แน่นอนว่าบริษัทต่างๆก็มีแบบแผนการตลาดเพื่อให้แบรนด์ของพวกเขาติดตาผู้บริโภคและทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการสินค้าของพวกเขาอีก แต่ก็เช่นกัน แบบแผนการตลาดบางครั้งก็ไม่ประสบความสำเร็จบ้างเป็นธรรมดา แต่คราวนี้เป็นแบบแผนการตลาดที่ล้มเหลวแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนแน่ๆสำหรับใครหลายๆคน ลองมาดู 10 อันดับกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
10.แผนการตลาดของ Aqua Teen Hunger Force
หากพวกเรามาดูแผนการตลาดแบบล้มเหลว ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้แน่ๆ ช่วงนั้นการตูนเรื่องนี้ก็มีการโปรโมทเดินสายการ์ตูนเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมมากทางช่อง CartoonNetwork และตัวละครพวกนี้ก็เป็นที่นิยมมากในประเทศอเมริกา แต่ปรากฎว่ามีการระเบิดวงจรภายในโลโก้ตัวละครจนระเบิดขึ้นมา แน่นอนล่ะว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารออกมาตรึงกำลังล้อมเอาไว้ และแน่นอนว่าเป็นแผนการตลาดที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
9.เที่ยวบิน Hoover ให้บินฟรี !
บริษัท Hoover ตอนนี้ได้ปล่อยแผนการตลาดแบบสุดเลอะ โดยมีการขายตั๋วฟรีหากซื้อในทุกๆราคา $ 100 ไม่ว่าจะบินไปที่ไหนก็ตามแต่ ใครฟังแบบนี้แล้วก็ต่างไปแห่กันซื้อตั๋วสิครับ ของฟรีแบบนี้คงไม่มีที่ไหนหรอก ทุกๆคนต่างก็ซื้อตั๋วในราคานี้ แล้วก็ได้เพิ่มตั๋วอีก 1 ใบไว้เที่ยวฟรี จนทำให้บริษัทขาดทุนไปกว่า $ 50 ล้าน ก็ถือเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งเลยล่ะ
8.McDonald ให้กินอิ่มเต็มมื้อ !
แผนการตลาดสุดเลอะหลายคนคงคิดไม่ถึงว่า McDonald เองก็ด้วย แน่นอนล่ะว่าแบรนด์ดังขนาดนี้ก็ยังมีแบบแผนเลอะๆอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นในช่วงที่มีการแข่งขันโอลิมปิก ทาง McDonald ได้ออกกลยุทธ์การตลาดที่ชื่อว่า "หากอเมริกาชนะ คุณก็ชนะด้วย" โดยแผนนี้จะให้เบอร์เกอร์ ขนมขบเคี้ยว และน้ำดื่มฟรีหากประเทศอเมริกาได้เหรียญโอลิมปิกทุกๆครั้งที่ได้มา แต่ตอนนั้นอเมริกาได้เหรียญมาทั้งหมด 178 เหรียญ ซึ่งบริษัทเองก็ยอมรับว่าเป็นแผนการตลาดที่ล้มเหลวที่สุด และยังสร้างความเสียหายทางการเงินเป็นจำนวนมาก
7.แผนการตลาดของ Ford Edsel
ช่วงนั้น Ford เองก็ได้มีเทคโนโลยีลูกเล่นใหม่ๆเข้ามาก็เยอะอยู่เหมือนกันและยังเก็บความลับเทคโนโลยีที่พวกเขาได้สร้างเอาไว้ในหลังม่านอีกต่างหาก โดย Ford พยายามจะงัดกลยุทธ์ประชันกับคู่แข่ง ซึ่ง Ford ก็ตั้งความหวังไว้ว่า โมเดลรถนี้จะต้องมียอดขายออกมาถล่มทลายแน่ๆ พอถึงเวลาเปิดตัวรถ ก็ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ ไม่ใช่เพราะว่ารถไม่ดีหรือไม่เข้าตาคนหรอก แต่รถดันมีราคาแพงมากจนผู้คนซื้อไม่ไหว ส่วนคู่แข่งก็ยังออกแบบโมเดลรถในราคาถูกให้ผู้คนที่มีกำลังซื้อไม่มากสามารถขับรถแล่นอย่างสบายใจ ตอนนั้นบริษัทขาดทุนไปกว่า $ 250 ล้าน
6.จะขาย Sex งั้นหรือ คิดหรือว่าจะได้ผลเหรอ?
นักออกมาแฟชั่นอย่าง Calvin Klein ได้ออกไอเดียเก๋โดยใช้สัญชาตญาณดิบของมนุษย์อย่างเรื่อง Sex เข้ามาเป็นกลยุทธ์การตลาด โดยเขาได้เปิดตัวในสภาพที่ล่อนจ้อนครึ่งตัวและก็พยายามแสดงอะไรที่เลอะเทอะบนโฆษณาและก็ต่อหน้าทีวี เขาคิดว่าวิธีนี้สามารถขายแรงดึงดูดทางเพศได้มากขึ้น แต่ปรากฏว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มบอยคอดกับพฤติกรรมสุดเลอะแบบนี้ ทั้งทาง FBI ยังมีการสืบสวนถึงประเด็นต่างๆและบริษัทต่างๆก็มีการยกเลิกโฆษณาอีก เฮ่อ.... แบบนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเหมือนกัน
5.แผนการตลาดของ Silo
บริษัท Silo เองก็ได้มีการคิดแบบแผนการตลาดสุดเลอะในเวลานั้น โดยมีการโปรโมทด้วยสโลแกนที่ว่า "Silo กำลังจะมาแล้ว" ด้วย 299 Banana (เป็นคำสแลงของบริษัทก็หมายความว่า 299 ดอลลาร์) แน่นอนว่าพวกเขาต้องการใช้วิธีนี้ในการดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาสนใจ แต่บริษัทเองก็ไม่รู้ว่าจะเจาะพฤติกรรมให้ผู้คนในแต่ละเมืองให้สนใจได้อย่างไร แต่ผู้คนต่างก็พยายามค้นหาไอสโลแกนที่ว่านี้อยู่ว่ามันคืออะไร ผู้คิดว่าใช้กล้วยแทนเงินสด ซึ่งก็ตกอยู่ราวๆ $ 40 แล้วผู้คนต่างก็ใช้กล้วยนี่แหละเป็นเงินสด เลยแห่กันมาช็อปสนั่นเลยทีเดียว คิดว่าน่าตลกดีไหมล่ะ
4.Electrolux ทำพิษเสียเอง
คำว่า Electrolux นี้ได้กลายเป็นคำอย่างหนึ่งที่สร้างความเสียหายอย่างยิ่งกับการตลาด และยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับแบรนด์ด้วย ก็คือว่า ไอ้คำๆนี้พวกเราก็คงรู้ดีว่ามันเป็นยี่ห้อพวกเครื่องซักผ้าอะไรแบบนี้ใช่ไหม แต่ทางบริษัทได้ใช้สโลแกนกับประเทศอื่นๆอย่างประเทศอังกฤษ อเมริกาว่า ?Nothing Sucks Like An Electrolux? ผู้คนก็มองว่าสินค้าตัวเองว่าห่วยแตก ซึ่งความหมายจริงๆก็คือ บริษัทพยายามจะขายเครื่องดูดฝุ่นของเขาว่า มันดูดฝุ่นได้ดีไม่เหมือนใคร แต่ความหมายที่สื่อออกมามันก็ตีความได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้ยอดขายสินค้าบริษัทตกหวบไปอย่างรวดเร็ว
3.โค้กได้ผลิตสูตรใหม่ !
แน่นอนล่ะว่าบริษัทโค้กก็คงเป็นบริษัทที่ผูกขาดเรื่องเครื่องดื่มไปแล้วหากไม่มีเป๊ปซี่เข้ามาเกะกะขวางคอ โดยโค้กได้มีการงัดกลยุทธ์ออกเครื่องดื่มสูตรใหม่ หรือเรียกง่ายๆว่า โค้กใหม่ หรือภาษาอังกฤษก็คือ New Coke ต่อมาก็ได้มีการออกแคมเปญโฆษณาไปทั่วเมืองนิวยอร์ก ซึ่งคอดื่มต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอออกเครื่องดื่มนี้มาปุ๊ป ก็เกิดความ

ทันทีเมื่อคู่ปรับตลอดกาลอย่างเป๊ปซี่ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะดื่มเป๊ปซี่มากกว่า New Coke ทำให้เป๊ปซี่มีผลกำไรเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับได้ว่าเป็นแผนการตลาดระดับโลกที่ขาดความรอบคอบอย่างยิ่ง
2.แผนการตลาดของ Panasonic
แน่นอนล่ะว่า Panasonic เองก็วางแผนการตลาดที่ไม่เข้าท่าเอาไว้อยู่เหมือนกัน โดยบริษัทนี้ตอนแรกก็เน้นไปในเรื่องผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น ต่อมามันก็กลายเป็นแบรนด์ดังระดับโลก ตอนนั้นบริษัทได้ออกโปรแกรมรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า ?Woody-The Internet Pecker? และยังเพิ่มลูกเล่นคำต่างๆอะไรอีกที่ไม่เข้าท่าเอามากๆ ที่ต่อมาบริษัทก็ต้องตกใจจนต้องหลีกเลี่ยงความอับอายขายหน้าเมื่อพบว่า ชื่อที่ใช้อยู่นั้น มีความหมายว่า ?องค์ชาติตั้งชูชัน? ต่อมาก็ได้ปรับเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ ผมก็คิดเหมือนกันล่ะว่า นักการตลาดก็ต้องทำความเข้าใจศัพท์สแลงต่างๆของต่างประเทศด้วยก็ดีเหมือนกัน ^ ^
1.KFC แจกไก่ทอดฟรี เอาไปเลย !
KFC ได้ใช้แผนการตลาดโดยอาศัยเกาะเรทติ้งทีวีของ Oprah ซึ่งตอนนั้นเป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดย KFC ได้ฉวยโอกาสใช้การตลาดกับผู้ชมรายการโดยโฆษณาว่า จะให้คูปองฟรีสำหรับการให้ไก่ทอด 2 ชิ้นและมีเครื่องเคียงต่างๆด้วย ก็ยิ่งทำให้คนเข้ามาโหลดเอาคูปองจากเว็บไซด์ของ Oprah แต่ปรากฏว่า KFC แทบจะต้องหงายท้องเมื่อพบว่า มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 10 ล้านกว่าคน และก็มีผู้คนต่างก็ใช้สิทธิ์ได้รับคูปองฟรีกันทั่วประเทศ ทำให้ KFC ต้องจ่ายต้นทุนไปกว่า $ 42 ล้านสำหรับการแจกอาหารฟรี แถมยังมีการก่อจราจลบ้าง ต่อมา KFC ก็ออกมาขอโทษ Oprah ที่ได้นำมาเป็นเครื่องมือการตลาดและขอโทษกับผู้บริโภคทุกๆคนที่ไม่สามารถแจกไก่ได้ครบทุกคน แล้วจะมีใครคิดแบบแผนการตลาดนี้อยู่อีกหรือเปล่า ^__^
ผู้เขียน Mr.lawrence10
(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับแผนการตลาดที่ล้มเหลว
หากพวกเรามาดูแผนการตลาดแบบล้มเหลว ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้แน่ๆ ช่วงนั้นการตูนเรื่องนี้ก็มีการโปรโมทเดินสายการ์ตูนเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมมากทางช่อง CartoonNetwork และตัวละครพวกนี้ก็เป็นที่นิยมมากในประเทศอเมริกา แต่ปรากฎว่ามีการระเบิดวงจรภายในโลโก้ตัวละครจนระเบิดขึ้นมา แน่นอนล่ะว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารออกมาตรึงกำลังล้อมเอาไว้ และแน่นอนว่าเป็นแผนการตลาดที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
บริษัท Hoover ตอนนี้ได้ปล่อยแผนการตลาดแบบสุดเลอะ โดยมีการขายตั๋วฟรีหากซื้อในทุกๆราคา $ 100 ไม่ว่าจะบินไปที่ไหนก็ตามแต่ ใครฟังแบบนี้แล้วก็ต่างไปแห่กันซื้อตั๋วสิครับ ของฟรีแบบนี้คงไม่มีที่ไหนหรอก ทุกๆคนต่างก็ซื้อตั๋วในราคานี้ แล้วก็ได้เพิ่มตั๋วอีก 1 ใบไว้เที่ยวฟรี จนทำให้บริษัทขาดทุนไปกว่า $ 50 ล้าน ก็ถือเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งเลยล่ะ
แผนการตลาดสุดเลอะหลายคนคงคิดไม่ถึงว่า McDonald เองก็ด้วย แน่นอนล่ะว่าแบรนด์ดังขนาดนี้ก็ยังมีแบบแผนเลอะๆอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นในช่วงที่มีการแข่งขันโอลิมปิก ทาง McDonald ได้ออกกลยุทธ์การตลาดที่ชื่อว่า "หากอเมริกาชนะ คุณก็ชนะด้วย" โดยแผนนี้จะให้เบอร์เกอร์ ขนมขบเคี้ยว และน้ำดื่มฟรีหากประเทศอเมริกาได้เหรียญโอลิมปิกทุกๆครั้งที่ได้มา แต่ตอนนั้นอเมริกาได้เหรียญมาทั้งหมด 178 เหรียญ ซึ่งบริษัทเองก็ยอมรับว่าเป็นแผนการตลาดที่ล้มเหลวที่สุด และยังสร้างความเสียหายทางการเงินเป็นจำนวนมาก
ช่วงนั้น Ford เองก็ได้มีเทคโนโลยีลูกเล่นใหม่ๆเข้ามาก็เยอะอยู่เหมือนกันและยังเก็บความลับเทคโนโลยีที่พวกเขาได้สร้างเอาไว้ในหลังม่านอีกต่างหาก โดย Ford พยายามจะงัดกลยุทธ์ประชันกับคู่แข่ง ซึ่ง Ford ก็ตั้งความหวังไว้ว่า โมเดลรถนี้จะต้องมียอดขายออกมาถล่มทลายแน่ๆ พอถึงเวลาเปิดตัวรถ ก็ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ ไม่ใช่เพราะว่ารถไม่ดีหรือไม่เข้าตาคนหรอก แต่รถดันมีราคาแพงมากจนผู้คนซื้อไม่ไหว ส่วนคู่แข่งก็ยังออกแบบโมเดลรถในราคาถูกให้ผู้คนที่มีกำลังซื้อไม่มากสามารถขับรถแล่นอย่างสบายใจ ตอนนั้นบริษัทขาดทุนไปกว่า $ 250 ล้าน
นักออกมาแฟชั่นอย่าง Calvin Klein ได้ออกไอเดียเก๋โดยใช้สัญชาตญาณดิบของมนุษย์อย่างเรื่อง Sex เข้ามาเป็นกลยุทธ์การตลาด โดยเขาได้เปิดตัวในสภาพที่ล่อนจ้อนครึ่งตัวและก็พยายามแสดงอะไรที่เลอะเทอะบนโฆษณาและก็ต่อหน้าทีวี เขาคิดว่าวิธีนี้สามารถขายแรงดึงดูดทางเพศได้มากขึ้น แต่ปรากฏว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มบอยคอดกับพฤติกรรมสุดเลอะแบบนี้ ทั้งทาง FBI ยังมีการสืบสวนถึงประเด็นต่างๆและบริษัทต่างๆก็มีการยกเลิกโฆษณาอีก เฮ่อ.... แบบนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเหมือนกัน
บริษัท Silo เองก็ได้มีการคิดแบบแผนการตลาดสุดเลอะในเวลานั้น โดยมีการโปรโมทด้วยสโลแกนที่ว่า "Silo กำลังจะมาแล้ว" ด้วย 299 Banana (เป็นคำสแลงของบริษัทก็หมายความว่า 299 ดอลลาร์) แน่นอนว่าพวกเขาต้องการใช้วิธีนี้ในการดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาสนใจ แต่บริษัทเองก็ไม่รู้ว่าจะเจาะพฤติกรรมให้ผู้คนในแต่ละเมืองให้สนใจได้อย่างไร แต่ผู้คนต่างก็พยายามค้นหาไอสโลแกนที่ว่านี้อยู่ว่ามันคืออะไร ผู้คิดว่าใช้กล้วยแทนเงินสด ซึ่งก็ตกอยู่ราวๆ $ 40 แล้วผู้คนต่างก็ใช้กล้วยนี่แหละเป็นเงินสด เลยแห่กันมาช็อปสนั่นเลยทีเดียว คิดว่าน่าตลกดีไหมล่ะ
คำว่า Electrolux นี้ได้กลายเป็นคำอย่างหนึ่งที่สร้างความเสียหายอย่างยิ่งกับการตลาด และยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับแบรนด์ด้วย ก็คือว่า ไอ้คำๆนี้พวกเราก็คงรู้ดีว่ามันเป็นยี่ห้อพวกเครื่องซักผ้าอะไรแบบนี้ใช่ไหม แต่ทางบริษัทได้ใช้สโลแกนกับประเทศอื่นๆอย่างประเทศอังกฤษ อเมริกาว่า ?Nothing Sucks Like An Electrolux? ผู้คนก็มองว่าสินค้าตัวเองว่าห่วยแตก ซึ่งความหมายจริงๆก็คือ บริษัทพยายามจะขายเครื่องดูดฝุ่นของเขาว่า มันดูดฝุ่นได้ดีไม่เหมือนใคร แต่ความหมายที่สื่อออกมามันก็ตีความได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้ยอดขายสินค้าบริษัทตกหวบไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนล่ะว่าบริษัทโค้กก็คงเป็นบริษัทที่ผูกขาดเรื่องเครื่องดื่มไปแล้วหากไม่มีเป๊ปซี่เข้ามาเกะกะขวางคอ โดยโค้กได้มีการงัดกลยุทธ์ออกเครื่องดื่มสูตรใหม่ หรือเรียกง่ายๆว่า โค้กใหม่ หรือภาษาอังกฤษก็คือ New Coke ต่อมาก็ได้มีการออกแคมเปญโฆษณาไปทั่วเมืองนิวยอร์ก ซึ่งคอดื่มต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอออกเครื่องดื่มนี้มาปุ๊ป ก็เกิดความ
แน่นอนล่ะว่า Panasonic เองก็วางแผนการตลาดที่ไม่เข้าท่าเอาไว้อยู่เหมือนกัน โดยบริษัทนี้ตอนแรกก็เน้นไปในเรื่องผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น ต่อมามันก็กลายเป็นแบรนด์ดังระดับโลก ตอนนั้นบริษัทได้ออกโปรแกรมรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า ?Woody-The Internet Pecker? และยังเพิ่มลูกเล่นคำต่างๆอะไรอีกที่ไม่เข้าท่าเอามากๆ ที่ต่อมาบริษัทก็ต้องตกใจจนต้องหลีกเลี่ยงความอับอายขายหน้าเมื่อพบว่า ชื่อที่ใช้อยู่นั้น มีความหมายว่า ?องค์ชาติตั้งชูชัน? ต่อมาก็ได้ปรับเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ ผมก็คิดเหมือนกันล่ะว่า นักการตลาดก็ต้องทำความเข้าใจศัพท์สแลงต่างๆของต่างประเทศด้วยก็ดีเหมือนกัน ^ ^
KFC ได้ใช้แผนการตลาดโดยอาศัยเกาะเรทติ้งทีวีของ Oprah ซึ่งตอนนั้นเป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดย KFC ได้ฉวยโอกาสใช้การตลาดกับผู้ชมรายการโดยโฆษณาว่า จะให้คูปองฟรีสำหรับการให้ไก่ทอด 2 ชิ้นและมีเครื่องเคียงต่างๆด้วย ก็ยิ่งทำให้คนเข้ามาโหลดเอาคูปองจากเว็บไซด์ของ Oprah แต่ปรากฏว่า KFC แทบจะต้องหงายท้องเมื่อพบว่า มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 10 ล้านกว่าคน และก็มีผู้คนต่างก็ใช้สิทธิ์ได้รับคูปองฟรีกันทั่วประเทศ ทำให้ KFC ต้องจ่ายต้นทุนไปกว่า $ 42 ล้านสำหรับการแจกอาหารฟรี แถมยังมีการก่อจราจลบ้าง ต่อมา KFC ก็ออกมาขอโทษ Oprah ที่ได้นำมาเป็นเครื่องมือการตลาดและขอโทษกับผู้บริโภคทุกๆคนที่ไม่สามารถแจกไก่ได้ครบทุกคน แล้วจะมีใครคิดแบบแผนการตลาดนี้อยู่อีกหรือเปล่า ^__^
ผู้เขียน Mr.lawrence10