เอาเลยเห็นด้วยอย่างยิ่ง
https://www.facebook.com/share/p/19vjBENCTt/?mibextid=wwXIfr
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ประเทศเรามี ‘อินฟลู’ มากถึง 3 ล้านคน เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เป็นรองเพียงอินโดนีเซียที่มีประชากรมากกว่าเราหลายเท่าตัว และในช่วงที่ผ่านมาก็มีหลากหลายประเด็นดราม่าจากสารพัด ‘อินฟลู’ ที่กลายมาเป็นประเด็นถกเถียงของสังคมไทย
ออกกฎคุมอินฟลู เน้นสายสุขภาพ-การเงิน-กฎหมาย
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ‘รศ.ประไพพิศ มุทิตาเจริญ’ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร และอาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุว่า ประเทศไทยจึงควรกำหนดมาตรฐาน จรรยาบรรณ และมาตรการกำกับดูแล ป้องกันไม่ให้อินฟลูเอนเซอร์สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมในวงกว้าง
เนื่องจากตอนนี้อินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลต่อผู้คนและสังคม สอดรับกับพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารของคนไทยที่หันไปเสพสื่อ ‘ช่องทางออนไลน์’ เป็นช่องทางหลัก จนอินฟลูกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
โดย ‘มาตรการกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอ’ จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกลุ่ม ‘ความรู้สุขภาพ-ความงาม’ ไปจนถึง ‘การเงินการลงทุน’ และ ‘ความรู้ทางกฎหมาย’ ที่อาศัยแค่ความคิดเห็นหรือความรู้สึกไม่ได้ แต่ต้องอาศัย ‘ความรู้เฉพาะทาง’ ที่ถูกต้องด้วย
และมาตรการกำกับดูแลยังช่วยป้องกันไม่ให้อินฟลูแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ด้วย แต่ตอนนี้หน่วยงานภาครัฐไทยยังไม่มี ‘กฎระเบียบในการกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอร์’ อย่างชัดเจน
มีเพียงความพยายามในการปรับปรุงกฎหมายฉบับอื่นๆ ให้ช่วยดูแลผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หรือ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฯลฯ เท่านั้น
หลายประเทศมีแล้ว ต้องลงทะเบียน-ต้องมีใบประกอบด้วย
นักวิชาการ มธ. อธิบายว่า ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกมีการกำหนดมาตรฐาน จรรยาบรรณ และมาตรการกำกับดูแลอินฟลูแล้ว
อย่างเช่นใน ‘ฝรั่งเศส’ มีกฎหมายเฉพาะกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ กำหนดให้ต้องแจ้งการประกอบอาชีพ ลงทะเบียนกับสรรพากร และต้องมีใบรับรองด้วย เพื่อส่งเสริมจริยธรรมและความรับผิดชอบของอินฟลู
ส่วนใน ‘สหรัฐอเมริกา’ จะมีหน่วยงานที่ชื่อว่า Federal Trade Commission (FTC) เน้นการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดเกณฑ์ชัดเจนว่าอินฟลูเอนเซอร์เปิดเผย ‘ความสัมพันธ์กับแบรนด์’ ให้สาธารณชนรู้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ได้รับของฟรี หรือได้รับค่าจ้าง
แม้แต่กรณีเป็นภาพเฉยๆ ไม่มีเสียงก็ต้องเขียนกำกับว่า Branded Content หรือ Sponsored Content และต้องมีการระบุให้ชัดด้วยไม่ใช่การแฝงเป็นแฮชแท็กเล็กๆ
ส่วน ‘จีน’ ก็กำหนดมาตรการชัดเจนในหมวดหมู่การเงิน สุขภาพ การแพทย์ กฎหมาย การศึกษา และอื่นๆ ว่าอินฟลูจะต้องมีหลักฐานใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพก่อนเผยแพร่ ไม่งั้นเจอโทษปรับสูงถึง 4.5 แสนบาท หรืออย่างนิวซีแลนด์ อังกฤษ ก็มีแนวทางการกำกับดูแลเช่นกัน
แพลตฟอร์มต้องกำกับประเด็นอ่อนไหว-มีบทลงโทษชัดเจน
‘รศ.ประไพพิศ’ จึงยืนยันว่า แม้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook YouTube และ TikTok จะมีมาตรการหรือแนวทางกำกับควบคุมเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทั้งสำหรับคนทั่วไปและอินฟลูแล้ว แต่ก็ควรจะมีการกำหนดแนวทางสำหรับ ‘ธุรกิจเฉพาะทาง’ หรือ ‘อ่อนไหวต่อความมั่นคงในชีวิต’ มากขึ้นและมีบทลงโทษชัดเจน
เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐที่ต้องมากำหนด ‘เส้นความเหมาะสม’ ของเนื้อหา ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนมากขึ้น โดยอาศัยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ข้อมูลการเลิดเมิดกฎหมายต่างๆ จากการสร้างเนื้อหาของอินฟลูที่นำไปสู่มาตรการควบคุมควบคู่กันไป
“จริงๆ ประเด็นที่เกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็มีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในมุมหนึ่งอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ก็สร้างโอกาส และความเท่าเทียมให้คนทั่วไปได้กลายเป็นคนที่มีศักยภาพในการสร้างเนื้อหาจนกลายเป็นอาชีพได้
แต่อีกมุมก็คือเนื้อหาที่เผยแพร่มีความถูกต้อง และมีความรับผิดชอบมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันบ่อยครั้งสื่อเองก็ให้พื้นที่กับอินฟลูเอนเซอร์มากจนเป็นปัจจัยที่อาจสร้างผลกระทบเชิงลบมากขึ้นไปอีก
หากไม่มีการตรวจสอบความเชี่ยวชาญในประเด็นที่มีความอ่อนไหวต่อสังคมก็มีการหยิบมาเผยแพร่ต่อจนมีอิทธิพลในวงกว้างด้วย ฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการกำกับควบคุม เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนที่เป็นผู้บริโภค” รศ.ประไพพิศกล่าว
เห็นด้วยไหม? นักวิชาการ มธ. เสนอออกกฎกำกับดูแล ‘อินฟลู’ โดยเฉพาะสายละเอียดอ่อนอย่าง ‘สุขภาพ-การเงิน-กฎหมาย’
https://www.facebook.com/share/p/19vjBENCTt/?mibextid=wwXIfr
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ประเทศเรามี ‘อินฟลู’ มากถึง 3 ล้านคน เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เป็นรองเพียงอินโดนีเซียที่มีประชากรมากกว่าเราหลายเท่าตัว และในช่วงที่ผ่านมาก็มีหลากหลายประเด็นดราม่าจากสารพัด ‘อินฟลู’ ที่กลายมาเป็นประเด็นถกเถียงของสังคมไทย
ออกกฎคุมอินฟลู เน้นสายสุขภาพ-การเงิน-กฎหมาย
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ‘รศ.ประไพพิศ มุทิตาเจริญ’ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร และอาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุว่า ประเทศไทยจึงควรกำหนดมาตรฐาน จรรยาบรรณ และมาตรการกำกับดูแล ป้องกันไม่ให้อินฟลูเอนเซอร์สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมในวงกว้าง
เนื่องจากตอนนี้อินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลต่อผู้คนและสังคม สอดรับกับพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารของคนไทยที่หันไปเสพสื่อ ‘ช่องทางออนไลน์’ เป็นช่องทางหลัก จนอินฟลูกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
โดย ‘มาตรการกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอ’ จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกลุ่ม ‘ความรู้สุขภาพ-ความงาม’ ไปจนถึง ‘การเงินการลงทุน’ และ ‘ความรู้ทางกฎหมาย’ ที่อาศัยแค่ความคิดเห็นหรือความรู้สึกไม่ได้ แต่ต้องอาศัย ‘ความรู้เฉพาะทาง’ ที่ถูกต้องด้วย
และมาตรการกำกับดูแลยังช่วยป้องกันไม่ให้อินฟลูแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ด้วย แต่ตอนนี้หน่วยงานภาครัฐไทยยังไม่มี ‘กฎระเบียบในการกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอร์’ อย่างชัดเจน
มีเพียงความพยายามในการปรับปรุงกฎหมายฉบับอื่นๆ ให้ช่วยดูแลผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หรือ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฯลฯ เท่านั้น
หลายประเทศมีแล้ว ต้องลงทะเบียน-ต้องมีใบประกอบด้วย
นักวิชาการ มธ. อธิบายว่า ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกมีการกำหนดมาตรฐาน จรรยาบรรณ และมาตรการกำกับดูแลอินฟลูแล้ว
อย่างเช่นใน ‘ฝรั่งเศส’ มีกฎหมายเฉพาะกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ กำหนดให้ต้องแจ้งการประกอบอาชีพ ลงทะเบียนกับสรรพากร และต้องมีใบรับรองด้วย เพื่อส่งเสริมจริยธรรมและความรับผิดชอบของอินฟลู
ส่วนใน ‘สหรัฐอเมริกา’ จะมีหน่วยงานที่ชื่อว่า Federal Trade Commission (FTC) เน้นการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดเกณฑ์ชัดเจนว่าอินฟลูเอนเซอร์เปิดเผย ‘ความสัมพันธ์กับแบรนด์’ ให้สาธารณชนรู้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ได้รับของฟรี หรือได้รับค่าจ้าง
แม้แต่กรณีเป็นภาพเฉยๆ ไม่มีเสียงก็ต้องเขียนกำกับว่า Branded Content หรือ Sponsored Content และต้องมีการระบุให้ชัดด้วยไม่ใช่การแฝงเป็นแฮชแท็กเล็กๆ
ส่วน ‘จีน’ ก็กำหนดมาตรการชัดเจนในหมวดหมู่การเงิน สุขภาพ การแพทย์ กฎหมาย การศึกษา และอื่นๆ ว่าอินฟลูจะต้องมีหลักฐานใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพก่อนเผยแพร่ ไม่งั้นเจอโทษปรับสูงถึง 4.5 แสนบาท หรืออย่างนิวซีแลนด์ อังกฤษ ก็มีแนวทางการกำกับดูแลเช่นกัน
แพลตฟอร์มต้องกำกับประเด็นอ่อนไหว-มีบทลงโทษชัดเจน
‘รศ.ประไพพิศ’ จึงยืนยันว่า แม้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook YouTube และ TikTok จะมีมาตรการหรือแนวทางกำกับควบคุมเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทั้งสำหรับคนทั่วไปและอินฟลูแล้ว แต่ก็ควรจะมีการกำหนดแนวทางสำหรับ ‘ธุรกิจเฉพาะทาง’ หรือ ‘อ่อนไหวต่อความมั่นคงในชีวิต’ มากขึ้นและมีบทลงโทษชัดเจน
เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐที่ต้องมากำหนด ‘เส้นความเหมาะสม’ ของเนื้อหา ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนมากขึ้น โดยอาศัยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ข้อมูลการเลิดเมิดกฎหมายต่างๆ จากการสร้างเนื้อหาของอินฟลูที่นำไปสู่มาตรการควบคุมควบคู่กันไป
“จริงๆ ประเด็นที่เกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็มีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในมุมหนึ่งอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ก็สร้างโอกาส และความเท่าเทียมให้คนทั่วไปได้กลายเป็นคนที่มีศักยภาพในการสร้างเนื้อหาจนกลายเป็นอาชีพได้
แต่อีกมุมก็คือเนื้อหาที่เผยแพร่มีความถูกต้อง และมีความรับผิดชอบมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันบ่อยครั้งสื่อเองก็ให้พื้นที่กับอินฟลูเอนเซอร์มากจนเป็นปัจจัยที่อาจสร้างผลกระทบเชิงลบมากขึ้นไปอีก
หากไม่มีการตรวจสอบความเชี่ยวชาญในประเด็นที่มีความอ่อนไหวต่อสังคมก็มีการหยิบมาเผยแพร่ต่อจนมีอิทธิพลในวงกว้างด้วย ฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการกำกับควบคุม เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนที่เป็นผู้บริโภค” รศ.ประไพพิศกล่าว