ผมชอบไปหาของกินรสชาติใหม่ๆ ร้านอาหารริมทาง ดูรูปแบบการใช้ชีวิตสามัญของประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถเดินทางทางบกได้ง่าย ไม่ต้องขออนุญาตเข้าประเทศให้วุ่นวาย มีเสื้อผ้าสองชุดในย่ามสะพายก็พอแล้ว
เป็นครั้งที่สี่ที่ไปเดินหาของกินร้านริมทาง ไปปีนัง(penang) หลังอุบัติการณ์โรคระบาดโควิด19 อยากให้ข้อสังเกตุสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปเที่ยวบ้าง เพราะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างจนผมเองก็ปรับตัวไม่ทัน
Penang เป็นเมืองมรดกโลกมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมยุคเดียวกับที่เห็นที่ภูเก็ตเขาว่าในอดีตเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงสวรรค์ของนักกิน แต่จะว่าไปก็ไม่ได้ต่างจากของไทยมากนัก ยังไงก็เทียบกับภูเก็ตหรือเชียงใหม่ไม่ได้
-- การเดินทางเข้าปีนังจากประเทศไทยหากเริ่มจากหาดใหญ่ง่ายมาก เริ่มจากนั่งรถไฟช่วงเช้าปลายทางปะดังเบซาร์ในราคา 50 บาท จากนั้นก็ผ่านตรวจคนเข้าเมืองที่อยู่ในอาคารเดียวกันทั้งของประเทศไทยและประเทศมาเลเซียเดินตัดขึ้นลิฟท์รอรถไฟไป Butterworth ฝั่งตรงข้ามปีนังได้เลย ค่ารถไฟอยู่ที่ 11 ริงกิตกว่าๆ ประมาณ 80 บาทแค่นี้ก็ไปเที่ยวต่างประเทศได้แล้ว
-- ผมแค่ยื่นหนังสือเดินทางให้ ต.ม. ฝั่งมาเลเซียก็ประทับตราผ่านได้ปกติ มิพักต้องลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนสามวันตามที่บางคนแนะนำ คิดในใจว่าเราคงไม่ใช่ตะแก่ไม่รู้ภาษาคนเดียวที่เดินทางเข้า ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วกัน มันส์ดี แต่เอาเข้าจริงๆ เรียบง่าย as smooth as silk.
-- บัตรเครดิตและเดบิตใช้ต่างประเทศสำคัญ ตอนซื้อตั๋วรถไฟจากปะดังเบซาร์ และนั่งเรือข้ามฟากต้องใช้บัตรเครดิตฯ ที่ตู้เพื่อออกตั๋วเท่านั้น เจ้าหน้าที่บอกว่าตู้หยอดเหรียญยกเลิกไปแล้วราคา 2 ริงกิตซึ่งแพงกว่าเดิมมาก(จำไม่ได้ว่าราคาเดิมเท่าไร แต่ใช้เป็นเหรียญขาเข้าเกาะ ส่วนขากลับฟรี) คนท้องที่ยังมาขอให้ผมช่วยกดซื้อให้ แต่ที่สถานีรถไฟเห็นมีห้องขายตั๋วด้วยเงินสดอยู่ชั้นบน
-- เรือเฟอรี่เข้าเกาะคล้ายเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาที่เมื่อลำหนึ่งออกก็มีเรืออีกลำมาเทียบท่ารับต่อจนได้ผู้โดยสารพอสมควรก็ออก แต่ปัจจุบันจำกัดจำนวนผู้โดยสารและปิดห้องพักรอเรือเข้าเทียบท่าทุกครึ่งชั่วโมงซึ่งช้ามาก แล้วอย่ารอต่อคิวหลังสุดเป็นสุภาพบุรุษเหมือนผม เพราะประตูเข้าเฟอรี่ปิดแล้วมีผู้โดยสารตกค้างในห้องประมาณ 10 คน ต้องรอเรือลำต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง สรุปวันนั้นผมต้องรอเฟอรี่เข้าเกาะปีนังหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่มารอกลุ่มแรกๆเท่ห์อย่างไม่ถูกกาละเทศะ
-- เที่ยวเกาะปีนังง่ายมาก มีรถเมล์หลายสายวิ่งรอบเกาะ มีรถเมล์ฟรี(CAT) ที่วิ่งรอบเมืองเก่ามรดกโลกจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ที่หน้าท่าเรือเฟอรี่นั่นเองออกทุกๆ 15 นาที ผมพักที่ HOTEL 19 หน้าท่าเรือนั่นแหละขึ้นรถฟรีง่ายดี หรือจะไปที่อื่นๆ แบบเสียค่าโดยสารก็ขึ้นที่ท่ารถหน้าเฟอรี่นี่แหละ ค่าโดยสารตลอดสายราคาถูกกว่าของไทยมาก็ประมาณ 2-3 ริงกิต(1ริงกิต=7.20 บาท)
-- ราคาอาหารริมทางไม่ต่างจากไทยมากนักแต่ถ้าเทียบเชิงปริมาณและคุณภาพแล้วคิดว่ามีราคาถูกกว่าของไทยประมาณ 20 เปอร์เซนต์ เรื่องที่น่ารำคาญใจเมื่อไปกินอาหารที่ฟู๊ดคอร์ตคือ คนขายน้ำจะขู่เข็ญให้สั่งน้ำ ถ้าปฏิเสธมักจะขู่ว่านี่เป็น cafe ยังไงก็ต้องสั่งน้ำดื่ม ผมเคยสั่งตัดรำคาญไปครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปที่ตลาดสด penang plaza ก็มาขู่เข็ญอีก บอกปฏิเสธไป ก็ตามตื้ออีกว่าน้ำแค่ขวดละ 1 ริงกิตทำไมงกจังสั่งของกินร้านอื่นตั้งเยอะแยะ ผมรำคาญมากเลยตอบเป็นภาษากวางตุ้งไปว่า "เส็กไมฝัน อึ่มหยำโสย" (โซ้ยก๋วยเตี้ยวอยู่ ไม่ดื่มน้ำ) พวกไปเลย หลายร้านพูดฟังภาษาไทยได้กะท่อนกะแท่น คิดก่อนนินทา
อีกครั้งเจอเร้าขายของคือร้านขายของฝากขนมอบ ขึ้นป้ายว่าอายุเก่าแก่ร่วมร้อยปี จับของชิ้นไหนมาดู พวกจะจับใส่ถุงอยู่นั่น ตอนต้นว่าจะซื้อหลายกล่องฝากเพื่อน หงุดหงิดเลยซื้อแค่สามกล่องพอเป็นพิธีก่อนกลับ
-- เตรียมเต้าปลั๊กเสียบไฟสามขาใหญ่ไปด้วย ผมไม่ได้เอาไปได้แต่ยืมจากพนักงานโรงแรม
-- รถที่ขับในเกาะแม้ในถนนแคบเล็กแต่ก็ขับเร็วไม่ค่อยหยุดรถให้คนข้ามได้ง่าย อย่างมากก็แค่ชะลอรถให้ข้ามเอง เขาคงเห็นว่าให้ข้ามบนทางข้ามม้าลาย ซึ่งมีเฉพาะตรงทางแยกไฟจราจรเท่านั้น
-- ถามคนขายของฝากว่าแม็กเน็ตรูปตาม street art ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ไหม คนขายตอบว่าไม่เสียเพราะหลวงเป็นผู้ว่าจ้างให้ศิลปินวาดเอง น่าสนใจดี
-- แนะนำร้านบุฟเฟใต้ตึก Komtar ที่ร้านนี้เลย มีอาหารให้เลือกหลายสิบอย่าง ทั้งปลาไก่ ผักผลไม้ ชิ้นโตๆ ปลายกตัว แค่ตักใส่จาน เข้าคิวให้คนขายตีราคาไม่แพง ไก่ทอดเปรี้ยวหวานเนื้อสะโพกสามชิ้น 20 ริงกิต ผมแพ็คไปกินที่สนามบิน คาดไม่ผิดเลยเพราะในสนามบินเห็นแต่ร้านขายขนมเท่านั้น
ข้อสังเกตบางประการจากการหาของกินที่ปีนัง(Penang)
เป็นครั้งที่สี่ที่ไปเดินหาของกินร้านริมทาง ไปปีนัง(penang) หลังอุบัติการณ์โรคระบาดโควิด19 อยากให้ข้อสังเกตุสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปเที่ยวบ้าง เพราะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างจนผมเองก็ปรับตัวไม่ทัน
Penang เป็นเมืองมรดกโลกมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมยุคเดียวกับที่เห็นที่ภูเก็ตเขาว่าในอดีตเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงสวรรค์ของนักกิน แต่จะว่าไปก็ไม่ได้ต่างจากของไทยมากนัก ยังไงก็เทียบกับภูเก็ตหรือเชียงใหม่ไม่ได้
-- การเดินทางเข้าปีนังจากประเทศไทยหากเริ่มจากหาดใหญ่ง่ายมาก เริ่มจากนั่งรถไฟช่วงเช้าปลายทางปะดังเบซาร์ในราคา 50 บาท จากนั้นก็ผ่านตรวจคนเข้าเมืองที่อยู่ในอาคารเดียวกันทั้งของประเทศไทยและประเทศมาเลเซียเดินตัดขึ้นลิฟท์รอรถไฟไป Butterworth ฝั่งตรงข้ามปีนังได้เลย ค่ารถไฟอยู่ที่ 11 ริงกิตกว่าๆ ประมาณ 80 บาทแค่นี้ก็ไปเที่ยวต่างประเทศได้แล้ว
-- ผมแค่ยื่นหนังสือเดินทางให้ ต.ม. ฝั่งมาเลเซียก็ประทับตราผ่านได้ปกติ มิพักต้องลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนสามวันตามที่บางคนแนะนำ คิดในใจว่าเราคงไม่ใช่ตะแก่ไม่รู้ภาษาคนเดียวที่เดินทางเข้า ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วกัน มันส์ดี แต่เอาเข้าจริงๆ เรียบง่าย as smooth as silk.
-- บัตรเครดิตและเดบิตใช้ต่างประเทศสำคัญ ตอนซื้อตั๋วรถไฟจากปะดังเบซาร์ และนั่งเรือข้ามฟากต้องใช้บัตรเครดิตฯ ที่ตู้เพื่อออกตั๋วเท่านั้น เจ้าหน้าที่บอกว่าตู้หยอดเหรียญยกเลิกไปแล้วราคา 2 ริงกิตซึ่งแพงกว่าเดิมมาก(จำไม่ได้ว่าราคาเดิมเท่าไร แต่ใช้เป็นเหรียญขาเข้าเกาะ ส่วนขากลับฟรี) คนท้องที่ยังมาขอให้ผมช่วยกดซื้อให้ แต่ที่สถานีรถไฟเห็นมีห้องขายตั๋วด้วยเงินสดอยู่ชั้นบน
-- เรือเฟอรี่เข้าเกาะคล้ายเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาที่เมื่อลำหนึ่งออกก็มีเรืออีกลำมาเทียบท่ารับต่อจนได้ผู้โดยสารพอสมควรก็ออก แต่ปัจจุบันจำกัดจำนวนผู้โดยสารและปิดห้องพักรอเรือเข้าเทียบท่าทุกครึ่งชั่วโมงซึ่งช้ามาก แล้วอย่ารอต่อคิวหลังสุดเป็นสุภาพบุรุษเหมือนผม เพราะประตูเข้าเฟอรี่ปิดแล้วมีผู้โดยสารตกค้างในห้องประมาณ 10 คน ต้องรอเรือลำต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง สรุปวันนั้นผมต้องรอเฟอรี่เข้าเกาะปีนังหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่มารอกลุ่มแรกๆเท่ห์อย่างไม่ถูกกาละเทศะ
-- เที่ยวเกาะปีนังง่ายมาก มีรถเมล์หลายสายวิ่งรอบเกาะ มีรถเมล์ฟรี(CAT) ที่วิ่งรอบเมืองเก่ามรดกโลกจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ที่หน้าท่าเรือเฟอรี่นั่นเองออกทุกๆ 15 นาที ผมพักที่ HOTEL 19 หน้าท่าเรือนั่นแหละขึ้นรถฟรีง่ายดี หรือจะไปที่อื่นๆ แบบเสียค่าโดยสารก็ขึ้นที่ท่ารถหน้าเฟอรี่นี่แหละ ค่าโดยสารตลอดสายราคาถูกกว่าของไทยมาก็ประมาณ 2-3 ริงกิต(1ริงกิต=7.20 บาท)
-- ราคาอาหารริมทางไม่ต่างจากไทยมากนักแต่ถ้าเทียบเชิงปริมาณและคุณภาพแล้วคิดว่ามีราคาถูกกว่าของไทยประมาณ 20 เปอร์เซนต์ เรื่องที่น่ารำคาญใจเมื่อไปกินอาหารที่ฟู๊ดคอร์ตคือ คนขายน้ำจะขู่เข็ญให้สั่งน้ำ ถ้าปฏิเสธมักจะขู่ว่านี่เป็น cafe ยังไงก็ต้องสั่งน้ำดื่ม ผมเคยสั่งตัดรำคาญไปครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปที่ตลาดสด penang plaza ก็มาขู่เข็ญอีก บอกปฏิเสธไป ก็ตามตื้ออีกว่าน้ำแค่ขวดละ 1 ริงกิตทำไมงกจังสั่งของกินร้านอื่นตั้งเยอะแยะ ผมรำคาญมากเลยตอบเป็นภาษากวางตุ้งไปว่า "เส็กไมฝัน อึ่มหยำโสย" (โซ้ยก๋วยเตี้ยวอยู่ ไม่ดื่มน้ำ) พวกไปเลย หลายร้านพูดฟังภาษาไทยได้กะท่อนกะแท่น คิดก่อนนินทา
อีกครั้งเจอเร้าขายของคือร้านขายของฝากขนมอบ ขึ้นป้ายว่าอายุเก่าแก่ร่วมร้อยปี จับของชิ้นไหนมาดู พวกจะจับใส่ถุงอยู่นั่น ตอนต้นว่าจะซื้อหลายกล่องฝากเพื่อน หงุดหงิดเลยซื้อแค่สามกล่องพอเป็นพิธีก่อนกลับ
-- เตรียมเต้าปลั๊กเสียบไฟสามขาใหญ่ไปด้วย ผมไม่ได้เอาไปได้แต่ยืมจากพนักงานโรงแรม
-- รถที่ขับในเกาะแม้ในถนนแคบเล็กแต่ก็ขับเร็วไม่ค่อยหยุดรถให้คนข้ามได้ง่าย อย่างมากก็แค่ชะลอรถให้ข้ามเอง เขาคงเห็นว่าให้ข้ามบนทางข้ามม้าลาย ซึ่งมีเฉพาะตรงทางแยกไฟจราจรเท่านั้น
-- ถามคนขายของฝากว่าแม็กเน็ตรูปตาม street art ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ไหม คนขายตอบว่าไม่เสียเพราะหลวงเป็นผู้ว่าจ้างให้ศิลปินวาดเอง น่าสนใจดี
-- แนะนำร้านบุฟเฟใต้ตึก Komtar ที่ร้านนี้เลย มีอาหารให้เลือกหลายสิบอย่าง ทั้งปลาไก่ ผักผลไม้ ชิ้นโตๆ ปลายกตัว แค่ตักใส่จาน เข้าคิวให้คนขายตีราคาไม่แพง ไก่ทอดเปรี้ยวหวานเนื้อสะโพกสามชิ้น 20 ริงกิต ผมแพ็คไปกินที่สนามบิน คาดไม่ผิดเลยเพราะในสนามบินเห็นแต่ร้านขายขนมเท่านั้น