย” แต่พยายามแยบยลเสแสร้งว่า รักระบอบประชาธิปไตย
ความคิดที่อันตราย(ไม่ใช่ตัวบุคคลนะครับ)แบบนี้ สำหรับผมเหมือนยุงลาย เจอที่ไหนผมยอมเหนื่อยเพื่อจะตบให้ตาย ไม่ให้ไปแพร่เชื้อร้าย ทำความเสียหายให้แก่สังคมประชาธิปไตยของเราครับ
۞۞ :::แนวความคิดที่มันแอบซ่อนอยู่ .... มันเป็นแบบนี้เอง ::: ۞۞
ซึ่งการสนทนาต้องยุติลง เนื่องจากผมตอบคำถามของจขกท.ไว้มาก แต่จขกท.บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถามสำคัญของผม และที่สำคัญ จขกท.ไปอ้างความเห็นที่ผมโพสต์ไว้แบบผิดๆซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน จึงไม่สามารถจะคุยกับคู่สนทนาเช่นนั้นได้ต่อไป
แต่เห็นว่าคำพูดเขาส่อไปในทางที่อาจจะไม่ซื่อตรงต่อระบบประชาธิปไตย เหมือนมันแอบซ่อนอยู่ในใจคนนั้น เวลามันจะแสดงออกมานั้น มันแอบโผล่มาในการเสนอแนวคิดอย่างไร (ขอเน้นว่าจะพูดถึงคำพูดและแนวคิดเป็นหลักนะครับ ของดการพาดพิงตัวคน และในการสนทนานั้น จขกท.นั้นพยายามบ่ายเบี่ยงในการตอบคำถามสมาชิกตลอด) จึงขอเอามาวิเคราะห์อีกทีดังนี้
"ความถูกต้อง VS เสียงข้างมาก"
ที่จริงหากเราพิจารณาให้ดี คนทั่วไปที่สามัญสำนึกย่อมรู้ว่า การร่างกฎหมายนั้น ทำโดยตัวแทนของประชาชน คือ สส. ผู้ซึ่งได้รับมอบอาณัติจากประชาชน มันเป็นแบบนี้ในทุกสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก และในการร่างกฎหมายนั้น เขาต้องใช้หลักหลายๆอย่างประกอบกัน ไม่ใช่หลักเดียว ไม่ว่าจะ ยึดหลักความเสมอภาค ความยุติธรรม รักษาความเป็นประชาธิปไตย หรือ ผดุงไว้ซึ่งสันติสุขของสังคม ดังตัวอย่างในแผนภูมินี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จะเห็นได้ว่า ทั้ง "ความถูกต้อง" หรือ "เสียงข้างมาก" ต่างก็เป็นขั้นตอนขั้นหนึ่งที่จำเป็น ในการร่างกฎหมาย นั่นคือ สส.ทุกคนต้องคำนึงถึงความถูกต้อง (โดยยึดหลัก ยึดหลักความเสมอภาค ความยุติธรรม รักษาความเป็นประชาธิปไตย หรือ ผดุงไว้ซึ่งสันติสุขของสังคม ) มันจะขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงความสำคัญแล้ว “เสียงข้างมาก” จะเป็นคำที่สำคัญมากเพราะมีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า “ความถูกต้อง”
เพราะคำว่าเสียงข้างมาก ย่อมหมายถึง "เสียงข้างมาก" ของ "ผู้ที่เห็นว่าถูกต้อง" นั่นคือคำว่าเสียงข้างมาก มี “ความถูกต้อง” แฝงอยู่ เพราะคนที่เขาโหวต เขาก็ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง
การที่พยายามจะบังคับให้เลือกเอาระหว่าง "ความถูกต้อง หรือ เสียงข้างมาก" ก็น่าจะเป็นความไม่ซื่อตรงต่อระบบประชาธิปไตย ที่มันแอบซ่อนอยู่ ภายในใจ จึงพยายามจะถามเพื่อยุแยงให้คนทั่ว เห็นไปว่า ความถูกต้อง และ เสียงข้างมาก มันแยกกัน จะรวมกันไม่ได้ เพื่อคนเห็นว่า หากใช้ "เสียงข้างมาก" ก็จะไม่มี "ความถูกต้อง" ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงตามแผนภูมิที่แสดงไว้
“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” และ “กฎหมาย”
แนวความคิดที่ไม่ซื่อต่อระบบประชาธิปไตยในกระทู้นั้น ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในแนวคิดนั้น ยังมีการลากเอา “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” ขึ้นมา ซึ่งตอนแรกสมาชิกทั้งหลายก็คงงง ว่ามันเกี่ยวอะไรกับกฎหมายถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมา
สำหรับผมแล้ว ผมบอกในกระทู้นั้นแล้วว่า หากจะใช้คำว่า มนุษย์กำหนด“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” ก็ขอให้ใช้ในลักษณะที่ กำหนดแบบหมายรู้หมายจำเท่านั้น ไม่ใช่กำหนดอย่างตามอำเภอใจมนุษย์ เช่นกำหนดวันแต่งงาน กำหนดวันเดินทาง เพราะการอ้างเรื่องนี้มาในกระทู้แบบนั้น เสี่ยงต่อการที่คนจะเข้าใจผิดว่า การกำหนด“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” เท่าเทียมกับการกำหนด “กฎหมาย”
และเมื่ออ่านไปจนท้ายๆกระทู้ ก็จะเห็นแนวความที่น่าจะไม่ซื่อตรงต่อระบบประชาธิปไตยที่ซ่อน โผล่ออกมา นั่นคือ สุดท้ายก็ต้องการเปรียบเทียบกลายๆว่า........ ผู้มีความรู้เท่านั้นที่จะตั้งกฎได้ ทำนองว่าผู้มีอำนาจก็ตั้งกฎได้ โดยไม่ต้องอาศัยตัวแทนประชาชน นั่น คือการออกกฎหมายคงต้องทำโดยผู้รู้ผู้มีวิจารณญาณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่คนที่มีสติดี ย่อมเห็นได้ว่า “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” กับ “กฎหมายของมนุษย์” นั่นมันต่างกัน เอามาเปรยบกันไม่ได้ เพราะ
“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” เกิดจากมนุษย์สังเกตความเป็นไปในธรรมชาติ แล้วพยายามเขียนความสัมพันธ์นั้น เป็นสูตรเป็นสมการเพื่ออธิบาย ความสัมพันธ์นั่นๆ ส่งต่อไปในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อให้แก่มนุษย์คนอื่นได้รับทราบ ซึ่งการทำเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่เรียนรู้อย่างสูงส่ง ขอเพียงมีใจเป็นนักวิทยาศาตร์ ก็จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ต้องอาศัยความเพียรความพยายาม
การที่อ้างว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนด “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” นั่น ก็มีความหมายแต่เพียง มนุษย์ หมายรู้หมายจำความสัมพันธ์อันนั้นของธรรมชาติ .............. มิได้หมายความไปถึงว่า มนุษย์กำหนดหรือเปลี่ยนแปลง“กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” หรือ กฎอื่นๆของธรรมชาติได้เลย
แต่กฎหมายนั้น เกิดขึ้นจากมนุษย์ต้องการกำหนดความสัมพันธ์ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งในสังคมประชาธิปไตย จะต้องเป็นตัวแทนของประชาชนในสังคมนั่นๆเป็นคนกำหนดกฎหมาย มิใช่ปราชญ์ นักวิทยาศาตร์ ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้ หรืออ้างว่ามีวิจารณญาณ สูงส่งกว่าคนทั่วไป ซึ่งในช่วงท้ายๆกระทู้นั่น จขกท.ก็โผล่ไต๋ ที่ไม่ซ่อตรงต่อระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างถึง ผู้มีวิจาณญาณสูง ซึ่งสมาชิกก็พยายามถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าใครวิจารณญาณสูง แต่จขกท. ก็ตอบไม่ได้ คงรู้แต่ว่า ไม่ยอมให้ประชาชนหรือสส.ร่างกันเอง
อนึ่ง กฎหมายนั้น มนุษย์จะกำหนดแก้ไข เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ได้ ตามสภาพสังคม แต่ “กฎการเคลื่อนไหวของมวลสาร” หรือกฎธรรมชาติอื่นๆ มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยแปลงได้ตามอำเภอใจ เพราะกฎธรรมชาตินั่นมันคงที่เป็นสัมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างใจคน มนุษย์ได้แต่พัฒนากฎใหม่ ๆที่อาจจะอธิบาย ธรรมชาติได้ดีกว่ากฎเดิมเท่านั้น แต่มนุษย์มิอาจเปลี่ยน “กฎธรรมชาติ” ตามใจตนอย่างกฎหมาย
[ สรุป กฏหมายมนุษย์แก้ไขปรับปรุงตั้งใหม่เมื่อไรก็ได้ กฎธรรมชาติมนุษย์แก้ไม่ได้ ]
ผู้มีวิจารณญาณ กับการร่างกฎหมาย
นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จขกท.นั้น อ้างถึง ทำนองว่า ผู้มีวิจารณญาณ ย่อมร่างกฎหมายได้ดีกว่าตัวแทนของประชาชน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะ
1. การร่างกฎหมายนั้น แม้จะต้องใช้ความรู้กฎหมาย แต่ก็เป็นเพียงส่วนประกอบ เพราะมนุษย์เป็นผู้กำหนดกฎหมายโดยตรง ดังนั้น ในความเป็นจริง จะร่างกฎหมาย โดยคำนึงถึงเรื่องที่จะต้องทำ ต้งแก้ไข ต้องร่าง เนื้อหาจะเป็นอย่างไร จากนั้น จะมีคณะกรรมการที่เกียวข้อง ไปขัดเกลาให้สามารถออกมาในรูปแบบภาษากฎหมาย นักกฎหมายจึงเป็นแค่เสมียนในการออกกฎหมาย ไม่ใช่ผู้กำหนด แต่ผู้กำหนดกฎหมาย คือตัวแทนของประชาชน คือ สส.
2. กฎหมายมีเพื่อบังคับใช้กับประชาชน หากให้คนที่ไม่ผูกมัดเกี่ยวโยงโดยตรงกับประชาชนร่าง ยอมไม่ใส่ใจคำนึงถึงประโยชน์ หรือผลร้ายที่จะเกิดจากกฎหมายนั้นๆ เท่ากับคนที่ประชาชนควบคุมได้ อย่างน้อยก็ผ่านหัวคะแนน ผ่านการเลือกตั้ง อย่างน้อยก็ไม่เลือกเขาไปอีก แต่หากให้ผู้มีวิจารณญาณ หรือนักปราชญ์ร่างกฎหมาย ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะร่างให้ชนชั้นของนักปราชญ์ พวกพ้องของนักปราชญ์ ได้ประโยชน์เสียเอง และประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถเอาออกไปเสีย โดยไม่เลือกใหม่ได้
3. คนที่มีวิจารณญาณ ดี ไม่ได้มีรอยสักอยู่ที่หน้าผากบอกให้รู้ว่า คนนี้แหละคนมีวิจารณญาณดี เป็นศรีสังคม ไม่ทรยศประชาชน ไม่มีแน่ ไม่เคยเห็น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีวิจารณญาณดี เอาตำแหน่งหน้าที่การงานได้ไหม เช่น ผู้พิพากษา ปลัดกระทรวง ข้าราชการตำรวจทหาร ได้ไหม ก็ต้องถามก่อนละว่าใคร เพราะรายนามที่เอยมาทั้งหมด ก็มีคนไมดีปะปน ผู้พิพากษาที่โดนสอบวินัยก็มีเนื่องๆ ที่เป็นคนสติไม่สมประกอบไปอาละวาดในที่สาธารณะก็มีให้เห็น ปลัดกระทรวงซุกเงินไว้เป็นร้อยล้านก็มี ข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปกติมีให้เห็นมากมาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วตกลงใครกันที่เป็นผู้มีวิจารณญาณที่ดี
คำตอบคือ เรื่องนี้อ้างขึ้นเพราะใจมันไม่ตรง ไม่เคารพระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น จึงไม่ยอมรับการที่ สส.จะเป็นตัวแทนร่างกฎหมาย อย่างที่สังคมประชาธิปไตยทั่วโลกเขาทำกัน
ที่ยกมาให้เห็นนั้น เป็นเพียงตัวอย่างแนวความคิดเหล่านี้ มันแอบซ่อนอยู่ในใจผู้ใด ก็มีแต่จะทำให้คนพวกนั้น คิดอย่างไร้เหตุผล
สุดท้าย นี้ขอย้ำว่า กระทู้นี้ไม่ได้ต้องการโจมตีชื่อบุคคลใด และขอไม่ลิงค์กระทู้ เพราะไม่ได้ต้องการโจมตีบุคคลใด เพราะที่ผมรังเกียจผมไม่ได้รังเกียจตัวบุคคลตรง แต่รังเกียจแนวความคิดเช่นนี้ “ความคิดที่ไม่ซื่อตรงต่อระบอบประชาธิปไตย” แต่พยายามแยบยลเสแสร้งว่า รักระบอบประชาธิปไตย
ความคิดที่อันตราย(ไม่ใช่ตัวบุคคลนะครับ)แบบนี้ สำหรับผมเหมือนยุงลาย เจอที่ไหนผมยอมเหนื่อยเพื่อจะตบให้ตาย ไม่ให้ไปแพร่เชื้อร้าย ทำความเสียหายให้แก่สังคมประชาธิปไตยของเราครับ