ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องเพลงและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
วันนี้พาไปชมการขับเคี่ยวของเจ้าแห่งยุทธจักรน้ำดำค่ายใหญ่ที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โค้ก กับ เป๊บซี่กันค่ะ
น้ำอัดลมนั้น ดื่มนิดหน่อยพอให้สดชื่น ก็พอได้ แต่ถ้าดื่มมาก จะเป็นอันตรายกับสุขภาพทั้งน้ำตาล กรด สี ฯลฯ
แต่วันนี้เราจะมาดูในมุมมองของการแข่งขันทางการตลาดกันว่าทั้งคู่มีความเป็นมาอย่างไร
มีกลยุทธ มีวิสัยทัศน์ การทำโฆษณาสื่อยังกลุ่มเป้าหมาย และการชิงไหวชิงพริบกันยังไงบ้าง
** กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาโจมตีผู้ใดหรือโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันเกร็ดข้อมูลแก่เพื่อนสมาชิก
เจ้าของกระทู้ได้เรียบเรียงเนื้อหา โดยอาศัยข้อมูลและภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต่างๆ ที่เปิดเผย **
จุดกำเนิดมหากาพย์สงครามน้ำดำ Coke – Pepsi
สงครามน้ำอัดลมระหว่าง Coca-Cola กับ Pepsi นั้น ต่อสู้ดำเนินมานับร้อยปี
- ปี 1886 เมื่อ John S. Pemberton พัฒนาสูตรโค้ก (Coke) ต้นตำรับออกมา
- 13 ปี ต่อมาก็ถือกำเนิดน้ำดำ Pepsi-Cola โดยเภสัชกรชื่อ Caleb Bradham
- ยอดขาย Coca-Cola หรือ Coke ประมาณ ล้านแกลลอนต่อปี ต่อมา Pepsi ก็เข้ามาในตลาด
- Coke พัฒนาแพ็คเกจจิ้งเป็นแบบขวดคอนทัวร์ (ขวดแก้วขนาดเล็กดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะที่มีการจดลิขสิทธิ์) มีการนำคนดังมาช่วยโฆษณา และรวมไปถึงขยายตลาดไปยุโรป ขณะที่ Pepsi ล้มละลายเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1
- 8 ปีให้หลัง Pepsi ล้มละลายเป็นครั้งที่ 2 แต่ในที่สุดก็ฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
- ระหว่างที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Pepsi เริ่มใช้โฆษณาเป็นครั้งแรก และรวมไปถึงเริ่มขายแบบกระป๋อง
- ช่วงปี 1950-1959 Coke มีโฆษณาทางทีวีครั้งแรกออนแอร์ช่วงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ในช่อง CBS ขณะที่ Pepsi พยายามปรับแบรนด์ใหม่เพื่อไล่ตาม Coke ให้ทัน
- Coke ตัดสินใจเข้าตลาดหุ้น ในปี 1962 พร้อมทั้งเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ชื่อ Sprite ซึ่งกลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน
- Pepsi ควบรวมธุรกิจกับ Frito Lay เมื่อปี 1965 ตั้งเป็น PepsiCo ขึ้นมาเพื่อสู้ศึกน้ำดำจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ Diet Pepsi
ว่าด้วยเรื่องโลโก้
ทั้งสองแบรนด์ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านโลโก้อย่างต่อเนื่อง นี่คือวิวัฒนาการโลโก้ตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน
สงครามการตลาด
ในตลาดโลก โค๊ก ผูกขาดตลาดน้ำดำ ได้ทั่วโลกคิดเป็น % แล้ว มากกว่าเป๊บซี่อยู่ถึงเท่าตัว
แต่สำหรับประเทศไทย ถือเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่เป๊บซี่ มียอดขายดีกว่า โค้ก
ประเทศที่มียอดขายเป๊บซี่ดีกว่าโค๊กมีอยู่ด้วยกันคือ
- ไทย
- ซาอุดิอาระเบีย และประเทศแถมตะวันออกกลางทั้งหมด
- อียิปต์
- บราซิล และประเทศแถบอเมริกาใต้
แต่ปัจจุบัน โค้กในประเทศไทย สามารถตีตื้นเป๊บซี่ขึ้นมาได้ เพราะเป๊บซี่ต้องเสีย market share ให้กับ EST
โฆษณา ศึกชิงเจ้ายุทธจักร เกทับ บลัฟแหลก
ทั้งสองแบรนด์ ทุ่มไม่อั้นกับการจ้าง super star เป็น presenter
ในประเทศไทย เรามีข้อห้ามโฆษณาสินค้าโดยไปพาดพิงยี่ห้ออื่น เราจึงไม่เห็นการเกทับกัน
แต่เมืองนอกนั้นมีเรื่องแบบนี้เป็นปกติ ทั้งคู่ต่างบลัฟกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เช่น ...
บางทีก็มีการใช้กำลังกัน
วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และการขับเคี่ยว
ในตลาดโลกนั้น ในอดีตมูลค่าตลาดของ Coke เคยมากกว่า Pepsi ถึง 2 - 3 เท่า
แต่แล้วประวัติศาสตร์ 112 ปีของแชมป์เก่าได้ถูกทำลายเสียแล้ว เกิดอะไรขึ้น ?
โค้กนำโด่งเป๊บซี่มาตลอด ไม่ว่าเป๊บซี่จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทาบรัศมีโค้กได้
จนกระทั่งถึงช่วงที่มีคู่แข่งตลาดเครื่องดื่มเยอะขึ้น ทั้งชาเขียว และสารพัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ผู้บริโภคก็ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ตลาดน้ำดำไม่เติบโตอย่างมากมายเหมือนแต่ก่อน
แต่สถานภาพที่สองของเป๊ปซี่นั้น กลับเป็นผลดีต่อเป๊ปซี่ เพราะทำให้เป๊ปซี่ไม่ดันทุรังที่เอาชนะโค้กในตลาดน้ำดำอีกต่อไป
แต่
เป๊ปซี่แสวงหา "วิถี" ใหม่ซึ่งแตกต่างจากโค้ก
โค้กนั้นเน้นกลยุทธ์โฟกัส ขายน้ำดำเป็นหลัก น้ำสีเป็นรอง
ส่วนน้ำประเภทอื่นๆก็ลงสู่ตลาดเพราะจำเป็นต้องลงเนื่องจากตลาดมาแรงมาก ต้องพยายามเข้าไปมีเอี่ยว
ขณะที่เป๊ปซี่ขยายไปสู่ตลาดฟาสต์ฟูดส์และขนมขบเคี้ยว กระจายความเสี่ยงและขยายเข้าไปในตลาด
ที่มีอัตราการเติบโตสูงซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเลย์ที่เป็นเจ้าตลาดในธุรกิจนี้
ในด้านเครื่องดื่มใหม่นั้น กลยุทธ์ของเป๊ปซี่มุ่งซื้อแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว เพื่อประหยัดเวลา
ไม่ต้องสร้างเอง เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่เกเตอเรด
ส่วนโค้กนั้นถือดีว่าตนเองมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
และมีเม็ดเงินก้อนใหญ่ ใช้ในการโฆษณาไม่จำกัด
แต่ทว่าทุนดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้โค้กประสบความสำเร็จในการออกสินค้าใหม่ๆแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามกับเป๊ปซี่ซึ่งซื้อแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากแต่อย่างใด
ก็สามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดได้มาก
นับวันเป๊ปซี่จึงโตขึ้นทุกวัน ขณะที่โค้กอยู่ในสภาวะถดถอย เพราะตลาดน้ำดำเติบโตน้อย
การประสบความสำเร็จของเป๊ปซี่เหนือโค้กสะท้อนให้เห็นว่า
กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
และซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จแล้ว ย่อมดีกว่าการยึดติดกับการโฟกัสในธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาลง
และการสร้างสินค้าตัวใหม่ด้วยตนเองย่อมยากกว่าการซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จ
มูลค่าตลาดของเป๊ปซี่คงเพิ่มไปเรื่อยๆ ขณะที่โค้กคงจะอยู่ที่เดิม เพราะโค้กก็ไม่มีกลยุทธ์ใหม่ๆอะไร
– มูลค่าหุ้นของทั้งสองแบรนด์ที่ผ่านมา Pepsi ประสบความสำเร็จจากธุรกิจขนมคบเคี้ยวอย่างเห็นได้ชัดเจน
แต่ขณะเดียวกัน Coke อยู่นิ่งๆในธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเดียว
– แบรนด์เครื่องดื่มต่างๆในเครือ Coke ที่ทำให้มียอดขายสูงถึง 1 พันกว่าล้าน เหรียญสหรัฐฯ
– แม้ว่าแบรนด์เครื่องดื่มในเครือ Pepsi จะไม่แข็งแกร่งเท่า Coke นัก แต่ธุรกิจขนมขบเคี้ยวก็ใหญ่โตมาก
– ทั้งสองแบรนด์ก็รุกเข้าโลกดิจิตอลเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ Social Media แต่ดูเหมือนว่า Coke จะนำ Pepsi ไปไกลอย่างมาก
ปัจจุบันทั้งสองแบรนด์ก็ยังคงขับเคี่ยวกันต่อไปอย่างไม่มีใครยอมใคร
ต่างงัดกลยุทธ์มาใช้กันเต็มที่เพื่อครองพื้นที่การตลาด ก็เป็นกรณีที่น่าศึกษาว่าต่างจะหาวิธีใดมาเอาชนะคู่แข่ง
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
https://www.brandbuffet.in.th/2013/01/soda-war-coke-pepsi/
http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=10877.0;wap2
https://board.postjung.com/527929.html
http://petmaya.com/%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88
..................................................
การอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองคู่แข่ง ไม่ได้ตัดสินว่าจะต้องแพ้ตลอดไป
ขอเพียงมีวิสัยทัศน์ ยอมรับความเป็นจริง รู้จักปรับตัว หากลยุทธ์ สู้ไม่ถอย และรู้จักพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ก็สามารถประสบความสำเร็จได้
ไม่แข่งยิ่งแพ้
...แต่การแพ้ เพราะไม่เคยได้ลงแข่ง น่าเสียดาย น่าเสียดาย
https://www.youtube.com/watch?v=pNtac8DmVWM
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 16/11/2017 (โค้ก VS เป๊บซี่...คู่ปรับตลอดกาล)
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องเพลงและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
วันนี้พาไปชมการขับเคี่ยวของเจ้าแห่งยุทธจักรน้ำดำค่ายใหญ่ที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โค้ก กับ เป๊บซี่กันค่ะ
น้ำอัดลมนั้น ดื่มนิดหน่อยพอให้สดชื่น ก็พอได้ แต่ถ้าดื่มมาก จะเป็นอันตรายกับสุขภาพทั้งน้ำตาล กรด สี ฯลฯ
แต่วันนี้เราจะมาดูในมุมมองของการแข่งขันทางการตลาดกันว่าทั้งคู่มีความเป็นมาอย่างไร
มีกลยุทธ มีวิสัยทัศน์ การทำโฆษณาสื่อยังกลุ่มเป้าหมาย และการชิงไหวชิงพริบกันยังไงบ้าง
** กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาโจมตีผู้ใดหรือโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันเกร็ดข้อมูลแก่เพื่อนสมาชิก
เจ้าของกระทู้ได้เรียบเรียงเนื้อหา โดยอาศัยข้อมูลและภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต่างๆ ที่เปิดเผย **
จุดกำเนิดมหากาพย์สงครามน้ำดำ Coke – Pepsi
สงครามน้ำอัดลมระหว่าง Coca-Cola กับ Pepsi นั้น ต่อสู้ดำเนินมานับร้อยปี
- ปี 1886 เมื่อ John S. Pemberton พัฒนาสูตรโค้ก (Coke) ต้นตำรับออกมา
- 13 ปี ต่อมาก็ถือกำเนิดน้ำดำ Pepsi-Cola โดยเภสัชกรชื่อ Caleb Bradham
- ยอดขาย Coca-Cola หรือ Coke ประมาณ ล้านแกลลอนต่อปี ต่อมา Pepsi ก็เข้ามาในตลาด
- Coke พัฒนาแพ็คเกจจิ้งเป็นแบบขวดคอนทัวร์ (ขวดแก้วขนาดเล็กดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะที่มีการจดลิขสิทธิ์) มีการนำคนดังมาช่วยโฆษณา และรวมไปถึงขยายตลาดไปยุโรป ขณะที่ Pepsi ล้มละลายเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1
- 8 ปีให้หลัง Pepsi ล้มละลายเป็นครั้งที่ 2 แต่ในที่สุดก็ฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
- ระหว่างที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Pepsi เริ่มใช้โฆษณาเป็นครั้งแรก และรวมไปถึงเริ่มขายแบบกระป๋อง
- ช่วงปี 1950-1959 Coke มีโฆษณาทางทีวีครั้งแรกออนแอร์ช่วงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ในช่อง CBS ขณะที่ Pepsi พยายามปรับแบรนด์ใหม่เพื่อไล่ตาม Coke ให้ทัน
- Coke ตัดสินใจเข้าตลาดหุ้น ในปี 1962 พร้อมทั้งเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ชื่อ Sprite ซึ่งกลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน
- Pepsi ควบรวมธุรกิจกับ Frito Lay เมื่อปี 1965 ตั้งเป็น PepsiCo ขึ้นมาเพื่อสู้ศึกน้ำดำจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ Diet Pepsi
ว่าด้วยเรื่องโลโก้
ทั้งสองแบรนด์ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านโลโก้อย่างต่อเนื่อง นี่คือวิวัฒนาการโลโก้ตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน
สงครามการตลาด
ในตลาดโลก โค๊ก ผูกขาดตลาดน้ำดำ ได้ทั่วโลกคิดเป็น % แล้ว มากกว่าเป๊บซี่อยู่ถึงเท่าตัว
แต่สำหรับประเทศไทย ถือเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่เป๊บซี่ มียอดขายดีกว่า โค้ก
ประเทศที่มียอดขายเป๊บซี่ดีกว่าโค๊กมีอยู่ด้วยกันคือ
- ไทย
- ซาอุดิอาระเบีย และประเทศแถมตะวันออกกลางทั้งหมด
- อียิปต์
- บราซิล และประเทศแถบอเมริกาใต้
แต่ปัจจุบัน โค้กในประเทศไทย สามารถตีตื้นเป๊บซี่ขึ้นมาได้ เพราะเป๊บซี่ต้องเสีย market share ให้กับ EST
โฆษณา ศึกชิงเจ้ายุทธจักร เกทับ บลัฟแหลก
ทั้งสองแบรนด์ ทุ่มไม่อั้นกับการจ้าง super star เป็น presenter
ในประเทศไทย เรามีข้อห้ามโฆษณาสินค้าโดยไปพาดพิงยี่ห้ออื่น เราจึงไม่เห็นการเกทับกัน
แต่เมืองนอกนั้นมีเรื่องแบบนี้เป็นปกติ ทั้งคู่ต่างบลัฟกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เช่น ...
บางทีก็มีการใช้กำลังกัน
วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และการขับเคี่ยว
ในตลาดโลกนั้น ในอดีตมูลค่าตลาดของ Coke เคยมากกว่า Pepsi ถึง 2 - 3 เท่า
แต่แล้วประวัติศาสตร์ 112 ปีของแชมป์เก่าได้ถูกทำลายเสียแล้ว เกิดอะไรขึ้น ?
โค้กนำโด่งเป๊บซี่มาตลอด ไม่ว่าเป๊บซี่จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทาบรัศมีโค้กได้
จนกระทั่งถึงช่วงที่มีคู่แข่งตลาดเครื่องดื่มเยอะขึ้น ทั้งชาเขียว และสารพัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ผู้บริโภคก็ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ตลาดน้ำดำไม่เติบโตอย่างมากมายเหมือนแต่ก่อน
แต่สถานภาพที่สองของเป๊ปซี่นั้น กลับเป็นผลดีต่อเป๊ปซี่ เพราะทำให้เป๊ปซี่ไม่ดันทุรังที่เอาชนะโค้กในตลาดน้ำดำอีกต่อไป
แต่เป๊ปซี่แสวงหา "วิถี" ใหม่ซึ่งแตกต่างจากโค้ก
โค้กนั้นเน้นกลยุทธ์โฟกัส ขายน้ำดำเป็นหลัก น้ำสีเป็นรอง
ส่วนน้ำประเภทอื่นๆก็ลงสู่ตลาดเพราะจำเป็นต้องลงเนื่องจากตลาดมาแรงมาก ต้องพยายามเข้าไปมีเอี่ยว
ขณะที่เป๊ปซี่ขยายไปสู่ตลาดฟาสต์ฟูดส์และขนมขบเคี้ยว กระจายความเสี่ยงและขยายเข้าไปในตลาด
ที่มีอัตราการเติบโตสูงซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเลย์ที่เป็นเจ้าตลาดในธุรกิจนี้
ในด้านเครื่องดื่มใหม่นั้น กลยุทธ์ของเป๊ปซี่มุ่งซื้อแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว เพื่อประหยัดเวลา
ไม่ต้องสร้างเอง เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่เกเตอเรด
ส่วนโค้กนั้นถือดีว่าตนเองมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
และมีเม็ดเงินก้อนใหญ่ ใช้ในการโฆษณาไม่จำกัด
แต่ทว่าทุนดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้โค้กประสบความสำเร็จในการออกสินค้าใหม่ๆแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามกับเป๊ปซี่ซึ่งซื้อแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากแต่อย่างใด
ก็สามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดได้มาก
นับวันเป๊ปซี่จึงโตขึ้นทุกวัน ขณะที่โค้กอยู่ในสภาวะถดถอย เพราะตลาดน้ำดำเติบโตน้อย
การประสบความสำเร็จของเป๊ปซี่เหนือโค้กสะท้อนให้เห็นว่ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
และซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จแล้ว ย่อมดีกว่าการยึดติดกับการโฟกัสในธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาลง
และการสร้างสินค้าตัวใหม่ด้วยตนเองย่อมยากกว่าการซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จ
มูลค่าตลาดของเป๊ปซี่คงเพิ่มไปเรื่อยๆ ขณะที่โค้กคงจะอยู่ที่เดิม เพราะโค้กก็ไม่มีกลยุทธ์ใหม่ๆอะไร
– มูลค่าหุ้นของทั้งสองแบรนด์ที่ผ่านมา Pepsi ประสบความสำเร็จจากธุรกิจขนมคบเคี้ยวอย่างเห็นได้ชัดเจน
แต่ขณะเดียวกัน Coke อยู่นิ่งๆในธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเดียว
– แบรนด์เครื่องดื่มต่างๆในเครือ Coke ที่ทำให้มียอดขายสูงถึง 1 พันกว่าล้าน เหรียญสหรัฐฯ
– แม้ว่าแบรนด์เครื่องดื่มในเครือ Pepsi จะไม่แข็งแกร่งเท่า Coke นัก แต่ธุรกิจขนมขบเคี้ยวก็ใหญ่โตมาก
– ทั้งสองแบรนด์ก็รุกเข้าโลกดิจิตอลเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ Social Media แต่ดูเหมือนว่า Coke จะนำ Pepsi ไปไกลอย่างมาก
ปัจจุบันทั้งสองแบรนด์ก็ยังคงขับเคี่ยวกันต่อไปอย่างไม่มีใครยอมใคร
ต่างงัดกลยุทธ์มาใช้กันเต็มที่เพื่อครองพื้นที่การตลาด ก็เป็นกรณีที่น่าศึกษาว่าต่างจะหาวิธีใดมาเอาชนะคู่แข่ง
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
https://www.brandbuffet.in.th/2013/01/soda-war-coke-pepsi/
http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=10877.0;wap2
https://board.postjung.com/527929.html
http://petmaya.com/%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88
..................................................
การอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองคู่แข่ง ไม่ได้ตัดสินว่าจะต้องแพ้ตลอดไป
ขอเพียงมีวิสัยทัศน์ ยอมรับความเป็นจริง รู้จักปรับตัว หากลยุทธ์ สู้ไม่ถอย และรู้จักพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ก็สามารถประสบความสำเร็จได้
ไม่แข่งยิ่งแพ้
...แต่การแพ้ เพราะไม่เคยได้ลงแข่ง น่าเสียดาย น่าเสียดาย
https://www.youtube.com/watch?v=pNtac8DmVWM