.........(ภาพที่ฝากไว้ในไลน์ หายเกือบหมด) ตื่นเช้าที่โรงแรมที่พักริมทะเลสาบอินเล ชมพระอาทิตย์ขึ้น กินอาหารเช้าเสร็จ ตุ๊กๆ รับไปสถานีรถไฟ Shewnyuang อากาศเย็นจัด หนาวจนน้ำมูกไหล เพราะนั่งบนรถโล่งๆ ถึงสถานีรถไฟเวลา 7.35 น. เป็นสถานีต้นทาง รถไฟจอดรออยู่แล้ว แต่ยังไม่เปิดขายตั๋ว เพราะเวลาออก 8.00 น.

เดินทางไปพะโคโดยรถยนต์ จะเร็วกว่ารถไฟมาก แต่เราชอบศึกษาวิถีชีวิตบนรถไฟ และริมทางรถไฟมากกว่า

มองหาห้องน้ำ คนเฝ้าห้องน้ำเห็นรีบตักน้ำไปใส่ ค่าห้องน้ำ 100 จั๊ท ซื้อตั๋วชั้นอัปเปอร์ไปพะโค คนละ 8,400 จั๊ท เพื่อนร่วมทางเป็นหนุ่มสาวชาวเยอรมัน 2 คู่ เม็กซิกัน 1 คน หนุ่มเม็กซิกันจะไปย่างกุ้ง เขาไปไทยมาแล้ว แต่จะไปอีก ส่วนหนุ่มสาว 2 คู่จะไปพุกาม แล้วต่อไปที่แม่สอด แล้วต่อไปเชียงใหม่

วันนี้เป็นรถธรรมดา วิ่งโคลงเคง เหมือนเรือผ่านช่องเขา ที่ระเบิดหินออก
รถไฟวิ่งวนเป็นบ่วง ลอดสะพาน ข้ามช่องเขา แล้ววนไปขึ้นสะพาน ไต่เขาขึ้นสู่เมืองตากอากาศกะลอว์ จอดที่สถานี Auang Ban ก่อนเข้าสถานมีภาพประทับใจ หน้าบ้านชนเผ่าที่อยู่ริมทางรถไฟ เด็กหญิงอายุประมาณ 3 ขวบ ผิวคล้ำ ยืนไร้เสื้อผ้า ตัวเปียกอยู่บนบันได ทำให้ลุงอมยิ้มอยู่นานทีเดียว กว่าจะคิดได้ว่าลืมกดชัตเตอร์ก็ไม่ทันแล้ว

ที่สถานีอองบัน มีชนเผ่าหลากหลาย เป็นสีสันที่ชวนทัศนา เมื่อผ่านสถานี เห็นคนตักน้ำจากบ่อ โดยใช้เชือกสั้นๆ ทำให้ประหลาดใจว่า ตรงนี้อยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,219 ฟุต ทำไมตาน้ำตื้นจัง
เพื่อนร่วมทางของเราถอดเสื้อออกรับแสงแดด ในขณะที่ตอนเราซื้อตั๋วเราขอที่นั่งไม่โดนแดด คิดถึงตอนนั่งรถไปพุกาม หนุ่มสาวจากสวิสขอแลกที่นั่งด้านหน้าไปด้านหลัง พอเราได้ยินก็ปิ๊งทันที โชเฟอร์ยังไม่ทันรู้เรื่องพวกเราก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เราจึงโชคดีได้นั่งไปกับโคซอมิน ออง อดีตจ่าทหารหม่องน้ำหมาก
เสียงรถไฟฉึกฉัก สลับกับเสียงหวูดวู้ดๆ เหมือนหัวรถจักรดังเป็นระยะๆ ได้บรรยากาศย้อนยุค เพื่อนฝรั่งบอกว่า เหมือนนั่งเรือกลไฟ ท่ามกลางคลื่นลมในทะเล สองข้างทางเป็นภูเขา มีแคนยอนเล็กๆสลับกับผืนดิน ที่ผ่านการไถเตรียมการเพาะปลูก ดูแห้งแล้งสุดสายตา ในขณะที่บางแห่งมีแปลงผักเขียวขจี มีน้ำอุดมสมบูรณ์
รถวิ่งช้ามากพอที่คนจะกระโดดขึ้นลงที่ไหนก็ได้ สาวชาวเยอรมันใส่เสื้อสายเดี่ยวนั่งแบบไม่เกรงใจใครยกขาแยกขาบนล่างสลับกันรบกวนสมาธิลุงมากๆตั้งแต่ออกจากสถานีHeho จนกระทั่งลงกลางทางที่ชุมทางทาซีเพื่อไปพุกามต่อช่างเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับการนั่งตรงข้ามกับแม่ชีสาวเมียนม่าร์ตอนไปมิจินาและแม่บ้านมีระดับขากลับจากมิจินาที่เผลอยกแข้งและแยกขาเฉพาะตอนหลับสนิทเท่านั้น
รถจอดสถานีกะลอว์ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,297 ฟุต แต่ราคาอาหารแค่ครึ่งเดียวของรถไฟสายเหนือเช่นเดียวกับส้มที่สถานีอองบัน ที่ลูกละไม่ถึง 100 จั๊ท แปลกมากอยู่ที่สูง และเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่อาหาร ผลไม้ และน้ำ ราคาถูกกว่าที่อื่นๆที่ผ่านมา
ระหว่างทาง ลุงนึกขึ้นได้ว่าลืมใช้ลูกกลิ้งหลังอาบน้ำ จึงควักขึ้นมามุดเสื้อเข้าไปทา ขณะที่ทาบังเอิญสายตาเห็นภาพฝรั่งนั่งอ้าขา ไม่ระมัดระวังอยู่ด้านหน้า จึงถามป้าว่า ระหว่างเข้าตี่กับหังฝรี่ อันไหนกลิ่นแรงกว่ากัน....อันนี้ใครจะตอบได้น้อ?
รถจอดสถานี มีแต่ภาษาเมียนม่าร์ที่อ่านไม่ออก เป็นตลาดผักและดอกไม้สดๆของชนเผ่า น่าซื้อมากเห็นแล้วคิดถึงบ้านจัง!
ไม่แปลกใจว่าทำไม จึงใช้เวลา 28 ชั่วโมง จากชเวนเหยี่ยงไปพะโค นอกจากรางรถไฟจะวกวน ขึ้นลงเขาแล้ว ยังต้องจอดเป็นระยะๆ ตามผ้าแดงผืนใหญ่ หรือธงแดง ที่โบกขวาง กลางรางมีคนงานใช้ชะแลงช่วยกันงัดรางขึ้นแล้วหนุนด้วยไม้ เพื่อให้รถผ่านไปได้
อ้าว! มีการปล่อยรถผิดคิว เกิดการจ๊ะเอ๋กันบนยอดเขารึเปล่า? ขบวนของเราถูกสั่งให้ถอยกลับไปยังสถานี Khwey Ok ที่ผ่านมา เป็นระยะทาง 6 กม. สักครู่จึงค่อยๆไต่เขากลับขึ้นไป....?
การสกัดหินเลาะริมเขา เพื่อวางรางรถไฟ ส่วนใหญ่ด้านหนึ่งชิดเขาหิน อีกด้านหนึ่งเป็นเหว บางครั้งก็เป็นเขาขนาบ ส่วนที่เป็นดินมีต้นไม้ขึ้น เวลาใบไม้แห้งมีคนโยนก้นมวนยาเส้นลงไป ทำให้เกิดไฟลุกไหม้และเปลวไฟลุกท่วมเข้าไปในตัวรถ ต้องรีบปิดหน้าต่าง
อ้าว! มีการจอดรับผู้โดยสาร ที่ดักขึ้นระหว่างทางด้วย...เหมือนรถโบกเลย! รถไฟจอดรับผู้โดยสารทุกคนที่โบกขึ้นระหว่างขึ้นเขา แต่ถ้าใครจะลงต้องกระโดดลงเอง
รถไฟไทยเมื่อถึงปลายทาง จะมีการทำความสะอาดโดยล้างตัวรถด้านนอก พร้อมปัดกวาดเช็ดถูด้านในทั้งขบวน แต่ของเมียนม่าร์ แค่กวาดก็คงดีที่สุดแล้ว ที่สถานีก็เช่นเดียวกัน พนักงานคงแหวกที่ทำงานเพราะทุกที่มีฝุ่นจับหนาเตอะ ตามมุมหรือใต้หลังคาเต็มไปด้วยหยากไหย้
การทิ้งขยะก็เช่นกัน ชาวตะวันตกโยนเฉพาะสิ่งของย่อยสลายออกจากตัวรถ แล้วเก็บขยะสลายยากใส่ถุง แต่ชาวเมียนม่าร์กินแล้วทิ้งขยะทันที ทั้งในและนอกตัวรถ ความสะอาดของบริเวณที่นั่งจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ได้คำตอบว่าทำไม่รถไฟจึงต้องถอยลงเขา ที่สถานี Zit Zat Reverse นี่เอง คือ ทางขึ้นกับสถานีไปคนละทาง ตอนขึ้นจึงไม่ผ่านสถานีเมื่อขึ้นไปสุดแล้ว จึงต้องถอยไปเข้าสถานี อ้าว! ถอยอีกแล้ว....เมื่อกี้สงสัยว่าคนขับลืมจอดเลยต้องกลับไปใหม่ แต่คราวนี้อะไรล่ะ?
คนที่ชื่นชอบธรรมชาติ เดินทางตามเส้นทางสายนี้จะมีความสุขมาก มองลงไปด้านล่าง มีดอกไม้ให้ดูทุกฤดูฤดูนี้ดอกกาหลงบานขาวโพลนราวกับดอกซากุระ
แย่ละซี....ติดป้าย No smoking แต่จนท.สูบยาเส้นรมผู้โดยสารซะงั้น!
วัฒนธรรมแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของผู้โดยสารมีหลายอย่าง ในขณะที่ชาวตะวันตกสาละวนอยู่กับการอ่านข้อมูล จากแผ่นพับ เอกสาร หนังสือหรือเซฟเป็นเวิร์ดไว้ในมือถือ หรือหาจากเน็ตใช้กล้องบันทึกภาพ จดบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นและพูดคุยเบาๆ พวกเมียนม่าร์จะพูดคุยเสียงดัง เคี้ยวหมาก ปูเสื่อนอน ควักปิ่นโตข้าวขึ้นมาเปิบด้วยมือ บางคนใช้ช้อน ร้องเพลงเสียงดังแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ดีหน่อยตรงไม่บ้วนน้ำหมากบนรถ แต่ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ยกเว้นกระดุมเสื้อใครหลุดก็จะบอกกัน ระวังเรื่องความประเจิดประเจ้อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รถจอดพักที่ชุมทางทาซี 18.30 น. มีคนบอกว่ารถจะออกเวลา 22.00 น. อากาศร้อนอบอ้าว รถไฟจอดนิ่งสนิท พัดลมก็ไม่เปิด ผู้โดยสารที่ต้องเดินทางต่อ ต่างหาอาหารเย็นรับประทาน และเตรียมปูที่นอนบนพื้นอีกตามเคย
การเดินทางยังไม่สิ้นสุด รถขบวนเดิมที่เรานั่งจากสถานีชเวนเหยี่ยงถึงทาซี แล่นด้วยความเร็วเฉลี่ย 12 กม. ต่อชั่วโมง ใช้เวลาไป 10.30 ชม. เป็นขบวนรถที่เราให้ฉายาว่า รถไฟชักเย่อ เพราะมีทั้งเดินหน้าถอยหลัง กระชาก โขยก ขย่ม กระแทกกระทั้นและลากยาว
ที่ชุมทางทาซี มีคนนอนรอรถเหมือนที่มัณฑะเลย์ หนุ่มเม็กซิกันผูกมิตรกับพนักงานที่สถานีโดยการเลี้ยงข้าวและเลี้ยงเบียร์พวกเขาตามขึ้นไปส่งถึง 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 ซื้อน้ำไปให้ 1 ขวด ครั้งที่ 5 เอาถุงขยะที่เขาตั้งใจเอาลงไปทิ้งกลับขึ้นไปให้
เวลา 22.00 น. รถออกจากทาซี ตลอดการเดินทาง วิ่งราวกับม้าพยศ ทั้งห้อเต็มเหยียด ทั้งโขยก ขย่ม จนฝุ่นคลุ้ง เพราะรางรถไฟอยู่บนดิน ซึ่งมีหินน้อยมากไม่เหมือนรางรถไฟไทย พื้นตู้โดยสารมีร่องตามการเรียงไม้กระดาน ฝุ่นจึงฟุ้งขึ้นมาตามร่อง
ตั้งแต่ทาซีถึงพะโคเป็นที่ราบ ที่มีทั้งนาฟางข้าวแห้ง และไร่มันฝรั่ง สลับกัน ดูเหมือนแห้งแล้ง แต่มีน้ำอยู่ทั่วไป ท่ามกลางเปลวแดด มีผู้หญิงเก็บมันฝรั่ง ตามฤดูเก็บเกี่ยว ไม่เห็นว่าพวกเขาทำอย่างไร ต้องขุดหรือไม่ แต่เห็นมีถุงบรรจุมันตั้งกระจายอยู่ทั่วไป
คืนก่อน แม่ค้าท่าทางนักเลง พาแม่บ้านสาวท่าทางมีอันจะกินไปนอนนอนตรงที่นักเดินทางเยอรมนีเคยนั่ง พอตื่นเช้าขึ้นมา เธอเห็นเราทาทะนาคา เธอชวนเราคุยไฟแล่บในขณะที่พวกเราทำหน้าเอ๋อเร๋อ....เธอเองก็งง เราจึงชี้ที่ตัวเองแล้วบอกว่า From Thailand โยเดีย เธอยิ้มแล้วพูดว่า ไทแลงแบงก็ก! เธอควักแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมา 3 ลูกแล้วแบ่งให้เราคนละลูก ส่วนตัวเธอกัดกินหน้าตาเฉย ไม่มีการล้างหรือเช็ด กินไปคุยไป เราก็ได้แต่อมยิ้มเพราะฟังไม่รู้เรื่อง
แม่ค้านักเลง แบ่งผักให้พนักงาน พวกเขาช่วยเธอยกกระสอบผัก ที่ยัดไว้ใต้ที่นั่งทุกที่ในตู้โดยสาร ส่งตามสถานีรายทางก่อนถึงพะโค
เราไม่รู้ว่าสถานีใหญ่ที่รถจอดคือพะโค เพราะเงียบมาก แต่ด้วยความสงสัย เพราะตอนนั้นเป็นเวลาหลัง 11.00 น. แล้ว แม่ค้านักเลงก็เตรียมตัวลง ด้วยความสงสัยจึงถามคนข้างล่างสถานีว่าใช่พะโคหรือไม่ เขาตอบว่าใช่ เราจึงกระวีกระวาดลงไป
ที่สถานีพะโคเจ้า หน้าที่ทุกคนอัธยาศัยดีมาก รีบขายตั๋วให้ ให้เรานั่งที่ห้องรับรองผู้โดยสาร เอามะเขือเทศเชื่อมมาเลี้ยง และเวียนกันไปนั่งคุยเป็นเพื่อน
จนท.คนที่เอามะเขือเทศเชื่อมไปให้ เห็นเราคุยสนุก ไปตามลูกสาวที่กำลังเรียนเรียนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัย มาคุยกับเราด้วย
ลุงไปถามหาห้องน้ำกับผู้หญิงที่เป็นแม่กับลูกสาววัยรุ่น พวกเธอไม่เข้าใจสัญลักษณ์ห้องน้ำของลุง ทำปากฉี่ๆ ก็แล้ว ทำนิ้วกระดกๆก็แล้ว ทำทั้งปากฉี่และนิ้วกระดกแถวๆใต้เอวก็ยังไม่เข้าใจ พวกเธอพาเดินไปหาจนท. แค่บอกว่า Toilet ก็จบ
ก่อนรถเข้าสถานีพะโค(Bago) ไม่รู้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายเพราะกำลังหลับอยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังปั้ก! ต้องกุมหัว คิดว่าจนท.มาปลุกตรวจตั๋ว ที่แท้เป็นมัดห่ออะไรสักอย่างเหมือนแหนมตกใส่หัว คนทำตกใส่ แค่หัวเราะแล้วเดินจากไป มองตามเห็นถาดบรรจุอะไรสักอย่าง ห่อด้วยใบตองสด มัดรวมกัน วางอยู่บนหัวของผู้หญิงขายของ ตอนนั้นลุงหลับอยู่ พอลุงตื่น ป้าเล่าให้ลุงฟัง ลุงจึงบอกว่า อยากรู้จังว่าเธอเคยทำถาดตกบ้างมั้ย?
ที่พะโคแม้ต้องรอตั้งแต่ 11.30-22.30 น. แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีของจนท.โดยเฉพาะคุณ Oo Thay Myint ที่ทั้งช่วยจัดการเรื่องชาร์จแบ็ต และแวะเวียนไปคุยเป็นเพื่อน รวมทั้งหนุ่มน้อยที่พาเราไปพบจนท. เพื่อถามข้อมูลและซื้อตั๋ว ได้แวะเข้าไปหาเพื่อบอกลา หลังจากเลิกงานที่ร้านอาหาร เราได้เสนอแนะคุณอูให้ทำป้าย Tourist Information ติดหน้าห้องด้วย จะได้สะดวกแก่นักท่องเที่ยว ที่อ่านภาษาพม่าไม่ออก เขาก็รับปากด้วยความเต็มใจ
สถานีพะโคเป็นสถานีที่สะอาดที่สุด เท่าที่ได้พบ มีแท็งค์น้ำดื่มสแตนเลสไว้บริการผู้โดยสาร แม้สถานีจะเก่า แต่จนท.ทำงานแข็งขัน คุณอูพาเราไปเข้าห้องน้ำในห้องวีไอพี ที่ใช้รับรองจนท.ระดับสูงของรัฐบาลด้วย ทั้งสถานีมีคุณอูคนเดียว ที่แม้จะนุ่งโสร่งสวมรองเท้าแตะคีบ แต่ไม่สูบบุหรี่ ไม่เคี้ยวหมากและไม่ดื่มของมึนเมา เขาบอกว่าแพ้ และประหยัดเงินดีด้วย อาคารบ้านเรือนที่พะโค เป็นอาคารเก่าแก่สมัยอังกฤษเข้ายึดครอง
สัญญาณเน็ตแรง แต่ต้องชาร์จแบ็ต จึงทำอะไรไม่ได้ กระแสไฟฟ้าอ่อนมาก ขนาดคุณอูย้ายเครื่องเข้าไปชาร์จห้องที่มีกระแสไฟแรงกว่า แต่จนใกล้เวลารถไฟเข้าก็ยังชาร์จไม่เต็ม ต้องประหยัดแบ็ตกันต่อไป
ขณะที่นั่งรอ มีชายชุดขาวมานั่งคุยด้วย เขาเคยอยู่ท่าขนอมเมืองนครฯ คุยกันจนเมื่อยมือ ได้ความว่าเป็นคนทวาย รอรถกลับทวาย ไปนั่งสมาธิที่เจดีย์อินแขวนมา 3 วัน 3 คืนเห็นตัวเลข เลยเอามาฝากงวดวันที่ 1 240/237 วันที่ 16 365/536 ตอนอยู่ท่าขนอมก็ทำแบบนี้แหละ พวกเราขำกลิ้ง....จึงบอกเขาว่า งั้นลองจ้องหน้าแล้วทายซิว่าหน้าแบบนี้จะมีโชคมั้ย....เขาหน้าแดงไม่ยอมทำตาม...อุ๊ต๊ะ! อายุ 65 ยังโสดก็ไม่บอก....ลุงหัวเราะงอหาย น้ำหูน้ำตาไหลกันเลยทีเดียว
รถกำลังจะออกจากสถานีพะโคแล้ว ตั๋วเรา ได้นั่งตู้อัปเปอร์คลาส เป็นที่นั่งเดี่ยว เบาะนุ่ม มีที่พักเท้าด้วย
[img]http://f.ptcdn.info/851/038/000/o09zh1
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยเมียนมาร์ ตอนที่ 7 พะโค (Bago)
เดินทางไปพะโคโดยรถยนต์ จะเร็วกว่ารถไฟมาก แต่เราชอบศึกษาวิถีชีวิตบนรถไฟ และริมทางรถไฟมากกว่า
มองหาห้องน้ำ คนเฝ้าห้องน้ำเห็นรีบตักน้ำไปใส่ ค่าห้องน้ำ 100 จั๊ท ซื้อตั๋วชั้นอัปเปอร์ไปพะโค คนละ 8,400 จั๊ท เพื่อนร่วมทางเป็นหนุ่มสาวชาวเยอรมัน 2 คู่ เม็กซิกัน 1 คน หนุ่มเม็กซิกันจะไปย่างกุ้ง เขาไปไทยมาแล้ว แต่จะไปอีก ส่วนหนุ่มสาว 2 คู่จะไปพุกาม แล้วต่อไปที่แม่สอด แล้วต่อไปเชียงใหม่
วันนี้เป็นรถธรรมดา วิ่งโคลงเคง เหมือนเรือผ่านช่องเขา ที่ระเบิดหินออก
รถไฟวิ่งวนเป็นบ่วง ลอดสะพาน ข้ามช่องเขา แล้ววนไปขึ้นสะพาน ไต่เขาขึ้นสู่เมืองตากอากาศกะลอว์ จอดที่สถานี Auang Ban ก่อนเข้าสถานมีภาพประทับใจ หน้าบ้านชนเผ่าที่อยู่ริมทางรถไฟ เด็กหญิงอายุประมาณ 3 ขวบ ผิวคล้ำ ยืนไร้เสื้อผ้า ตัวเปียกอยู่บนบันได ทำให้ลุงอมยิ้มอยู่นานทีเดียว กว่าจะคิดได้ว่าลืมกดชัตเตอร์ก็ไม่ทันแล้ว
ที่สถานีอองบัน มีชนเผ่าหลากหลาย เป็นสีสันที่ชวนทัศนา เมื่อผ่านสถานี เห็นคนตักน้ำจากบ่อ โดยใช้เชือกสั้นๆ ทำให้ประหลาดใจว่า ตรงนี้อยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,219 ฟุต ทำไมตาน้ำตื้นจัง
เพื่อนร่วมทางของเราถอดเสื้อออกรับแสงแดด ในขณะที่ตอนเราซื้อตั๋วเราขอที่นั่งไม่โดนแดด คิดถึงตอนนั่งรถไปพุกาม หนุ่มสาวจากสวิสขอแลกที่นั่งด้านหน้าไปด้านหลัง พอเราได้ยินก็ปิ๊งทันที โชเฟอร์ยังไม่ทันรู้เรื่องพวกเราก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เราจึงโชคดีได้นั่งไปกับโคซอมิน ออง อดีตจ่าทหารหม่องน้ำหมาก
เสียงรถไฟฉึกฉัก สลับกับเสียงหวูดวู้ดๆ เหมือนหัวรถจักรดังเป็นระยะๆ ได้บรรยากาศย้อนยุค เพื่อนฝรั่งบอกว่า เหมือนนั่งเรือกลไฟ ท่ามกลางคลื่นลมในทะเล สองข้างทางเป็นภูเขา มีแคนยอนเล็กๆสลับกับผืนดิน ที่ผ่านการไถเตรียมการเพาะปลูก ดูแห้งแล้งสุดสายตา ในขณะที่บางแห่งมีแปลงผักเขียวขจี มีน้ำอุดมสมบูรณ์
รถวิ่งช้ามากพอที่คนจะกระโดดขึ้นลงที่ไหนก็ได้ สาวชาวเยอรมันใส่เสื้อสายเดี่ยวนั่งแบบไม่เกรงใจใครยกขาแยกขาบนล่างสลับกันรบกวนสมาธิลุงมากๆตั้งแต่ออกจากสถานีHeho จนกระทั่งลงกลางทางที่ชุมทางทาซีเพื่อไปพุกามต่อช่างเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับการนั่งตรงข้ามกับแม่ชีสาวเมียนม่าร์ตอนไปมิจินาและแม่บ้านมีระดับขากลับจากมิจินาที่เผลอยกแข้งและแยกขาเฉพาะตอนหลับสนิทเท่านั้น
รถจอดสถานีกะลอว์ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,297 ฟุต แต่ราคาอาหารแค่ครึ่งเดียวของรถไฟสายเหนือเช่นเดียวกับส้มที่สถานีอองบัน ที่ลูกละไม่ถึง 100 จั๊ท แปลกมากอยู่ที่สูง และเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่อาหาร ผลไม้ และน้ำ ราคาถูกกว่าที่อื่นๆที่ผ่านมา
ระหว่างทาง ลุงนึกขึ้นได้ว่าลืมใช้ลูกกลิ้งหลังอาบน้ำ จึงควักขึ้นมามุดเสื้อเข้าไปทา ขณะที่ทาบังเอิญสายตาเห็นภาพฝรั่งนั่งอ้าขา ไม่ระมัดระวังอยู่ด้านหน้า จึงถามป้าว่า ระหว่างเข้าตี่กับหังฝรี่ อันไหนกลิ่นแรงกว่ากัน....อันนี้ใครจะตอบได้น้อ?
รถจอดสถานี มีแต่ภาษาเมียนม่าร์ที่อ่านไม่ออก เป็นตลาดผักและดอกไม้สดๆของชนเผ่า น่าซื้อมากเห็นแล้วคิดถึงบ้านจัง!
ไม่แปลกใจว่าทำไม จึงใช้เวลา 28 ชั่วโมง จากชเวนเหยี่ยงไปพะโค นอกจากรางรถไฟจะวกวน ขึ้นลงเขาแล้ว ยังต้องจอดเป็นระยะๆ ตามผ้าแดงผืนใหญ่ หรือธงแดง ที่โบกขวาง กลางรางมีคนงานใช้ชะแลงช่วยกันงัดรางขึ้นแล้วหนุนด้วยไม้ เพื่อให้รถผ่านไปได้
อ้าว! มีการปล่อยรถผิดคิว เกิดการจ๊ะเอ๋กันบนยอดเขารึเปล่า? ขบวนของเราถูกสั่งให้ถอยกลับไปยังสถานี Khwey Ok ที่ผ่านมา เป็นระยะทาง 6 กม. สักครู่จึงค่อยๆไต่เขากลับขึ้นไป....?
การสกัดหินเลาะริมเขา เพื่อวางรางรถไฟ ส่วนใหญ่ด้านหนึ่งชิดเขาหิน อีกด้านหนึ่งเป็นเหว บางครั้งก็เป็นเขาขนาบ ส่วนที่เป็นดินมีต้นไม้ขึ้น เวลาใบไม้แห้งมีคนโยนก้นมวนยาเส้นลงไป ทำให้เกิดไฟลุกไหม้และเปลวไฟลุกท่วมเข้าไปในตัวรถ ต้องรีบปิดหน้าต่าง
อ้าว! มีการจอดรับผู้โดยสาร ที่ดักขึ้นระหว่างทางด้วย...เหมือนรถโบกเลย! รถไฟจอดรับผู้โดยสารทุกคนที่โบกขึ้นระหว่างขึ้นเขา แต่ถ้าใครจะลงต้องกระโดดลงเอง
รถไฟไทยเมื่อถึงปลายทาง จะมีการทำความสะอาดโดยล้างตัวรถด้านนอก พร้อมปัดกวาดเช็ดถูด้านในทั้งขบวน แต่ของเมียนม่าร์ แค่กวาดก็คงดีที่สุดแล้ว ที่สถานีก็เช่นเดียวกัน พนักงานคงแหวกที่ทำงานเพราะทุกที่มีฝุ่นจับหนาเตอะ ตามมุมหรือใต้หลังคาเต็มไปด้วยหยากไหย้
การทิ้งขยะก็เช่นกัน ชาวตะวันตกโยนเฉพาะสิ่งของย่อยสลายออกจากตัวรถ แล้วเก็บขยะสลายยากใส่ถุง แต่ชาวเมียนม่าร์กินแล้วทิ้งขยะทันที ทั้งในและนอกตัวรถ ความสะอาดของบริเวณที่นั่งจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ได้คำตอบว่าทำไม่รถไฟจึงต้องถอยลงเขา ที่สถานี Zit Zat Reverse นี่เอง คือ ทางขึ้นกับสถานีไปคนละทาง ตอนขึ้นจึงไม่ผ่านสถานีเมื่อขึ้นไปสุดแล้ว จึงต้องถอยไปเข้าสถานี อ้าว! ถอยอีกแล้ว....เมื่อกี้สงสัยว่าคนขับลืมจอดเลยต้องกลับไปใหม่ แต่คราวนี้อะไรล่ะ?
คนที่ชื่นชอบธรรมชาติ เดินทางตามเส้นทางสายนี้จะมีความสุขมาก มองลงไปด้านล่าง มีดอกไม้ให้ดูทุกฤดูฤดูนี้ดอกกาหลงบานขาวโพลนราวกับดอกซากุระ
แย่ละซี....ติดป้าย No smoking แต่จนท.สูบยาเส้นรมผู้โดยสารซะงั้น!
วัฒนธรรมแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของผู้โดยสารมีหลายอย่าง ในขณะที่ชาวตะวันตกสาละวนอยู่กับการอ่านข้อมูล จากแผ่นพับ เอกสาร หนังสือหรือเซฟเป็นเวิร์ดไว้ในมือถือ หรือหาจากเน็ตใช้กล้องบันทึกภาพ จดบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นและพูดคุยเบาๆ พวกเมียนม่าร์จะพูดคุยเสียงดัง เคี้ยวหมาก ปูเสื่อนอน ควักปิ่นโตข้าวขึ้นมาเปิบด้วยมือ บางคนใช้ช้อน ร้องเพลงเสียงดังแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ดีหน่อยตรงไม่บ้วนน้ำหมากบนรถ แต่ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ยกเว้นกระดุมเสื้อใครหลุดก็จะบอกกัน ระวังเรื่องความประเจิดประเจ้อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รถจอดพักที่ชุมทางทาซี 18.30 น. มีคนบอกว่ารถจะออกเวลา 22.00 น. อากาศร้อนอบอ้าว รถไฟจอดนิ่งสนิท พัดลมก็ไม่เปิด ผู้โดยสารที่ต้องเดินทางต่อ ต่างหาอาหารเย็นรับประทาน และเตรียมปูที่นอนบนพื้นอีกตามเคย
การเดินทางยังไม่สิ้นสุด รถขบวนเดิมที่เรานั่งจากสถานีชเวนเหยี่ยงถึงทาซี แล่นด้วยความเร็วเฉลี่ย 12 กม. ต่อชั่วโมง ใช้เวลาไป 10.30 ชม. เป็นขบวนรถที่เราให้ฉายาว่า รถไฟชักเย่อ เพราะมีทั้งเดินหน้าถอยหลัง กระชาก โขยก ขย่ม กระแทกกระทั้นและลากยาว
ที่ชุมทางทาซี มีคนนอนรอรถเหมือนที่มัณฑะเลย์ หนุ่มเม็กซิกันผูกมิตรกับพนักงานที่สถานีโดยการเลี้ยงข้าวและเลี้ยงเบียร์พวกเขาตามขึ้นไปส่งถึง 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 ซื้อน้ำไปให้ 1 ขวด ครั้งที่ 5 เอาถุงขยะที่เขาตั้งใจเอาลงไปทิ้งกลับขึ้นไปให้
เวลา 22.00 น. รถออกจากทาซี ตลอดการเดินทาง วิ่งราวกับม้าพยศ ทั้งห้อเต็มเหยียด ทั้งโขยก ขย่ม จนฝุ่นคลุ้ง เพราะรางรถไฟอยู่บนดิน ซึ่งมีหินน้อยมากไม่เหมือนรางรถไฟไทย พื้นตู้โดยสารมีร่องตามการเรียงไม้กระดาน ฝุ่นจึงฟุ้งขึ้นมาตามร่อง
ตั้งแต่ทาซีถึงพะโคเป็นที่ราบ ที่มีทั้งนาฟางข้าวแห้ง และไร่มันฝรั่ง สลับกัน ดูเหมือนแห้งแล้ง แต่มีน้ำอยู่ทั่วไป ท่ามกลางเปลวแดด มีผู้หญิงเก็บมันฝรั่ง ตามฤดูเก็บเกี่ยว ไม่เห็นว่าพวกเขาทำอย่างไร ต้องขุดหรือไม่ แต่เห็นมีถุงบรรจุมันตั้งกระจายอยู่ทั่วไป
คืนก่อน แม่ค้าท่าทางนักเลง พาแม่บ้านสาวท่าทางมีอันจะกินไปนอนนอนตรงที่นักเดินทางเยอรมนีเคยนั่ง พอตื่นเช้าขึ้นมา เธอเห็นเราทาทะนาคา เธอชวนเราคุยไฟแล่บในขณะที่พวกเราทำหน้าเอ๋อเร๋อ....เธอเองก็งง เราจึงชี้ที่ตัวเองแล้วบอกว่า From Thailand โยเดีย เธอยิ้มแล้วพูดว่า ไทแลงแบงก็ก! เธอควักแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมา 3 ลูกแล้วแบ่งให้เราคนละลูก ส่วนตัวเธอกัดกินหน้าตาเฉย ไม่มีการล้างหรือเช็ด กินไปคุยไป เราก็ได้แต่อมยิ้มเพราะฟังไม่รู้เรื่อง
แม่ค้านักเลง แบ่งผักให้พนักงาน พวกเขาช่วยเธอยกกระสอบผัก ที่ยัดไว้ใต้ที่นั่งทุกที่ในตู้โดยสาร ส่งตามสถานีรายทางก่อนถึงพะโค
เราไม่รู้ว่าสถานีใหญ่ที่รถจอดคือพะโค เพราะเงียบมาก แต่ด้วยความสงสัย เพราะตอนนั้นเป็นเวลาหลัง 11.00 น. แล้ว แม่ค้านักเลงก็เตรียมตัวลง ด้วยความสงสัยจึงถามคนข้างล่างสถานีว่าใช่พะโคหรือไม่ เขาตอบว่าใช่ เราจึงกระวีกระวาดลงไป
ที่สถานีพะโคเจ้า หน้าที่ทุกคนอัธยาศัยดีมาก รีบขายตั๋วให้ ให้เรานั่งที่ห้องรับรองผู้โดยสาร เอามะเขือเทศเชื่อมมาเลี้ยง และเวียนกันไปนั่งคุยเป็นเพื่อน
จนท.คนที่เอามะเขือเทศเชื่อมไปให้ เห็นเราคุยสนุก ไปตามลูกสาวที่กำลังเรียนเรียนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัย มาคุยกับเราด้วย
ลุงไปถามหาห้องน้ำกับผู้หญิงที่เป็นแม่กับลูกสาววัยรุ่น พวกเธอไม่เข้าใจสัญลักษณ์ห้องน้ำของลุง ทำปากฉี่ๆ ก็แล้ว ทำนิ้วกระดกๆก็แล้ว ทำทั้งปากฉี่และนิ้วกระดกแถวๆใต้เอวก็ยังไม่เข้าใจ พวกเธอพาเดินไปหาจนท. แค่บอกว่า Toilet ก็จบ
ก่อนรถเข้าสถานีพะโค(Bago) ไม่รู้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายเพราะกำลังหลับอยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังปั้ก! ต้องกุมหัว คิดว่าจนท.มาปลุกตรวจตั๋ว ที่แท้เป็นมัดห่ออะไรสักอย่างเหมือนแหนมตกใส่หัว คนทำตกใส่ แค่หัวเราะแล้วเดินจากไป มองตามเห็นถาดบรรจุอะไรสักอย่าง ห่อด้วยใบตองสด มัดรวมกัน วางอยู่บนหัวของผู้หญิงขายของ ตอนนั้นลุงหลับอยู่ พอลุงตื่น ป้าเล่าให้ลุงฟัง ลุงจึงบอกว่า อยากรู้จังว่าเธอเคยทำถาดตกบ้างมั้ย?
ที่พะโคแม้ต้องรอตั้งแต่ 11.30-22.30 น. แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีของจนท.โดยเฉพาะคุณ Oo Thay Myint ที่ทั้งช่วยจัดการเรื่องชาร์จแบ็ต และแวะเวียนไปคุยเป็นเพื่อน รวมทั้งหนุ่มน้อยที่พาเราไปพบจนท. เพื่อถามข้อมูลและซื้อตั๋ว ได้แวะเข้าไปหาเพื่อบอกลา หลังจากเลิกงานที่ร้านอาหาร เราได้เสนอแนะคุณอูให้ทำป้าย Tourist Information ติดหน้าห้องด้วย จะได้สะดวกแก่นักท่องเที่ยว ที่อ่านภาษาพม่าไม่ออก เขาก็รับปากด้วยความเต็มใจ
สถานีพะโคเป็นสถานีที่สะอาดที่สุด เท่าที่ได้พบ มีแท็งค์น้ำดื่มสแตนเลสไว้บริการผู้โดยสาร แม้สถานีจะเก่า แต่จนท.ทำงานแข็งขัน คุณอูพาเราไปเข้าห้องน้ำในห้องวีไอพี ที่ใช้รับรองจนท.ระดับสูงของรัฐบาลด้วย ทั้งสถานีมีคุณอูคนเดียว ที่แม้จะนุ่งโสร่งสวมรองเท้าแตะคีบ แต่ไม่สูบบุหรี่ ไม่เคี้ยวหมากและไม่ดื่มของมึนเมา เขาบอกว่าแพ้ และประหยัดเงินดีด้วย อาคารบ้านเรือนที่พะโค เป็นอาคารเก่าแก่สมัยอังกฤษเข้ายึดครอง
สัญญาณเน็ตแรง แต่ต้องชาร์จแบ็ต จึงทำอะไรไม่ได้ กระแสไฟฟ้าอ่อนมาก ขนาดคุณอูย้ายเครื่องเข้าไปชาร์จห้องที่มีกระแสไฟแรงกว่า แต่จนใกล้เวลารถไฟเข้าก็ยังชาร์จไม่เต็ม ต้องประหยัดแบ็ตกันต่อไป
ขณะที่นั่งรอ มีชายชุดขาวมานั่งคุยด้วย เขาเคยอยู่ท่าขนอมเมืองนครฯ คุยกันจนเมื่อยมือ ได้ความว่าเป็นคนทวาย รอรถกลับทวาย ไปนั่งสมาธิที่เจดีย์อินแขวนมา 3 วัน 3 คืนเห็นตัวเลข เลยเอามาฝากงวดวันที่ 1 240/237 วันที่ 16 365/536 ตอนอยู่ท่าขนอมก็ทำแบบนี้แหละ พวกเราขำกลิ้ง....จึงบอกเขาว่า งั้นลองจ้องหน้าแล้วทายซิว่าหน้าแบบนี้จะมีโชคมั้ย....เขาหน้าแดงไม่ยอมทำตาม...อุ๊ต๊ะ! อายุ 65 ยังโสดก็ไม่บอก....ลุงหัวเราะงอหาย น้ำหูน้ำตาไหลกันเลยทีเดียว
รถกำลังจะออกจากสถานีพะโคแล้ว ตั๋วเรา ได้นั่งตู้อัปเปอร์คลาส เป็นที่นั่งเดี่ยว เบาะนุ่ม มีที่พักเท้าด้วย
[img]http://f.ptcdn.info/851/038/000/o09zh1
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น