สวัสดีเพื่อนๆนักกินชิมช้อปแห่งบ้านพันทิปนะคะ ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า ตั้งกระทู้รีวิวอาหารนี้เป็นกระทู้แรกหลังจากผ่านศึกธนาคารมา (จริงๆตั้งใจเขียนเฉพาะด้านอาหารและโรงแรมที่ตัวเองถนัด เอาน่ะ มาแล้วนี่นาาา...) งั้นเริ่มเลยดีกว่าเนอะ...
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่รีวิวช่วงกินเจพอดีเลยยยยย เที่ยวคืนเสียด้วย ทรมานกันน่าดู (แหะๆ) พอดีว่าเราเป็นคนวิจารณ์อาหารตามความเป็นจริงประกอบกับความรู้ด้าน Kitchen & Culinary เพื่อนก็เลยเชิญ(กระทันหันเชียววว) บอกว่าไปรีวิวให้หน่อย (ไปส่วนตัวหลายรอบแล้วแต่เพื่อนไม่รู้) ก็เลยตอบตกลงไปทานกลางวันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ในวันเกิดอายุ 23 พอดี (แหะๆ จริงๆสลับกันนิดนึง อย่าเอ็ดไป ...ชู่ววววส์) เป็นร้านอาหารอิตาเลียนน่ารักๆ บรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการไปคนเดียว ไปเป็นคู่ ไปออกเดทและไปกับเพื่อน (จะบอกทำไมเนี่ยย 55)
การเดินทาง ร้านตั้งอยู่ซอยร่วมฤดี ถ้านั่ง bts ก็ลงที่เพลินจิต Exit 4 ปากซอยจะเป็นอาคารQ House เดินไปเรื่อยๆ ก็จะอยู่เกือบกลางซอยซ้ายมือ รถยนต์ก็มีที่จอดค่ะ
ร้านนี้มีชื่อว่า
Italics (อิทาลิกส์) มีสโลแกนเก๋ๆว่า
be Green, be Local, be Organics, be 'Italics' แปลง่ายๆโดยรวมคือ ใช้วัตถุดิบต่างๆคัดสรรมาจากธรรมชาติล้วนๆและรสชาดก็ไม่ธรรมดา เปิดทุกวันตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ถ้าจะไปกันเยอะๆก็ควรโทรจองที่เบอร์ 022532410 ก่อนนะคะเพราะบางทีร้านเต็ม ตัวร้านถ้ามองจากด้านนอกก็ดูเรียบๆ มีโต๊ะให้นั่งด้านนอกเช่นกัน บรรยากาศด้านในโดยรวมๆจะออกแนวนี้ตามรูปค่ะ โดยจะมีห้องเก็บซิการ์ชนิดต่างๆด้วยนะคะ คงถูกใจคนรักซิการ์อยู่ไม่น้อย โทนสีตัวห้องอาหารออกแนวอบอุ่น ขนาดกำลังพอดีถ้าจะจัดปาร์ตี้ส่วนตัวเช่น งานวันเกิด งานเลี้ยงต่างๆ
พูดถึงเมนู ตัวเล่มเมนูทำเป็นสไตล์หนังสือพิมพ์ ซึ่งตอนนี้มีแต่ภาษาอังกฤษ ได้แนะนำให้มีภาษาไทยไปแล้ว คาดว่าเร็วๆนี้คงจะมีแปลไทยด้วย ใครที่กลัวสั่งผิดสั่งถูกก็ไม่ต้องกังวลนะคะ สามารถสอบถามจากบริกรได้เลยค่ะ ไม่ต้องอายว่าจะสั่งผิดถูกเพราะไม่ใช่ภาษาหลักของเรา (เคยไปที่ร้านหนึ่งแถวอโศก เพื่อนเราสั่งโดยอ่านไม่เป็น คำว่า Capresse ซึ่งจริงๆจะอ่านว่า คาเปรเซ่หรือคาปรีเซ่ เพื่อนเรียก คาเปรส พนักงานทำหน้าขำๆใส่พร้อมพูดย้ำๆเสียงดังจนโต๊ะข้างๆมอง เพื่อนเรารู้สึกอายว่า คาปรีเซ่สลัด สองสามรอบ จนเราละจากเมนูมองหน้าพนักงานเลย เรื่องพวกนี้สำคัญมากๆนะคะ เจ้าของร้านหรือผู้จัดการควรอบรมและฝึกพนักงานให้ดีว่าควรให้เกียรติลูกค้า เพราะนั่นคือการทานครั้งแรกและครั้งสุดท้าย พนักงานขับไล่ลูกค้าโดยทางอ้อมค่ะ)
เอาล่ะ มาดูกันว่าเมนูมีอะไรน่าสนใจบ้าง อาหารและของว่างมีทั้งหมด 4 หน้า เครื่องดื่มและไวน์แยกแผ่น 1 หน้า อีกด้านเป็นโฆษณาในส่วนของโรงแรมและที่พักในเครือ

หลังจากนั่งเม้ามอยฝอยกันกับเพื่อนชาวต่างชาติอีกสองคน สุดท้ายก็เลือกสั่งได้ตามนี้เลยค่ะ (สามคนสั่งกันเยอะมากกกกกก อันเนื่องมาจากเป็นวันเกิดก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ เต็มที่กันไปเลยทีเดียว สุดท้ายผู้หญิงอีกสองกินจนผู้ชายคนเดียวงงไปเลยยย 55) สองจานแรกมาจากเซ็คชั่น Insalata หรือสลัดนั่นเอง เราเลือก Buratta Caprese ซึ่งเป็นเมนูที่มีชีสมอสซาเรลลาอิตาเลียนสดซึ่งมาพร้อมกับมะเขือเชอรี่คลุกเคล้าด้วยซอสเพสโต (โหระพาฝรั่งผสมถั่วไพน์นัท) รสชาดนี่อร่อยจนหยุดทานไม่ได้เลยทีเดียว รู้สึกได้ถึงความสดใหม่มากๆของชีส นุ่มลิ้นคุ้มค่ากับราคา 390.-

ส่วนจานที่สองก็เป็น Smoked Sausage & Lentils จานนี้หลักๆจะมีผักร็อกเก็ต (เป็นพืชผักที่อยู่ในตระกูลกะหล่ำ brassicaseae) และถั่วเลนทิลคลุกเคล้ากับซอสบัลซามิก (Balsamica Vinegar=น้ำส้มสายชูจากน้ำองุ่น) พอดีว่าไส้กรอกรมควันหมด ก็เลยเปลี่ยนเป็นเป็ดรมควันแทน อร่อยไม่แพ้กัน เนื้อเป็ดรมควันก็ชมพูสวยกำลังดี (คนเอเชียส่วนมากไม่ชินก็จะ complain ว่าเป็ดไม่สุก ซึ่งจริงๆแล้ว เมนูอาหารฝรั่งต่างๆส่วนมากที่ใช้เป็ดรมควัน จะต้องเป็นสีชมพูอ่อนๆ ไม่สุกมากเพราะจะแห้งไป เช่นเป็ดทอดซอสส้ม ก็ไม่ควรสุกจนเนื้อแห้งด้าน) นั่นงัย อ่านไปน้ำลายสอกันไปหมดแล้วค่าาาาา^^ ลืมบอกว่าจานนี้ราคา 250.-
จานที่สาม มาจากเซ็คชั่น Primi หรือแปลว่า First ก็คือจานแรกก่อนจานหลัก (ชาวต่างชาตินิยมทานกันเป็นคอร์สๆ ทั้งคอร์สเล็กคอร์สใหญ่ แล้วแต่ว่ามีเทศกาลงานพิเศษอะไรหรือเปล่า โดยจะมีทั้งล้างปาก ทานเล่น ซุป สลัด จานแรก จานหลัก อะไรประมาณนี้ค่ะ เอาไว้จะ รีวิวให้ดูนะคะ) อันนี้พวกเราสั่ง Eggplant & Ricotta Lasagne หรือก็คือ ลาซานญ่ามะเขือม่วงกับชีสริค็อตต้า ส่วนผสมหลักๆก็ตามชื่อ ผสมกับไพน์นัท (Pine Nuts = ถั่วเมล็ดสน) และ basil (ใบกระเพราะฝรั่ง) การจัดวางน่ารักมาก มาเป็นหม้อเล็กๆ วางบนแผ่นหิน ตกแต่งด้วยด้วยผักร็อกเก็ต เห็นเล็กๆแบบนี้ก็เยอะมากเลยทีเดียว ทานสองสามคนได้สบาย ราคาก็แค่ 350.- เท่านั้นค่ะ
ตามมาด้วยจานที่สองจากเซ็คชั่น Pizzas (เริ่มอิ่มแฮะ แต่สั่งไปหมดแล้ว ผู้หญิงสองคนสู้ขาดใจ แฮ่!) อันนี้ฟังดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาตรงที่ เตาไม้อบพิซซ่านั้นทำมาจากต้นยูคาลิปตัส (Eucalyptus Wood Oven) ซึ่งจะให้กลิ่นไม้หอมมากๆ พวกเราสั่ง Tatufata ส่วนผสมหลักคือ Black Truffle, เห็ดหอม, มาสคาโปเน่ชีส และที่น่าทานกว่าร้านพิซซ่าทั่วไปตรงที่โรยด้วยชีสพาเมซานที่สไลด์มาเป็นแผ่นๆโรยบนแป้งบางกรอบนั่นเอง เครื่องอัดมาเต็ม ชีสเต็มปากเต็มคำ หอมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลและไม้ยูคาลิปตัส น่าจะโดนใจคนรักพิซซ่าและรักชีสในเวลาเดียวกัน อร่อยจนไม่ง้อซอสทั่วไปเลยทีเดียว พิซซ่าจะมีหลายราคานะคะ แต่อันนี้ 490.- ค่ะ ตัวอื่นๆเริ่มต้นที่ 250-390.- (แนะนำให้เค้าทำ delivery ไปแล้วค่ะ ไม่รู้จะมีไหมนะ เพราะว่าชอบตรงแป้งและเครื่องสด อร่อยกว่าแป้งและวัตถุดิบแช่แข็งตามฟาสต์ฟู้ดทั่วไป)
ทานแค่สามคนจริงๆนะเนี่ย ระหว่างนั้นยังสั่งเพิ่ม (เราเปล่าสั่งนะ เราแค่กินไม่หยุด สั่งมาก็กินอ่ะค่ะ 55) นี่เลย Confit Tuna & Chickpeas ชอบจานนี้เพราะทูน่าสดมากๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะคาวได้ รสชาดทานได้เรื่อยๆจริงๆ ถ้าชอบไข่ดิบก็เอาคลุกกับไข่ที่ตอกมาด้วย แต่ถ้าไม่ชอบก็ทานทูน่ากับขนมปังฝรั่งเศส baguette สไลด์บางกรอบแทน
คิดว่าหมดแล้วใช่มั้ยคะ หึๆ ยังค่ะยัง! จานหลักจากเซ็คชั่น Family Recipe to Share (จริงๆแชร์กันตั้งแต่แรก ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆค่ะ) อันนี้พวกเราสั่ง Half Roast Chicken อันนี้ทั่วไปคงคิดว่ากินไก่ย่างหลายดาวดีกว่ามั้ย บอกได้เลยว่าต่างกันนะคะ เมนูไก่นี้ หมักด้วยเครื่องเทศน์ชนิดต่างๆ เมื่ออบมาแล้ว เนื้อนุ่มมากๆไม่แห้งด้าน ชุ่มลิ้นแทบจะไม่ต้องเคี้ยว มาพร้อมกับซอส ไม่แน่ใจว่าเป็นมะขามผสมปาปริก้าหรือเปล่านะคะ (ฮือๆ อันนี้ลืมลองไปเลย เพราะไก่อย่างเดียวอร่อยจนไม่ต้องจิ้มจริงๆ) เครื่องเคียงเป็นมันสดหั่นเต๋าคลุกเคล้าเครื่องเทศน์อบแห้ง ไม่ใช่มันเฟร้นช์ฟรายด์แช่แข็งอมน้ำมันทั่วไป สาวๆที่กลัวอ้วนสามารถทานเล่นแทนข้าวได้เลยค่ะ ทานกับไวน์ขาว กรึ่มลิ้นทั้งวันเลยวันนั้น (อิจฉาทำไมค๊าาาา ชวนครอบครัวและเพื่อนๆไปลองเลยยยยยย)
อาหารทานเกือบหมด จบของคาวต้องตามด้วยหวานสิน่าาาา (เพื่อนๆบอกไม่ทานแล้วนะ อิ่มมาก ก็บอกว่าไม่เป็นไร คนเดียวก็ได้ เพราะขาดอะไรตบท้ายไม่ได้จริงๆ กาแฟก็ดื่มมาก่อนหน้าแล้ว ก็ต้องขนมนี่ล่ะ อ้วนคืออะไร ไม่เป็นไรนะๆ) ..ดูจากสี่จานหลักก็เลือกนี่เลย Banana Ricotta Cheesecake หรือ ชีสเค็กกล้วยหอมริค็อตต้า จากเซ็คชั่น Dolci หรือ Desserts นั่นเอง พอมาถึง ทานคำแรกบอกเลยว่า เป็นชีสเค็กที่ทานได้ไม่หนักเลย ชีสเบาๆ ไม่หวานไป (ไม่ชอบทานหวานเกินไป) รสชาดละมุนปาก (ปกติไม่ค่อยทานเมนูที่เป็นกล้วยหอมยกเว้น Banoffee) ชมแล้วชมอีกจนเพื่อนๆขอชิม สุดท้ายก็กลับมาทานสามคนเหมือนเดิม 55 ถ้าใครหาที่นั่งทานขนมพร้อมจิบชากาแฟ ที่นี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรลองมากๆค่ะ จานนี้ราคาสมเหตุสมผลอยู่ที่ 190.-
นอกจากจะซื้ออาหารแล้ว เรายังชอบซื้อศิลปะบนจานอาหารด้วย (Food is Arts) ฉะนั้นสำหรับเราแล้ว หน้าตา การจัดวาง บรรยากาศร้าน เป็นส่วนประกอบหลักๆให้เราเลือก ส่วนราคาก็ต้องพิจารณากันไปค่ะ ไปกันหลายๆคน นอกจากจะช่วยกันหารแล้วยังได้อิ่มท้องพร้อมอิ่มสุขจากการทานและการอยู่พร้อมหน้า อย่างไรแล้ววันนี้คงฝากรีวิว
ร้านอาหารอิทาลิกส์ 'Italics' ไว้เท่านี้นะคะ อิ่มตั้งแต่เมื่อวานยันวันนี้ อยากให้ไปรีวิวร้านไหนหรือเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอาหารหรือโรงแรมก็ inbox กันมาได้นะคะ เป็นรีวิวแรกก็หวังว่าเพื่อนๆจะชอบแล้วไปลองทานกันนะคะ ชอบไม่ชอบมาเม้าท์กันได้ที่นี่เลยค่ะ <3
แหล่งเพิ่มเติม:
http://www.facebook.com/italics.bangkok
หมายเหตุ: รูปภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Samsung J7
ผู้เขียน:
http://instagram.com/jedabella/
ลิงก์เกี่ยวข้อง:
http://pantip.com/topic/34337672
[SR] 'Italics' - Innovative Italian Restaurant
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่รีวิวช่วงกินเจพอดีเลยยยยย เที่ยวคืนเสียด้วย ทรมานกันน่าดู (แหะๆ) พอดีว่าเราเป็นคนวิจารณ์อาหารตามความเป็นจริงประกอบกับความรู้ด้าน Kitchen & Culinary เพื่อนก็เลยเชิญ(กระทันหันเชียววว) บอกว่าไปรีวิวให้หน่อย (ไปส่วนตัวหลายรอบแล้วแต่เพื่อนไม่รู้) ก็เลยตอบตกลงไปทานกลางวันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ในวันเกิดอายุ 23 พอดี (แหะๆ จริงๆสลับกันนิดนึง อย่าเอ็ดไป ...ชู่ววววส์) เป็นร้านอาหารอิตาเลียนน่ารักๆ บรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการไปคนเดียว ไปเป็นคู่ ไปออกเดทและไปกับเพื่อน (จะบอกทำไมเนี่ยย 55)
การเดินทาง ร้านตั้งอยู่ซอยร่วมฤดี ถ้านั่ง bts ก็ลงที่เพลินจิต Exit 4 ปากซอยจะเป็นอาคารQ House เดินไปเรื่อยๆ ก็จะอยู่เกือบกลางซอยซ้ายมือ รถยนต์ก็มีที่จอดค่ะ
ร้านนี้มีชื่อว่า Italics (อิทาลิกส์) มีสโลแกนเก๋ๆว่า be Green, be Local, be Organics, be 'Italics' แปลง่ายๆโดยรวมคือ ใช้วัตถุดิบต่างๆคัดสรรมาจากธรรมชาติล้วนๆและรสชาดก็ไม่ธรรมดา เปิดทุกวันตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ถ้าจะไปกันเยอะๆก็ควรโทรจองที่เบอร์ 022532410 ก่อนนะคะเพราะบางทีร้านเต็ม ตัวร้านถ้ามองจากด้านนอกก็ดูเรียบๆ มีโต๊ะให้นั่งด้านนอกเช่นกัน บรรยากาศด้านในโดยรวมๆจะออกแนวนี้ตามรูปค่ะ โดยจะมีห้องเก็บซิการ์ชนิดต่างๆด้วยนะคะ คงถูกใจคนรักซิการ์อยู่ไม่น้อย โทนสีตัวห้องอาหารออกแนวอบอุ่น ขนาดกำลังพอดีถ้าจะจัดปาร์ตี้ส่วนตัวเช่น งานวันเกิด งานเลี้ยงต่างๆ
พูดถึงเมนู ตัวเล่มเมนูทำเป็นสไตล์หนังสือพิมพ์ ซึ่งตอนนี้มีแต่ภาษาอังกฤษ ได้แนะนำให้มีภาษาไทยไปแล้ว คาดว่าเร็วๆนี้คงจะมีแปลไทยด้วย ใครที่กลัวสั่งผิดสั่งถูกก็ไม่ต้องกังวลนะคะ สามารถสอบถามจากบริกรได้เลยค่ะ ไม่ต้องอายว่าจะสั่งผิดถูกเพราะไม่ใช่ภาษาหลักของเรา (เคยไปที่ร้านหนึ่งแถวอโศก เพื่อนเราสั่งโดยอ่านไม่เป็น คำว่า Capresse ซึ่งจริงๆจะอ่านว่า คาเปรเซ่หรือคาปรีเซ่ เพื่อนเรียก คาเปรส พนักงานทำหน้าขำๆใส่พร้อมพูดย้ำๆเสียงดังจนโต๊ะข้างๆมอง เพื่อนเรารู้สึกอายว่า คาปรีเซ่สลัด สองสามรอบ จนเราละจากเมนูมองหน้าพนักงานเลย เรื่องพวกนี้สำคัญมากๆนะคะ เจ้าของร้านหรือผู้จัดการควรอบรมและฝึกพนักงานให้ดีว่าควรให้เกียรติลูกค้า เพราะนั่นคือการทานครั้งแรกและครั้งสุดท้าย พนักงานขับไล่ลูกค้าโดยทางอ้อมค่ะ)
เอาล่ะ มาดูกันว่าเมนูมีอะไรน่าสนใจบ้าง อาหารและของว่างมีทั้งหมด 4 หน้า เครื่องดื่มและไวน์แยกแผ่น 1 หน้า อีกด้านเป็นโฆษณาในส่วนของโรงแรมและที่พักในเครือ
หลังจากนั่งเม้ามอยฝอยกันกับเพื่อนชาวต่างชาติอีกสองคน สุดท้ายก็เลือกสั่งได้ตามนี้เลยค่ะ (สามคนสั่งกันเยอะมากกกกกก อันเนื่องมาจากเป็นวันเกิดก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ เต็มที่กันไปเลยทีเดียว สุดท้ายผู้หญิงอีกสองกินจนผู้ชายคนเดียวงงไปเลยยย 55) สองจานแรกมาจากเซ็คชั่น Insalata หรือสลัดนั่นเอง เราเลือก Buratta Caprese ซึ่งเป็นเมนูที่มีชีสมอสซาเรลลาอิตาเลียนสดซึ่งมาพร้อมกับมะเขือเชอรี่คลุกเคล้าด้วยซอสเพสโต (โหระพาฝรั่งผสมถั่วไพน์นัท) รสชาดนี่อร่อยจนหยุดทานไม่ได้เลยทีเดียว รู้สึกได้ถึงความสดใหม่มากๆของชีส นุ่มลิ้นคุ้มค่ากับราคา 390.-
จานที่สาม มาจากเซ็คชั่น Primi หรือแปลว่า First ก็คือจานแรกก่อนจานหลัก (ชาวต่างชาตินิยมทานกันเป็นคอร์สๆ ทั้งคอร์สเล็กคอร์สใหญ่ แล้วแต่ว่ามีเทศกาลงานพิเศษอะไรหรือเปล่า โดยจะมีทั้งล้างปาก ทานเล่น ซุป สลัด จานแรก จานหลัก อะไรประมาณนี้ค่ะ เอาไว้จะ รีวิวให้ดูนะคะ) อันนี้พวกเราสั่ง Eggplant & Ricotta Lasagne หรือก็คือ ลาซานญ่ามะเขือม่วงกับชีสริค็อตต้า ส่วนผสมหลักๆก็ตามชื่อ ผสมกับไพน์นัท (Pine Nuts = ถั่วเมล็ดสน) และ basil (ใบกระเพราะฝรั่ง) การจัดวางน่ารักมาก มาเป็นหม้อเล็กๆ วางบนแผ่นหิน ตกแต่งด้วยด้วยผักร็อกเก็ต เห็นเล็กๆแบบนี้ก็เยอะมากเลยทีเดียว ทานสองสามคนได้สบาย ราคาก็แค่ 350.- เท่านั้นค่ะ
ตามมาด้วยจานที่สองจากเซ็คชั่น Pizzas (เริ่มอิ่มแฮะ แต่สั่งไปหมดแล้ว ผู้หญิงสองคนสู้ขาดใจ แฮ่!) อันนี้ฟังดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาตรงที่ เตาไม้อบพิซซ่านั้นทำมาจากต้นยูคาลิปตัส (Eucalyptus Wood Oven) ซึ่งจะให้กลิ่นไม้หอมมากๆ พวกเราสั่ง Tatufata ส่วนผสมหลักคือ Black Truffle, เห็ดหอม, มาสคาโปเน่ชีส และที่น่าทานกว่าร้านพิซซ่าทั่วไปตรงที่โรยด้วยชีสพาเมซานที่สไลด์มาเป็นแผ่นๆโรยบนแป้งบางกรอบนั่นเอง เครื่องอัดมาเต็ม ชีสเต็มปากเต็มคำ หอมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลและไม้ยูคาลิปตัส น่าจะโดนใจคนรักพิซซ่าและรักชีสในเวลาเดียวกัน อร่อยจนไม่ง้อซอสทั่วไปเลยทีเดียว พิซซ่าจะมีหลายราคานะคะ แต่อันนี้ 490.- ค่ะ ตัวอื่นๆเริ่มต้นที่ 250-390.- (แนะนำให้เค้าทำ delivery ไปแล้วค่ะ ไม่รู้จะมีไหมนะ เพราะว่าชอบตรงแป้งและเครื่องสด อร่อยกว่าแป้งและวัตถุดิบแช่แข็งตามฟาสต์ฟู้ดทั่วไป)
ทานแค่สามคนจริงๆนะเนี่ย ระหว่างนั้นยังสั่งเพิ่ม (เราเปล่าสั่งนะ เราแค่กินไม่หยุด สั่งมาก็กินอ่ะค่ะ 55) นี่เลย Confit Tuna & Chickpeas ชอบจานนี้เพราะทูน่าสดมากๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะคาวได้ รสชาดทานได้เรื่อยๆจริงๆ ถ้าชอบไข่ดิบก็เอาคลุกกับไข่ที่ตอกมาด้วย แต่ถ้าไม่ชอบก็ทานทูน่ากับขนมปังฝรั่งเศส baguette สไลด์บางกรอบแทน
คิดว่าหมดแล้วใช่มั้ยคะ หึๆ ยังค่ะยัง! จานหลักจากเซ็คชั่น Family Recipe to Share (จริงๆแชร์กันตั้งแต่แรก ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆค่ะ) อันนี้พวกเราสั่ง Half Roast Chicken อันนี้ทั่วไปคงคิดว่ากินไก่ย่างหลายดาวดีกว่ามั้ย บอกได้เลยว่าต่างกันนะคะ เมนูไก่นี้ หมักด้วยเครื่องเทศน์ชนิดต่างๆ เมื่ออบมาแล้ว เนื้อนุ่มมากๆไม่แห้งด้าน ชุ่มลิ้นแทบจะไม่ต้องเคี้ยว มาพร้อมกับซอส ไม่แน่ใจว่าเป็นมะขามผสมปาปริก้าหรือเปล่านะคะ (ฮือๆ อันนี้ลืมลองไปเลย เพราะไก่อย่างเดียวอร่อยจนไม่ต้องจิ้มจริงๆ) เครื่องเคียงเป็นมันสดหั่นเต๋าคลุกเคล้าเครื่องเทศน์อบแห้ง ไม่ใช่มันเฟร้นช์ฟรายด์แช่แข็งอมน้ำมันทั่วไป สาวๆที่กลัวอ้วนสามารถทานเล่นแทนข้าวได้เลยค่ะ ทานกับไวน์ขาว กรึ่มลิ้นทั้งวันเลยวันนั้น (อิจฉาทำไมค๊าาาา ชวนครอบครัวและเพื่อนๆไปลองเลยยยยยย)
อาหารทานเกือบหมด จบของคาวต้องตามด้วยหวานสิน่าาาา (เพื่อนๆบอกไม่ทานแล้วนะ อิ่มมาก ก็บอกว่าไม่เป็นไร คนเดียวก็ได้ เพราะขาดอะไรตบท้ายไม่ได้จริงๆ กาแฟก็ดื่มมาก่อนหน้าแล้ว ก็ต้องขนมนี่ล่ะ อ้วนคืออะไร ไม่เป็นไรนะๆ) ..ดูจากสี่จานหลักก็เลือกนี่เลย Banana Ricotta Cheesecake หรือ ชีสเค็กกล้วยหอมริค็อตต้า จากเซ็คชั่น Dolci หรือ Desserts นั่นเอง พอมาถึง ทานคำแรกบอกเลยว่า เป็นชีสเค็กที่ทานได้ไม่หนักเลย ชีสเบาๆ ไม่หวานไป (ไม่ชอบทานหวานเกินไป) รสชาดละมุนปาก (ปกติไม่ค่อยทานเมนูที่เป็นกล้วยหอมยกเว้น Banoffee) ชมแล้วชมอีกจนเพื่อนๆขอชิม สุดท้ายก็กลับมาทานสามคนเหมือนเดิม 55 ถ้าใครหาที่นั่งทานขนมพร้อมจิบชากาแฟ ที่นี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรลองมากๆค่ะ จานนี้ราคาสมเหตุสมผลอยู่ที่ 190.-
นอกจากจะซื้ออาหารแล้ว เรายังชอบซื้อศิลปะบนจานอาหารด้วย (Food is Arts) ฉะนั้นสำหรับเราแล้ว หน้าตา การจัดวาง บรรยากาศร้าน เป็นส่วนประกอบหลักๆให้เราเลือก ส่วนราคาก็ต้องพิจารณากันไปค่ะ ไปกันหลายๆคน นอกจากจะช่วยกันหารแล้วยังได้อิ่มท้องพร้อมอิ่มสุขจากการทานและการอยู่พร้อมหน้า อย่างไรแล้ววันนี้คงฝากรีวิว ร้านอาหารอิทาลิกส์ 'Italics' ไว้เท่านี้นะคะ อิ่มตั้งแต่เมื่อวานยันวันนี้ อยากให้ไปรีวิวร้านไหนหรือเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอาหารหรือโรงแรมก็ inbox กันมาได้นะคะ เป็นรีวิวแรกก็หวังว่าเพื่อนๆจะชอบแล้วไปลองทานกันนะคะ ชอบไม่ชอบมาเม้าท์กันได้ที่นี่เลยค่ะ <3
แหล่งเพิ่มเติม: http://www.facebook.com/italics.bangkok
หมายเหตุ: รูปภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Samsung J7
ผู้เขียน: http://instagram.com/jedabella/
ลิงก์เกี่ยวข้อง: http://pantip.com/topic/34337672