ตัวอย่าง นาย ก. ปฎิบัติธรรมตามสมควร ต่อมาเกิดสภาวะ สติเข้มข้น แก่กล้า ตั้งชัดตลอดเวลา จิตไม่ซัดส่าย ปรุงแต่งเป็นอกุศลหรือฟุ้งซ่านเลย เมื่อรู้สึกว่าตอนนี้เท่าทันต่ออกุศลทั่วไปที่เกิดจากการปรุงแต่งของความคิดตลอดเวลา ก็เข้าใจว่าตัวเองย่อมปฎิบัติได้ถูก และจมจ่ออยู่กับสภาวะเป็นสองสามเดือน
ต่อมาไปล่วงอกุศลกรรมบทเล็กน้อยว่าด้วยข้อเรื่องวาจา ทั้งที่สติก็เท่าทันว่านั่นเป็นอกุศล(แต่ก็ยังพูด) สภาวะสติที่ตั้งเด่น คมชัดนั้นจึงค่อยเสื่อมลง
เมื่อเสื่อมลงแล้ว นาย ก. จึงมีเวลากลับมาทบทวนการปฎิบัติของตน พอมองย้อนกลับไป ถึงค่อยคาดคะเนว่าสภาวะตอนนั้นอาจเป็น อุปัฏฐาน ในวิปัสสนูปกิเลส แต่ตอนที่เกิดสภาวะนั้น นาย ก. ไม่สามารถรู้หรือเท่าทันได้เลย มัวแต่จมจ่อพอใจกับสภาวะที่เกิดและคงอยู่
จึงเกิดคำถามว่า = นักปฎิบัติธรรมเมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้น ทำอย่างไรจึงจะเท่าทันว่าขณะนั้นตัวเองได้ผิดพลาดในการปฎิบัติอยู่ เพราะด้วยสภาวะที่เกิดขณะนั้นยากที่จะรู้ตัวจริงๆ
ขอบคุณครับ
นักปฎิบัติจะสามารถอาศัยอะไร รู้เท่าทันวิปัสสนูปกิเลสที่เกิดขึ้นแก่ตนในช่วงนั้นได้ครับ
ต่อมาไปล่วงอกุศลกรรมบทเล็กน้อยว่าด้วยข้อเรื่องวาจา ทั้งที่สติก็เท่าทันว่านั่นเป็นอกุศล(แต่ก็ยังพูด) สภาวะสติที่ตั้งเด่น คมชัดนั้นจึงค่อยเสื่อมลง
เมื่อเสื่อมลงแล้ว นาย ก. จึงมีเวลากลับมาทบทวนการปฎิบัติของตน พอมองย้อนกลับไป ถึงค่อยคาดคะเนว่าสภาวะตอนนั้นอาจเป็น อุปัฏฐาน ในวิปัสสนูปกิเลส แต่ตอนที่เกิดสภาวะนั้น นาย ก. ไม่สามารถรู้หรือเท่าทันได้เลย มัวแต่จมจ่อพอใจกับสภาวะที่เกิดและคงอยู่
จึงเกิดคำถามว่า = นักปฎิบัติธรรมเมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้น ทำอย่างไรจึงจะเท่าทันว่าขณะนั้นตัวเองได้ผิดพลาดในการปฎิบัติอยู่ เพราะด้วยสภาวะที่เกิดขณะนั้นยากที่จะรู้ตัวจริงๆ
ขอบคุณครับ