........

ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค ตอนที่ 3
จากมิตจินา สู่ มัณฑะเลย์
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2558 เวลา 15.10 น. ออกจากมิตจินา บอกไม่ได้ว่าจะถึงปลายทางเมื่อไรรถออกก่อนเวลาและเร่งเครื่องตลอดทางมากกว่าขาไป คาดว่าคงถึงก่อนเวลา คนไม่แข็งแรงขึ้นรถไฟไม่ได้ เพราะเหมือนม้าย่อง ห้อ พยศ กระทืบ กระแทก เขย่า ขย่ม ทั้งโยกทั้งส่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยง
บรรยากาศขาไปกับขากลับ แตกต่างกันมาก เพราะเป็นตู้ชั้นพิเศษ สภาพของที่นั่งไม่เหมือนกัน ที่ชั้นธรรมดาเป็นไม้ ชั้นพิเศษเป็นเบาะแข็งๆ ผู้โดยสารดูมีระดับ และมีฐานะ แม่บ้านแต่ละคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสวยงาม เสื้อผ้าลูกไม้ โสร่งสีสวย รองเท้ามีส้น แต่งหน้าสวยงาม ลุงบอกว่า ผู้หญิงเมียนม่าร์ ไม่มีคนขี้เหร่ และพวกเธอ ไม่เคี้ยวหมาก!

เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้หญิงที่เดินทางในชั้นพิเศษทุกคนมีตะกร้าใส่ปิ่นโต พวกผู้หญิงล้วนนำอาหารใส่ปิ่นโตเป็นเสบียงเวลาเดินทาง ส่วนผู้ชาย ถ้าเดินทางพร้อมครอบครัวก็มีเสบียง แต่ถ้าเดินทางตามลำพังก็ซื้อบนรถไฟ อาจจะซื้อจากพ่อค้า แม่ค้าที่ขึ้นไปขายบนรถไฟ หรือซื้อจากพ่อค้า แม่ค้าที่ขายข้างรถเวลารถเข้าสถานี มีร้านอาหารที่สถานีบางร้านส่งคนไปขึ้นรถที่จุดจอดก่อนเข้าสถานี เพื่อรับคำสั่ง เมื่อรถเข้าสถานีได้ครู่หนึ่งคนรับคำสั่งก็จะนำอาหารกล่องขึ้นไปส่ง และเก็บเงิน
ผู้โดยสารชายที่มีลักษณะเป็นเจ้านาย ซื้อส้มเหมือนเราแต่เขาซื้อถูกกว่าเพราะเขาต่อราคาได้ เขาซื้อหมากเคี้ยว และยาเส้นสูบ ซื้อเบียร์และน้ำอัดลม ที่มีคนนำมาขายบนรถ แล้วชวนเราดื่ม แต่เราไม่ดื่ม เขาแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนมีรสนิยม โดยบริโภคสินค้าที่ไปจากเมืองไทย ทั้งเบียร์ และน้ำอัดลม เขาพยายามคุยกับเรา โดยใช้คำสำคัญของประโยคเป็นหัวข้อสนทนา เขาบอกเราว่า การเดินทางไปเจดีย์กลางน้ำ ต้องลงรถที่สถานี โฮปิน (Hopin) ก่อนถึงมิตจินา 9 สถานี ที่นั่น เป็นจุดบริการนักท่องเที่ยวที่มีทั้งสถานีรถไฟ และท่ารถยนต์
ตอนขาไปไม่เห็นว่า ที่สถานีหลายสถานีมีป้อมรักษาการณ์ของทหารที่สร้างจากไม้เหมือนห้างส่องสัตว์ที่เลิกใช้แล้ว มีสถานีหนึ่ง มีโรงเก็บอาวุธเก่า ที่สร้างด้วยไม้ เต็มไปด้วยรูและรอยโหว่ ให้เห็นร่องรอยว่าผ่านการรับศึกหนักมาแล้วอย่างโชกโชน ข้างทางรถไฟที่เป็นป่า บนภูเขาเตี้ยๆ ที่เห็นมีไฟไหม้คืนก่อน มีเพิงพักของทหารที่สร้างด้วยไม้อายุน้อย ที่ตัดจากบริเวณนั้น ปูพื้นด้วยไม้ขัดแตะ หลังคามุงด้วยใบไม้ ไม่มีฝาตั้งอยู่เป็นระยะ มีทหารประจำอยู่ด้วย พวกเขาสวมรองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ ไม่ได้สวมรองเท้าคอมแบ็ตเหมือนทหารไทย ตอนกลางคืนคงประทังความหนาวด้วยกองไฟ
เวลาประมาณ 04.00 น. เจ้าหน้าที่มาปลุกตรวจตั๋ว มีการโกลาหลอยู่บ้าง เพราะผู้โดยสารที่มาด้วยกันใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า คนหนึ่งนอนบนที่นั่ง อีกคนปูเสื่อนอนบนพื้น บางคนปูเสื่อนอนตรงทางเดิน ทั้งๆ ที่ทุกคนสามารถนั่งหลับในที่ของตนเองได้ แต่พวกเขาและเธอต้องการนอน ประจวบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่รถไฟอยู่ในภาวะกระโดด เด้ง และเหวี่ยง ทั้งคนตรวจตั๋ว เจ้าหน้าที่ และตำรวจ ต่างก็อยู่ในสภาพที่รถไฟจัดให้เป็น ในขณะที่เขากำลังเซ็นชื่อลงในตั๋ว คนตรวจก็กระดอนไปตามแรงเหวี่ยง ไปยืนอยู่ที่ล็อคถัดไป เกิดการชุลมุน พวกเขาหัวเราะและคุยกัน คนตรวจตั๋วก็ตรวจต่อไปเรื่อยๆ
พอได้เวลาตรวจอีกครั้งหนึ่งป้าหาตั๋วไม่เจอ ตั๋วหาย! ไม่ว่าจะหาตรงไหนก็ไม่เจอ คนตรวจจึงไปตรวจคนอื่นก่อน ชายที่ดูเป็นเจ้านายโบกมือว่า ไม่ต้องหาแล้ว แล้วเขาก็คุยกับคนตรวจตั๋ว ทั้งเจ้าหน้าที่และตำรวจ ก็เป็นชุดเดิม มีคนใหม่เฉพาะคนตรวจตั๋วเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่พูดอะไร แล้วก็ผ่านไป พวกเขาไม่ได้ย้อนกลับมาขอดูตั๋วอีก เมื่อนึกย้อนถึงการตรวจตั๋วตอนเช้ามืด คิดถึงสภาพตอนนั้น ป้าคิดว่าคนตรวจไม่ได้คืนตั๋วให้ โชคดีที่มีคนรับรองให้
ใกล้เวลา 09.00 น. คนรับรองตั๋วที่น่าเชื่อถือลงที่สถานีกลางทาง ป้าใจหายวาบ! ถ้ามีการตรวจตั๋วอีกครั้งหนึ่งจะทำอย่างไร คนรับรองลงไปแล้ว ชีวิตที่ต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา เมื่อไม่รู้ภาษา ทำให้การสื่อสารค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อนึกถึงความมีน้ำใจของคนเมียนม่าร์แล้ว ก็คิดว่า ถึงผู้ชายลงไปแล้วแต่กลุ่มผู้หญิงยังอยู่ พวกเธอน่าจะพอช่วยได้ ปัญหาก็คือ คนประจำตู้ก็เปลี่ยนไปแล้ว อาจต้องเดินหาตำรวจที่ส่งขึ้นรถ ตอนขาไป เขาประจำตู้ธรรมดา เขาน่าจะช่วยเราได้ แม้ว่าเขาจะสื่อสารได้ไม่คล่องก็ตาม
ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ที่ป้ากำลังกังวลขึ้นจนได้ มีนายตรวจคนใหม่ขึ้นมาตรวจตั๋ว ไม่มีตำรวจแล้ว แต่มีเจ้าหน้าที่ที่เคยเดินมาทักทายเราตามมาด้วย เขาเพิ่งมาประจำตู้เรา ตอนที่มีการตรวจตั๋วครั้งสุดท้าย และเห็นเหตุการณ์ตอนที่มีคนรับรองตั๋วให้เรา เมื่อนายตรวจขอดูตั๋วและเราบอกว่า ตั๋วหาย พวกผู้หญิงก็ช่วยพูดให้และลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายตรวจดูพาสปอร์ต แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่ตอนจะลงรถ เจ้าหน้าที่ประจำตู้คนใหม่เดินมาหาเรา แล้วทำท่าให้เราตามเขาไป ป้ากังวลว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในใจคิดว่า เขาต้องพาเราไปส่งให้เจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟมัณฑะเลย์ เพื่อให้ปรับเราแน่นอน!
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2558 เวลา 14.00 น. พอเข้าเขตมัณฑะเลย์ สัญญานโทรศัพท์ก็มา มีเสียงไลน์ และเฟสบุ๊กเข้าจนป้าต้องปิดเสียง แต่ยังไม่มีสมาธิจะทำอะไรเพราะความกังวลเรื่องตั๋วหาย เป็นอุปสรรค ได้แต่พยายามส่งข้อความที่พิมพ์ไว้แล้ว แต่ยังส่งรูปไม่ได้เพราะสัญญาณไม่เข้มพอ
เราเดินตามเจ้าหน้าที่ที่หน้าตาเหมือนอายุเพิ่ง 20 ต้นๆ เขาเป็นหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวขาว หน้าตาดี ไม่สูบยาเส้น แต่เคี้ยวหมาก ปากแดง และฟันเป็นคราบ เขาพาเราเดินลิ่วๆ อ้อมไปด้านที่ไม่มีผู้โดยสาร เราเตรียมรับทุกกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แล้วเขาก็หยุด หน้าห้องหนึ่ง มีป้ายเขียนว่า “บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว”
เขาดึงประตูเปิด หันมายิ้มให้ พูดอะไรกับคนที่อยู่ข้างใน แล้วผายมือให้เราเข้าไป เมื่อหมดหน้าที่แล้ว เขาก็เดินจากไป โธ่เอ๋ย! เขาแค่อยากให้เราได้คุยกับคนที่พูดภาษาอังกฤษได้….น่ารักอะไรจะปานนั้น! ป้าขอบคุณเขาและโบกมือลา….เราพบคนมีน้ำใจตั้งแต่ขึ้นรถ จนถึงลงรถ!
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็คตะลุยเมียนม่าร์ ตอนที่ 3 จากมิตจินาสู่มัณฑะเลย์
ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค ตอนที่ 3
จากมิตจินา สู่ มัณฑะเลย์
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2558 เวลา 15.10 น. ออกจากมิตจินา บอกไม่ได้ว่าจะถึงปลายทางเมื่อไรรถออกก่อนเวลาและเร่งเครื่องตลอดทางมากกว่าขาไป คาดว่าคงถึงก่อนเวลา คนไม่แข็งแรงขึ้นรถไฟไม่ได้ เพราะเหมือนม้าย่อง ห้อ พยศ กระทืบ กระแทก เขย่า ขย่ม ทั้งโยกทั้งส่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยง
บรรยากาศขาไปกับขากลับ แตกต่างกันมาก เพราะเป็นตู้ชั้นพิเศษ สภาพของที่นั่งไม่เหมือนกัน ที่ชั้นธรรมดาเป็นไม้ ชั้นพิเศษเป็นเบาะแข็งๆ ผู้โดยสารดูมีระดับ และมีฐานะ แม่บ้านแต่ละคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสวยงาม เสื้อผ้าลูกไม้ โสร่งสีสวย รองเท้ามีส้น แต่งหน้าสวยงาม ลุงบอกว่า ผู้หญิงเมียนม่าร์ ไม่มีคนขี้เหร่ และพวกเธอ ไม่เคี้ยวหมาก!
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้หญิงที่เดินทางในชั้นพิเศษทุกคนมีตะกร้าใส่ปิ่นโต พวกผู้หญิงล้วนนำอาหารใส่ปิ่นโตเป็นเสบียงเวลาเดินทาง ส่วนผู้ชาย ถ้าเดินทางพร้อมครอบครัวก็มีเสบียง แต่ถ้าเดินทางตามลำพังก็ซื้อบนรถไฟ อาจจะซื้อจากพ่อค้า แม่ค้าที่ขึ้นไปขายบนรถไฟ หรือซื้อจากพ่อค้า แม่ค้าที่ขายข้างรถเวลารถเข้าสถานี มีร้านอาหารที่สถานีบางร้านส่งคนไปขึ้นรถที่จุดจอดก่อนเข้าสถานี เพื่อรับคำสั่ง เมื่อรถเข้าสถานีได้ครู่หนึ่งคนรับคำสั่งก็จะนำอาหารกล่องขึ้นไปส่ง และเก็บเงิน
ผู้โดยสารชายที่มีลักษณะเป็นเจ้านาย ซื้อส้มเหมือนเราแต่เขาซื้อถูกกว่าเพราะเขาต่อราคาได้ เขาซื้อหมากเคี้ยว และยาเส้นสูบ ซื้อเบียร์และน้ำอัดลม ที่มีคนนำมาขายบนรถ แล้วชวนเราดื่ม แต่เราไม่ดื่ม เขาแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนมีรสนิยม โดยบริโภคสินค้าที่ไปจากเมืองไทย ทั้งเบียร์ และน้ำอัดลม เขาพยายามคุยกับเรา โดยใช้คำสำคัญของประโยคเป็นหัวข้อสนทนา เขาบอกเราว่า การเดินทางไปเจดีย์กลางน้ำ ต้องลงรถที่สถานี โฮปิน (Hopin) ก่อนถึงมิตจินา 9 สถานี ที่นั่น เป็นจุดบริการนักท่องเที่ยวที่มีทั้งสถานีรถไฟ และท่ารถยนต์
ตอนขาไปไม่เห็นว่า ที่สถานีหลายสถานีมีป้อมรักษาการณ์ของทหารที่สร้างจากไม้เหมือนห้างส่องสัตว์ที่เลิกใช้แล้ว มีสถานีหนึ่ง มีโรงเก็บอาวุธเก่า ที่สร้างด้วยไม้ เต็มไปด้วยรูและรอยโหว่ ให้เห็นร่องรอยว่าผ่านการรับศึกหนักมาแล้วอย่างโชกโชน ข้างทางรถไฟที่เป็นป่า บนภูเขาเตี้ยๆ ที่เห็นมีไฟไหม้คืนก่อน มีเพิงพักของทหารที่สร้างด้วยไม้อายุน้อย ที่ตัดจากบริเวณนั้น ปูพื้นด้วยไม้ขัดแตะ หลังคามุงด้วยใบไม้ ไม่มีฝาตั้งอยู่เป็นระยะ มีทหารประจำอยู่ด้วย พวกเขาสวมรองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ ไม่ได้สวมรองเท้าคอมแบ็ตเหมือนทหารไทย ตอนกลางคืนคงประทังความหนาวด้วยกองไฟ
เวลาประมาณ 04.00 น. เจ้าหน้าที่มาปลุกตรวจตั๋ว มีการโกลาหลอยู่บ้าง เพราะผู้โดยสารที่มาด้วยกันใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า คนหนึ่งนอนบนที่นั่ง อีกคนปูเสื่อนอนบนพื้น บางคนปูเสื่อนอนตรงทางเดิน ทั้งๆ ที่ทุกคนสามารถนั่งหลับในที่ของตนเองได้ แต่พวกเขาและเธอต้องการนอน ประจวบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่รถไฟอยู่ในภาวะกระโดด เด้ง และเหวี่ยง ทั้งคนตรวจตั๋ว เจ้าหน้าที่ และตำรวจ ต่างก็อยู่ในสภาพที่รถไฟจัดให้เป็น ในขณะที่เขากำลังเซ็นชื่อลงในตั๋ว คนตรวจก็กระดอนไปตามแรงเหวี่ยง ไปยืนอยู่ที่ล็อคถัดไป เกิดการชุลมุน พวกเขาหัวเราะและคุยกัน คนตรวจตั๋วก็ตรวจต่อไปเรื่อยๆ
พอได้เวลาตรวจอีกครั้งหนึ่งป้าหาตั๋วไม่เจอ ตั๋วหาย! ไม่ว่าจะหาตรงไหนก็ไม่เจอ คนตรวจจึงไปตรวจคนอื่นก่อน ชายที่ดูเป็นเจ้านายโบกมือว่า ไม่ต้องหาแล้ว แล้วเขาก็คุยกับคนตรวจตั๋ว ทั้งเจ้าหน้าที่และตำรวจ ก็เป็นชุดเดิม มีคนใหม่เฉพาะคนตรวจตั๋วเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่พูดอะไร แล้วก็ผ่านไป พวกเขาไม่ได้ย้อนกลับมาขอดูตั๋วอีก เมื่อนึกย้อนถึงการตรวจตั๋วตอนเช้ามืด คิดถึงสภาพตอนนั้น ป้าคิดว่าคนตรวจไม่ได้คืนตั๋วให้ โชคดีที่มีคนรับรองให้
ใกล้เวลา 09.00 น. คนรับรองตั๋วที่น่าเชื่อถือลงที่สถานีกลางทาง ป้าใจหายวาบ! ถ้ามีการตรวจตั๋วอีกครั้งหนึ่งจะทำอย่างไร คนรับรองลงไปแล้ว ชีวิตที่ต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา เมื่อไม่รู้ภาษา ทำให้การสื่อสารค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อนึกถึงความมีน้ำใจของคนเมียนม่าร์แล้ว ก็คิดว่า ถึงผู้ชายลงไปแล้วแต่กลุ่มผู้หญิงยังอยู่ พวกเธอน่าจะพอช่วยได้ ปัญหาก็คือ คนประจำตู้ก็เปลี่ยนไปแล้ว อาจต้องเดินหาตำรวจที่ส่งขึ้นรถ ตอนขาไป เขาประจำตู้ธรรมดา เขาน่าจะช่วยเราได้ แม้ว่าเขาจะสื่อสารได้ไม่คล่องก็ตาม
ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ที่ป้ากำลังกังวลขึ้นจนได้ มีนายตรวจคนใหม่ขึ้นมาตรวจตั๋ว ไม่มีตำรวจแล้ว แต่มีเจ้าหน้าที่ที่เคยเดินมาทักทายเราตามมาด้วย เขาเพิ่งมาประจำตู้เรา ตอนที่มีการตรวจตั๋วครั้งสุดท้าย และเห็นเหตุการณ์ตอนที่มีคนรับรองตั๋วให้เรา เมื่อนายตรวจขอดูตั๋วและเราบอกว่า ตั๋วหาย พวกผู้หญิงก็ช่วยพูดให้และลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายตรวจดูพาสปอร์ต แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่ตอนจะลงรถ เจ้าหน้าที่ประจำตู้คนใหม่เดินมาหาเรา แล้วทำท่าให้เราตามเขาไป ป้ากังวลว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในใจคิดว่า เขาต้องพาเราไปส่งให้เจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟมัณฑะเลย์ เพื่อให้ปรับเราแน่นอน!
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2558 เวลา 14.00 น. พอเข้าเขตมัณฑะเลย์ สัญญานโทรศัพท์ก็มา มีเสียงไลน์ และเฟสบุ๊กเข้าจนป้าต้องปิดเสียง แต่ยังไม่มีสมาธิจะทำอะไรเพราะความกังวลเรื่องตั๋วหาย เป็นอุปสรรค ได้แต่พยายามส่งข้อความที่พิมพ์ไว้แล้ว แต่ยังส่งรูปไม่ได้เพราะสัญญาณไม่เข้มพอ
เราเดินตามเจ้าหน้าที่ที่หน้าตาเหมือนอายุเพิ่ง 20 ต้นๆ เขาเป็นหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวขาว หน้าตาดี ไม่สูบยาเส้น แต่เคี้ยวหมาก ปากแดง และฟันเป็นคราบ เขาพาเราเดินลิ่วๆ อ้อมไปด้านที่ไม่มีผู้โดยสาร เราเตรียมรับทุกกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แล้วเขาก็หยุด หน้าห้องหนึ่ง มีป้ายเขียนว่า “บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว”
เขาดึงประตูเปิด หันมายิ้มให้ พูดอะไรกับคนที่อยู่ข้างใน แล้วผายมือให้เราเข้าไป เมื่อหมดหน้าที่แล้ว เขาก็เดินจากไป โธ่เอ๋ย! เขาแค่อยากให้เราได้คุยกับคนที่พูดภาษาอังกฤษได้….น่ารักอะไรจะปานนั้น! ป้าขอบคุณเขาและโบกมือลา….เราพบคนมีน้ำใจตั้งแต่ขึ้นรถ จนถึงลงรถ!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น