[CR] ลุงกับป้า แบ็คแพ็ค ตะลุย เมียนม่าร์ ตอนที่ 2 : มิตจินา

...                                            ลุงกับป้า แบ็คแพ็ค ตะลุย เมียนม่าร์  ตอนที่ 2 : มิตจินา
                                  
          6 มีนาคม 2558 รถออกจากสถานีมัณฑะเลย์ เวลา 16.30 น. การได้นั่งชั้นธรรมดาเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ถ้าไม่ได้นั่งคงเสียใจที่ไม่ได้รู้รสชาติแบบนั้น ก่อนขึ้นรถมีตำรวจและเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลตู้และที่นั่งให้
          ตำรวจแต่งกายแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ ตรงที่เสื้อเป็นเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อหนา สีฟ้า มีกระเป๋าที่มีฝาปิดที่หน้าอก 2 กระเป๋าเหมือนเสื้อเครื่องแบบของข้าราชการของไทย มีอินธนู ที่บ่า 2 ข้างด้วย แต่ไม่ได้ติดแถบ ป้ายชื่อ หรือ เครื่องหมายใดๆ สวมกางเกงขายาวสีกรมท่า ใส่รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ
          ส่วนเจ้าหน้าที่สวมเสื้อยืดโปโลแขนสั้น สีน้ำเงิน กางเกง และรองเท้า เหมือนกับตำรวจ ทั้งตำรวจและ จนท. ต่างก็เคี้ยวหมาก ถ้าเป็น จนท.หนุ่มๆ ไม่สูบยาเส้น แต่ถ้ามีอายุก็ทั้งเคี้ยวหมากและสูบยาเส้น ทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่ประจำตู้เดินตามคนตรวจตั๋วทุกครั้ง ซึ่งเขาจะตรวจตั๋วทุกๆ 3-5 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วแต่คนตรวจตั๋วจะขึ้นที่สถานีไหน ดังนั้น การเดินทางที่ใช้ระยะเวลา 22 ชั่วโมง เราจึงได้รับการตรวจตั๋ว 6 ครั้ง การการตรวจตั๋วทุกครั้งต้องควักพาสปอร์ตให้ดูด้วย เพราะคนตรวจตั๋วไม่ใช่คนเดิม
          การแต่งกายของนายตรวจตั๋ว แตกต่างจากตำรวจ และเจ้าหน้าที่ พวกเขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว มีทั้งแขนสั้นและแขนยาว กางเกงสีเดียวกับตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ส่วนรองเท้าก็เหมือนกัน พวกเขาเคี้ยวหมากทุกคน
          ตำรวจรถไฟเป็นคนหนุ่ม อายุน่าจะไม่เกิน 40 ปี เขาเคี้ยวหมาก แต่ไม่เห็นเขาสูบยาเส้น เขามักจะแวะเวียนไปคุยกับเรา แม้ว่าเขาจะสื่อสารไม่คล่อง แต่เขาก็พยายามชวนคุย และมีความเป็นมิตรมาก เขาคงเห็นเราเป็นคนต่างประเทศจึงเป็นห่วงเราเป็นพิเศษ              
                                        
          ที่นั่งบนรถไฟเมียนม่าร์ชั้นธรรมดา บนรถด่วน เป็นไม้ เหมือนกับรถไฟไทยยุคดั้งเดิม รถวิ่งเสียงดัง โดด เด้ง จนผู้โดยสารกระดอนขึ้นลงตามจังหวะที่รถไฟวิ่ง สภาพรางรถไฟที่เหมือนกับวางอยู่บนดินอัด มีหินเหลืออยู่ไม่มากเท่าที่ควร ไม้หมอนทรุดตามสภาพพื้นที่ผ่านการใช้งานมานาน พขร. (พนักงานขับรถ) เก่งมาก สามารถบังคับให้ล้อรถไต่ไปบนรางได้ตลอดรอดฝั่ง
         ตอนอยู่ในห้องน้ำเป็นช่วงที่ทำให้ป้าหลอนอยู่หลายเดือน เพราะ ไม่ว่าจะนั่ง หรือ ยืน ก็ไม่มีความสุข นอกจากจะโดด เด้ง แล้วยังเหวี่ยง สะบัดซ้าย ขวา หน้า หลัง และห้องน้ำก็มีน้ำเฉพาะตอนรถออกจากสถานีต้นทาง หลังจากนั้น คนเข้าต้องทำใจว่า เป็นห้องบำบัดทุกข์ ไม่ใช่ห้องสุขา
                                        
          ตามปกติที่สถานีมีซุ้มน้ำดื่ม ออกจากสถานีถ้ามีถนนข้ามทางรถไฟ มีไม้กั้นไม่ให้ยวดยานบนถนนวิ่งไปชนรถไฟ ที่กั้นรถไฟตรงทางข้ามเป็นไม้ ใช้คนโยกในแนวราบ แต่คนเมียนม่าร์ใจเย็น ไม่มีใครเข้าใกล้รางรถไฟในเวลาที่รถไฟแล่นไปบนราง
                                        
          ข้างทางรถไฟที่มีบ้านเรือน มีขยะไปตลอดทาง บ้านเรือนจำนวนไม่น้อยเป็นไม้ขัดแตะ รั้วก็เป็นไม้ขัดแตะ หลังคามีตั้งแต่ใบตาล จนถึงสังกะสี มีลักษณะเหมือนกับบ้าน เรือนของไทยในชนบท ยุคดั้งเดิม ต่างกันที่ บ้านเรือนไทยไม่มีเจดีย์สลับเป็นระยะ เหมือนในเมียนม่าร์ นอกจากทุกชุมชนจะมีเจดีย์แล้ว บ้านที่มีฐานะโดดเด่นก็มีเจดีย์อยู่ในบริเวณบ้านด้วย
                                        
          ช่วงเดือนมีนาคมเป็นเวลาที่ดอกนางแย้มบาน 2 ข้างทางรถไฟจึงมีดอกนางแย้ม สีขาวสลับกับกลีบเลี้ยงสีแดง และใบสีเขียว น่าลงไปเดินเล่น กลิ่นคงจะหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ
          กลางทุ่งนาเป็นพืชหมุนเวียนที่ไม่ต้องการน้ำมาก ฝูงวัว ควาย กำลังทยอยเดินกลับบ้าน ตามเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า มีควันไฟลอยอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะตอนพลบค่ำ มีควันไฟจากการประกอบอาหารลอยขึ้นตามบ้านเรือนตลอดทาง
          ผู้โดยสารที่อยู่บนรถคุยกันเสียงดัง ตะโกนคุยกันเหมือนกับอยู่ในหมู่บ้าน ไม่ได้รู้สึกว่า คนอื่นๆ เขาไม่ได้รับรู้เรื่องอะไรด้วย  รถยิ่งแล่นไปไกล ผู้โดยสารก็ยิ่งขึ้นมาเพิ่ม จนที่นั่งไม่พอกับจำนวนผู้โดยสาร พวกเขาเตรียมเสื่อสำหรับปูนั่ง และปูนอน ทั้งช่องว่างระหว่างที่นั่ง และช่องว่างสำหรับเดิน เมื่อใกล้เวลามื้ออาหาร มีพ่อค้า แม่ค้า ขึ้นมาขายอาหาร ผู้หญิงขายข้าว ผู้ชายขายน้ำ หมาก และบุหรี่
           แม่ค้าขายข้าว และอาหาร ทั้งบนรถไฟ และตามสถานี มีผ้าพันไว้ตรงกลางศีรษะ ก่อนวางตะกร้า กะละมัง หรือถาดหนักๆ ทับลงไป พวกเธอข้างทรงตัวดีมาก ไม่ว่า รถจะ กระโดด เด้ง เหวี่ยง สะบัด อย่างไร พวกเธอยังคงประคองตัวอยู่ได้โดยของยังวางอยู่ที่เดิม พอมีลูกค้า ก็ยกลงมาตั้งขาย ถุงที่ใส่ข้าว และกับ เป็นถุงก๊อบแก๊บชนิดบางเฉียบใบเล็กขนาด 4 x 6 นิ้ว แม้ว่าทั้งข้าวและกับจะเป็นของร้อนก็ตาม พวกเขากินข้าวเจ้า ส่วนกับข้าวเป็นของทอด กับ ผัด ที่มันมาก มีผัดผักที่เป็นของดองเค็ม 1 อย่าง ส่วนคนที่ขายอยู่ตามสถานี มีเทียนเล่มใหญ่จุดไฟไว้ตรงกลางของที่ขาย เพื่อส่องให้เห็นว่าขายอะไร
          ไข่ต้มขายในราคาฟองละ 200 จั๊ท 3 ฟอง 500 จั๊ท ของขบเคี้ยวที่มีขาย เป็นพวกถั่วทอดและข้าวพอง มะม่วงดอง มะปรางดอง เป็นของที่เราเห็นในเมืองไทย แตกต่างที่รูปแบบ สีสัน และบรรจุภัณฑ์
          เมื่อความมืดโรยตัวครอบคลุมทุกสารทิศ ก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรข้างทาง นอกจากความเวิ้งว้าง และแสงไฟริบหรี่ที่มองเห็นในระยะไกล บางแห่งรถต้องวิ่งผ่านเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง และสะเก็ดไฟที่ปลิวขึ้นจากไฟที่กำลังลุกโชน ไม่แน่ใจว่าเป็นการจุดไฟเผาป่า หรือ เกิดจากการทิ้งก้นของมวนยาเส้น อากาศที่แห้งทำให้ใบไม้เป็นเชื้อเพลิงที่ดี
          ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเย็น เพราะรถวิ่งขึ้นสู่ทางเหนือของประเทศ  ผู้โดยสารส่วนใหญ่หลับสนิท ทั้งที่อยู่บนที่นั่ง และอยู่บนพื้นทั้งๆที่รถไฟก็เขย่า ขย่ม และส่ายเป็นระยะ แต่ละตู้มีตำรวจประจำจึงไม่มีใครกังวลกับสัมภาระที่ไม่ได้วางไว้กับตัว เพราะคนแน่น ของที่นำติดตัวก็สารพัด ทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า และกระสอบบรรจุสินค้าทางการเกษตร ประเภทหอม กระเทียม ถั่ว มันฝรั่ง แต่ละอย่างล้วนมีน้ำหนัก
          พออากาศเย็นก็ทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย คนที่นอนห่มผ้าอยู่บนพื้นอุ่นสบาย จึงไม่รู้สึกว่า กว่าคนที่เดินไปเข้าห้องน้ำ จะผ่านไปได้แต่ละคนทุลักทุเลมากมายแค่ไหน ทั้งข้าม ทั้งคร่อม เอียงตัว เอามือเหนี่ยวพนักพิง แล้วเหวี่ยงขากับตัวข้าม ทั้งขาไปและขากลับ พวกเขาและเธอจะลุกขึ้นก็ต่อเมื่อมีการตรวจตั๋ว เพราะเจ้าหน้าที่จะปลุกให้ทุกคนลุก
          ตอนใกล้สว่างเริ่มมีอาหารขึ้นมาขาย มีเสียงพ่อค้า แม่ค้า ร้องบอกประเภทของอาหาร และราคา ดังสลับกันอยู่เป็นระยะ ใครที่ยังสามารถหลับอยู่ได้แสดงว่า ได้รับการฝึกมาอย่างดี จนมีสมาธิในการหลับ ยอดเยี่ยม เขาขายข้าวกันจนถึงเวลาประมาณ 09.00 น. ก็หายไป กลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งเวลาประมาณ 11.00 น. ขายไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาประมาณ13.00 น. คนขายข้าวก็หายไป เหลือแต่น้ำและของขบเคี้ยวเหมือนเดิม มีคนขึ้นมาแจกสินค้าทดลอง และสาธิตการใช้ให้ดู ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พวกเขาก็คุยกันเหมือนกับสนิทสนมกันมานาน ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก
          เวลา 14.00 น. รถไฟเริ่มแล่นช้าลง มีคนกระโดยขึ้นรถไฟมา ตู้ละ 2-3 คน เป็นพวกมอเตอร์ไซด์รับจ้างขึ้นมาจับแขกบนรถไฟ ทุกคนพูดภาษาถิ่น คนที่มาหาเราก็เช่นกัน แต่พอได้ยินป้าถามเป็นภาษาอังกฤษ เขาก็เปลี่ยนภาษาพูด ป้าบอกว่า ไปเจดีย์กลางน้ำชเวมิตซุ (Shwe Myint Zu Pagoda) เขาบอกว่า ได้เลย คนละ 700 จั๊ท ป้ากับลุงสงสัยว่าทำไมมันถูกจัง จึงถามเขาว่า มันไกลมาก ไปมอเตอร์ไซด์ จะได้หรือ ความจริงเขาไม่เข้าใจหรอกว่า ป้าถามอะไร แต่เขาตอบว่า ได้ๆ ๆ ๆ
                                  
          รถเข้าสถานีมิตจินา (Myitkyina Station) เวลา 14.10 น. มิตจินาเป็นเมืองใหญ่มีทั้งมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยครู เพราะเป็นเมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น (Kachin State) ที่มีชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศจีน ทิศใต้ติดรัฐฉาน (Chan State) ส่วนทิศตะวันตกติดต่อกับประเทศอินเดีย
          หนุ่มมอเตอร์ไซด์สะพายเป้ของป้าเดินนำหน้าลงรถ มีหนุ่มอีกคนหนึ่งตรงมาและขอเป้ของลุง ที่แท้เขามาด้วยกัน คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ขึ้นไปจับแขก ส่วนอีกคนหนึ่งรออยู่ที่สถานี ป้าถามย้ำอีกว่า ไปเจดีย์กลางน้ำเขามีที่พักให้ใช่ไหม พวกเขาตอบว่าใช่ เราจึงตามพวกเขาไปที่รถ
          เราเตรียมรับกับสภาพแดดและฝุ่นกันเต็มที่ คาดว่า รถน่าจะวิ่งเป็นชั่วโมง พวกเขาขี่พาเราผ่านกลางเมือง มีแผงขายผลไม้อยู่ย่านหนึ่ง พอขี่ไปได้ประมาณ 5 นาที ก็เลี้ยวลงถนนที่เป็นฝุ่น เรามองเห็นแนวของแม่น้ำ ก็คิดว่า พวกเขาคงพาเราไปตามถนนเลียบแม่น้ำ แต่ไม่ใช่ พวกเขาพาเราเลี้ยวเข้าไปในโรงแรม แห่งหนึ่ง ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อยู่ริมแม่น้ำที่เหมือนไม่ค่อยมีน้ำ เพราะดูแห้งแล้งมาก ทางเข้าและถนนในโรงแรมเพิ่งผ่านการราดน้ำ จึงยังเป็นโคลนอยู่ รถวิ่งตรงไปที่ห้องรับแขกชั่วคราวที่เป็นห้องเล็กๆ ทำด้วยไม้ มีเคาน์เตอร์ที่ยังไม่มีกระจกกั้น แล้วก็จอดและบอกว่า ถึงแล้ว ทั้งลุงและป้า เหวอไปเลย…..
         ที่แท้ มันเป็นโรงแรมริมน้ำ ชื่อ Nanthida Riverside Hotel พนักงานต้อนรับเป็นสาวสวย เหมือนสาวเหนือของไทย ผิวขาว สวยทั้งรูปร่าง หน้าตา เธอทักทายแล้วส่งราคาโรงแรมให้ดู เมื่อป้าถามเธอ เกี่ยวกับการเดินทางไปเจดีย์กลางน้ำ เธอบอกให้รอสักครู่ แล้วเธอก็กดโทรศัพท์ให้คุยเอง เพราะเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เธอให้ป้าคุยเอง ปลายสายบอกว่า ให้รออยู่ตรงนั้น เขาเสร็จธุระแล้วเขาจะมาคุยด้วยตัวเอง
          หนุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้าง บอกให้เราเข้าไปนั่งรอข้างใน พวกเขาจะรออยู่ที่รถ พวกเขาทำหน้าซื่อๆ ทำให้เรารู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้หลอกเรา แต่พวกเขาฟังภาษาไม่เข้าใจต่างหาก เราคิดว่าเขาคงได้เปอร์เซ็นต์ในการพาแขกเข้าโรงแรมบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่เรายังมีความหวังว่า เราจะได้เดินทางไปค้างที่ทะเลสาบตอนค่ำของวันนั้น
           เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที มีชายหนุ่มคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซด์ตรงมาที่ห้องรับแขกของโรงแรม เขาทักทายเราด้วยภาษาอังกฤษ ป้าจำเสียงเขาได้ จึงถามเขาว่า เราจะไปเจดีย์กลางน้ำได้อย่างไร เขาบอกว่า เวลานั้นไม่มีรถไปแล้ว เพราะรถจะออกไปตอนเช้า และช่วงนั้นไม่ใช่เทศกาล จึงหารถไปยาก ถ้าจะไปก็ต้องเหมาไป แต่ถึงอย่างไรก็ไปไม่ทัน เพราะการเดินทางต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ถ้ามืดแล้วก็เดินทางไม่ได้ เพราะเป็นทางที่ไปลำบาก  หน้าแล้งเป็นหลุมเป็นบ่อและเต็มไปด้วยฝุ่น ส่วนหน้าฝนก็เป็นโคลน ตามปกติ คนที่จะไปเจดีย์กลางน้ำ ต้องลงรถไฟที่สถานีโฮปิน แล้วต่อรถโฟร์วีลไปประมาณ 3 ชม.แล้วลงเรือไปอีกประมาณ 20 นาที
************ยังมีต่อ*******
ชื่อสินค้า:   เมียนม่าร์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่