คำถาม to Deepseek (
https://chat.deepseek.com/)
ช่วยวิเคราะห์และสรุปประสบการณ์การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาต่อไปนี้ว่าถูกต้องหรือไม่?
…
การใช้งานอานาปานสติกับการทำวิปัสสนาตามแบบญาณ 16 (โสฬสญาณ)
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการเสนอแนวทางหนึ่งในการนำอานาปานสติมาทำวิปัสสนาตามแบบญาณ 16 (โสฬสญาณ)
สมัยก่อนน่าจะประมาณพ.ศ.2534-35 ช่วงนั้นได้ฝึกอานาปานสติตามแบบสวนโมกข์มาบ้างแล้ว
แต่ก็ยังเป็นฌาณต้นๆ ได้เคยอ่านหนังสือวิปัสสนาทีปนี (พระพรหมโมลี, วิลาศ ญาณวโร) ตามแบบ
ญาณ 16 ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเอาอานาปานสติไปใช้ในการฝึกตามแบบญาณ 16 ได้อย่างไร เพราะ
เท่าที่อ่านดูจะเข้าใจว่าถ้าคนที่ฝึกกายคตาสติที่เห็นนิมิตเป็นโครงกระดูกเปลี่ยนแปลงไป หรือคนที่ฝึก
อสุภกรรมฐานแล้วเห็นนิมิตเป็นซากศพเปลี่ยนแปลงไป ถึงจะเห็นตามแบบญาณ 16 ได้ แต่อานาปานสตินี่
ยังนึกไม่ออกว่าจะเห็นลำดับญาณตามได้แบบไหน ก็ได้แต่อ่านแล้วก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อน
แต่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวความรู้ทางปริยัติอยู่ ก็อ่านพระไตรปิฎก และอ่านจากหนังสือต่างๆ ของ
ท่านพุทธทาส ที่เกี่ยวกับอานาปานสติและการดับทุกข์ และจากหนังสือชุดทีปนีของพระพรหมโมลี 6-7 เล่ม
อ่านจากหนังสือปฏิบัติพระกรรมฐาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และอื่นๆ ประปราย เดินดูในร้านหนังสือถ้าเห็น
ชื่อหนังสือธรรมะน่าสนใจก็ซื้อเก็บไว้ก่อนแต่บางทีก็ได้อ่านบ้างไม่ได้อ่านบ้าง แต่ช่วงนั้นก็ทำงานใช้ชีวิต
ตามแบบโลกๆ ทางธรรมมันก็เลยกระท่อนกระแท่นไม่ปะติดปะต่อนัก
พอมาประมาณปีพ.ศ.2545-46 ได้กลับมาอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ก็ได้มาทบทวนการทำอานาปานสติ+พุทโธ
ที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมตามแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้เข้าใจลึกซึ้งจริงจัง ก็ฝึกสมาธิ
แบบอานาปานสติ+พุทโธ อยู่ประมาณ 2-3 เดือน นั่งสมาธิช่วงกลางคืนประมาณ 22-24 น.และต่อด้วยการ
นอนสมาธิมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก+พุทโธจนหลับ (ส่วนใหญ่ก็จะไม่เกิน 3 นาทีหลับ)
ช่วงกลางวันเดินไปเดินมาหรือทำอะไรอยู่ก็จะกำหนดสติรู้ลมหายใจไว้ที่ท้องและรู้ลมระหว่างปลายจมูก
และท้องด้วย จะรู้สึกถึงสายลมและตึงๆ หน่วงที่ท้องตลอด จิตเป็นอุปจารฌาณอยู่ (ช่วงนั่งสมาธิกลางคืน
ส่วนใหญ่จะทรงอยู่ในฌาน 2 นานๆ ทีถึงจะเจอฌาน 3 แบบที่รู้สึกว่าไม่มีลมที่จมูก แต่พอควานหาถึงจะรู้ว่า
มีลมหายใจซึมผ่านทางผิวหนัง) ช่วงนั้นก็จะนำหนังสือวิปัสสนาทีปนีมาทบทวนทำความเข้าใจอีก 2-3 รอบ
ทำให้เข้าใจลำดับสภาวะญาณจากการอ่านทบทวนได้ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นที่เข้าใจจริงๆ ก็รู้สึกแค่
อุทยัพพยญาณที่บอกให้ไปนั่งดูฟองน้ำที่ผุดเกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้น เกิดขึ้น
ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนกับฟองน้ำ
หลังจากช่วงนั้นไม่นานนัก ก็ได้ประสบกับเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ใจสาหัสจากสัตว์เลี้ยงตายกระหัน แบบที่เรา
ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ทุกข์ของจริงการพรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักปรากฏอยู่ตรงหน้า และทุกข์ใจนี้
ก็ไม่ได้คลายลงเลยตั้งแต่ 5-6 โมงเย็นจนถึง 3 ทุ่ม ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าได้เคยทบทวนสมาธิและญาณ 16
จนพอจะเข้าใจหลักการและลำดับสภาวะต่างๆ บ้างแล้ว
ก็เลยหยิบหนังสือมาทบทวนลำดับญาณคร่าวๆ อีกทีแล้วนั่งสมาธิแบบอานาปานสติตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่เที่ยวนี้
ไม่ได้ใช้พุทโธ แต่เอาทุกข์แรงๆ ที่ปรากฎแก่ใจนั้นแหละมากำหนดรู้พร้อมกับมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก
พิจารณาทุกข์ให้เห็นตามหลักไตรลักษณ์ ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย ความ
โศกเศร้ารำพัน ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ขันธ์ 5 ต่างๆ มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเอาแน่เอานอน
อะไรไม่ได้ ถ้ายังต้องเกิดเป็นมนุษย์มันก็ทุกข์ไปอีกแบบ เกิดเป็นเทวดา พรหม มันก็ทุกข์ไปอีกแบบ
ก็พิจารณาวนไปวนมาแบบนั้น ช่วงแรกก็กำหนดตามยากเพราะจิตมันยังดิ้นรนไม่ยอมสงบ ตอนนั้นแค่
ขณิกสมาธิก็ยังรู้สึกว่ายาก พิจารณาไปเรื่อยจนเริ่ม เห็นทุกข์โทษของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก
รำพัน ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก จนจิตเริ่มยอมรับสภาพและเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องมา
เวียนเกิดเวียนตาย เพื่อเจอะเจอกับสภาพแบบนี้อีก ต้องการพ้นไปจากสภาพแบบนี้
จากช่วงแรกๆ ที่กำหนดตัวทุกข์ในขณิกสมาธิอยู่หลายชั่วโมง ไม่เคยรู้สึกว่าถึงอุปจารฌานเลย นั่งพิจารณา
ไตรลักษณ์วนไปวนมาอยู่แบบนั้นตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มถึงตี 4 ก็ประมาณ 6-7 ชั่วโมง
พอถึงจุดที่พิจารณาไปจนเห็นทุกข์โทษเวรภัยของการมาเวียนเกิดนั้นอย่างชัดเจน เหมือนเห็นไฟที่ลุกไหม้
อยู่บนศรีษะ จนเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่ต้องการจะหลุดพ้นไปจากสภาวะนี้ และพยายามหาหนทาง
ที่จะหลุดพ้นไปจากทุกข์ที่เป็นอยู่นี้ เปรียบเสมือนเขียดที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากปากงู หรือปลาที่
พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากข่ายดัก จิตก็ค่อยๆ หยุดการดิ้นรนและค่อยๆ รวมลงๆ ทีละน้อย
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าจะค่อยๆ รวมลงเป็นฌาน 1 จนในที่สุดก็เห็นเป็นสายฟ้าสีออกโทนส้มๆ แลบแปลบปลาบขึ้น
ในจิต ท่ามกลางความมืดมิด ก็เห็นบริเวณรอบๆ สว่างขึ้นชั่วขณะ แล้วทุกอย่างก็สงบลงเหลือแต่ความเงียบงัน
รู้สึกว่าจิตจะสงบเป็นช่วงฌาน 1 ปลายๆ แต่ยังไม่ถึงฌาน 2 (สายฟ้าที่เห็นนั้นจะเหมือนมองดูฟ้าแลบในคืนเดือนมืด
ก่อนที่ฝนจะตกแต่ไม่มีเสียง คล้ายรูปด้านล่างแต่แสงจะออกโทนสีส้มหน่อยๆ ไม่ใช่สีขาว สายฟ้านี้จะขับไล่ความมืด
ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นมาชั่วขณะแล้วก็ดับมืดลงตามสายฟ้าเหลือแต่ความสงบเงียบงัน เป็นการเห็นในจิต
ไม่ได้เห็นด้วยตา) พอเห็นสายฟ้าแลบนี้ก็เลยเกิดปีติหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้เพราะรู้สึกชุ่มชื่นใจขึ้นมาหน่อย
แต่ความทุกข์ที่เคยรู้สึกนั้นคลายลงไปประมาณครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 50-60% ได้
พอจิตสงบลงก็เลยนั่งพิจารณาดูสภาวะที่ผ่านมาอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าความทุกข์ลดลงแต่ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
ก็เลยนั่งกำหนดทุกข์ที่เหลือต่อ พิจารณาไตรลักษณ์วนไปวนมาตามสเต็ปเดิมที่ทำตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่ว่าช่วงนี้ทุกข์
มันก็ลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว ก็เลยกำหนดง่ายขึ้นกว่าช่วงแรกมาก พอพิจารณาไปๆ สักพักน่าจะอีก
ประมาณ 15-20 นาที จิตก็เริ่มสงบรวมเป็นสมาธิประมาณฌาน 1 อีกครั้ง แล้วก็เกิดสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
ขึ้นในจิตเหมือนครั้งแรกอีก ฟ้าแลบได้ขับไล่ความมืดมิดบริเวณรอบๆ ไปชั่วขณะแล้วทุกอย่างก็สงบลง
คราวนี้รู้สึกว่าทุกข์ที่เหลืออยู่แทบจะหมดไปเลย จะรู้สึกว่ายังเหลือค้างอยู่บ้างไม่เกิน 5% เหมือนเป็นแค่เศษซากของ
ความทุกข์ที่เหลือตกค้างไว้ ซึ่งไม่ค่อยจะมีผลและไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว แค่ต้องใช้เวลาสักระยะจึงจะจางหายไป
ตอนนี้ก็รู้สึกสงบเย็นผ่อนคลาย โล่ง จากที่เคยกำหนดจนเหงื่อโทรมกายในช่วงแรกๆ รู้สึกว่าจิตเป็นอิสระจาก
ความยึดถือได้ระดับหนึ่ง และรู้สึกว่าพอผ่านความทุกข์ระดับนี้ได้แล้ว ถ้าเจอคล้ายๆ แบบนี้อีกก็คงจะไม่ทุกข์
ไปมากกว่านี้แล้ว แต่อันที่เห็นฟ้าแลบในจิต 2 ครั้งนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่รู้ว่ามันทำให้จิตคลายจาก
ความยึดถือในขณะนั้นไปได้จนเหลือน้อยมาก อาจจะดับทุกข์ได้เป็นคราวๆ ไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้
การทำวิปัสสนาตามรูปแบบที่เคยทำจริงจังก็เป็นแบบนี้ เอาทุกข์ที่แรงๆ มากำหนดให้เห็นไตรลักษณ์ จนจิต
เกิดความเบื่อหน่ายต้องการที่จะหาทางหลุดพ้นไปจากการเวียนเกิดเวียนตายแบบจริงจัง จุดที่สำคัญคืออารมณ์
ที่ปรากฏช่วงที่มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าจริงๆ ที่จะหาทางออกหรือหนทางหลุดพ้นไปจากทุกข์ และการเวียนเกิด
เวียนตายนี้
จนถึงที่สุดเมื่อหาทางออกไม่เจอแล้วจิตจึงจะหยุดดิ้นรนและปล่อยวาง แล้วจิตจึงจะค่อยๆ รวมลง ลำดับญาณ
อาจจะไม่ได้เห็นละเอียดทุกลำดับตามหนังสือ หรืออาจจะตามเห็นไม่ทันจึงเห็นได้เพียงบางส่วน แต่หลังๆ นี่
พอไปพิจารณาเทียบเคียงกับโพชฌงค์ 7 ดู ก็ว่าลักษณะองค์ธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันใกล้เคียงมาก เพียงแต่
สมัยนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องโพชฌงค์ 7 มากนัก และไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำ แต่สภาวธรรมมันเป็นไปเอง ถ้าใครปฏิบัติ
มาแนวทางนี้ ถ้ามีเหตุให้ต้องใช้งานจริงก็ลองพิจารณาดู อาจจะนำไปปรับใช้ได้บ้าง
ข้อมูลเพิ่มเติม...
อีกจุดหนึ่งที่แตกต่างจากการเข้าฌานทั่วไป ตามที่ส่วนตัวสังเกตเห็น เวลาพิจารณารูปนามไปจนสุดซอย จนรูปนาม
มันขาดสะบั้นลง จังหวะที่จิตจะรวมเป็นฌานนั้น ปรากฏนิมิตเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบท่ามกลางความมืด ก็จะเห็น
รอบๆ สายฟ้าสว่างขึ้นมา จิตก็มี ปีติ สุข ร่วมด้วย รู้สึกว่าจิตปล่อยวางเป็นอิสระ โล่งโปร่งเบาสบายแบบแปลกๆ
แล้วแตกต่างจากการเข้าฌานทั่วๆ ไป หรืออารัมณูปนิชฌานอย่างไร เวลาเข้าฌานและเวลาที่จิตคลายจากฌานทั่วๆ ไป
จะรู้ปีติ สุข ในฌานที่ได้แต่ละระดับ จะไม่มีความรู้อื่น
แต่ถ้าพิจารณารูปนามจน จนรูปนามขาดสะบั้นลงและจิตรวมลงเป็นรูปฌานได้ เวลาออกจากฌานจะเกิดความรู้อื่น
ร่วมด้วย เช่น จะมีการย้อนไปพิจารณาทบทวนรายละเอียดการปฎิบัติตั้งแต่ต้นที่ได้ทำมา และจะเกิดความรู้ว่ากิเลส
ในใจได้ลดลงมากน้อยเท่าใด กิเลสที่ยังเหลืออยู่มากน้อยก็รู้ รู้คร่าวๆ เป็นเปอร์เซ็น เช่น 30% 50% หรือกิเลสเหลือน้อย
ก็รู้ว่าเหลือน้อย เช่น เหลือ 10% 20%
ความรู้นี้มันจะผุดขึ้นในจิตให้ทราบเอง ก็คล้ายๆ เห็นนิมิตแต่เป็นความรู้สึกที่ปรากฏที่ใจลักษณะจะคล้ายๆ เจโตปริยญาณ
ที่รู้ความคิดของตัวเองและผู้อื่น แต่จะเป็นความรู้ชั่วขณะแล้วก็จางหายไป ถ้าเป็นเจโตปริยญาณจะรู้ได้เรื่อยๆ มันจะต่างกัน
ตรงจุดนั้น

[ย้อนรอย] การใช้งานอานาปานสติกับการทำวิปัสสนาตามแบบญาณ 16 (โสฬสญาณ)
ช่วยวิเคราะห์และสรุปประสบการณ์การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาต่อไปนี้ว่าถูกต้องหรือไม่?
…
การใช้งานอานาปานสติกับการทำวิปัสสนาตามแบบญาณ 16 (โสฬสญาณ)
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการเสนอแนวทางหนึ่งในการนำอานาปานสติมาทำวิปัสสนาตามแบบญาณ 16 (โสฬสญาณ)
สมัยก่อนน่าจะประมาณพ.ศ.2534-35 ช่วงนั้นได้ฝึกอานาปานสติตามแบบสวนโมกข์มาบ้างแล้ว
แต่ก็ยังเป็นฌาณต้นๆ ได้เคยอ่านหนังสือวิปัสสนาทีปนี (พระพรหมโมลี, วิลาศ ญาณวโร) ตามแบบ
ญาณ 16 ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเอาอานาปานสติไปใช้ในการฝึกตามแบบญาณ 16 ได้อย่างไร เพราะ
เท่าที่อ่านดูจะเข้าใจว่าถ้าคนที่ฝึกกายคตาสติที่เห็นนิมิตเป็นโครงกระดูกเปลี่ยนแปลงไป หรือคนที่ฝึก
อสุภกรรมฐานแล้วเห็นนิมิตเป็นซากศพเปลี่ยนแปลงไป ถึงจะเห็นตามแบบญาณ 16 ได้ แต่อานาปานสตินี่
ยังนึกไม่ออกว่าจะเห็นลำดับญาณตามได้แบบไหน ก็ได้แต่อ่านแล้วก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อน
แต่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวความรู้ทางปริยัติอยู่ ก็อ่านพระไตรปิฎก และอ่านจากหนังสือต่างๆ ของ
ท่านพุทธทาส ที่เกี่ยวกับอานาปานสติและการดับทุกข์ และจากหนังสือชุดทีปนีของพระพรหมโมลี 6-7 เล่ม
อ่านจากหนังสือปฏิบัติพระกรรมฐาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และอื่นๆ ประปราย เดินดูในร้านหนังสือถ้าเห็น
ชื่อหนังสือธรรมะน่าสนใจก็ซื้อเก็บไว้ก่อนแต่บางทีก็ได้อ่านบ้างไม่ได้อ่านบ้าง แต่ช่วงนั้นก็ทำงานใช้ชีวิต
ตามแบบโลกๆ ทางธรรมมันก็เลยกระท่อนกระแท่นไม่ปะติดปะต่อนัก
พอมาประมาณปีพ.ศ.2545-46 ได้กลับมาอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ก็ได้มาทบทวนการทำอานาปานสติ+พุทโธ
ที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมตามแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้เข้าใจลึกซึ้งจริงจัง ก็ฝึกสมาธิ
แบบอานาปานสติ+พุทโธ อยู่ประมาณ 2-3 เดือน นั่งสมาธิช่วงกลางคืนประมาณ 22-24 น.และต่อด้วยการ
นอนสมาธิมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก+พุทโธจนหลับ (ส่วนใหญ่ก็จะไม่เกิน 3 นาทีหลับ)
ช่วงกลางวันเดินไปเดินมาหรือทำอะไรอยู่ก็จะกำหนดสติรู้ลมหายใจไว้ที่ท้องและรู้ลมระหว่างปลายจมูก
และท้องด้วย จะรู้สึกถึงสายลมและตึงๆ หน่วงที่ท้องตลอด จิตเป็นอุปจารฌาณอยู่ (ช่วงนั่งสมาธิกลางคืน
ส่วนใหญ่จะทรงอยู่ในฌาน 2 นานๆ ทีถึงจะเจอฌาน 3 แบบที่รู้สึกว่าไม่มีลมที่จมูก แต่พอควานหาถึงจะรู้ว่า
มีลมหายใจซึมผ่านทางผิวหนัง) ช่วงนั้นก็จะนำหนังสือวิปัสสนาทีปนีมาทบทวนทำความเข้าใจอีก 2-3 รอบ
ทำให้เข้าใจลำดับสภาวะญาณจากการอ่านทบทวนได้ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นที่เข้าใจจริงๆ ก็รู้สึกแค่
อุทยัพพยญาณที่บอกให้ไปนั่งดูฟองน้ำที่ผุดเกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้น เกิดขึ้น
ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนกับฟองน้ำ
หลังจากช่วงนั้นไม่นานนัก ก็ได้ประสบกับเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ใจสาหัสจากสัตว์เลี้ยงตายกระหัน แบบที่เรา
ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ทุกข์ของจริงการพรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักปรากฏอยู่ตรงหน้า และทุกข์ใจนี้
ก็ไม่ได้คลายลงเลยตั้งแต่ 5-6 โมงเย็นจนถึง 3 ทุ่ม ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าได้เคยทบทวนสมาธิและญาณ 16
จนพอจะเข้าใจหลักการและลำดับสภาวะต่างๆ บ้างแล้ว
ก็เลยหยิบหนังสือมาทบทวนลำดับญาณคร่าวๆ อีกทีแล้วนั่งสมาธิแบบอานาปานสติตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่เที่ยวนี้
ไม่ได้ใช้พุทโธ แต่เอาทุกข์แรงๆ ที่ปรากฎแก่ใจนั้นแหละมากำหนดรู้พร้อมกับมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก
พิจารณาทุกข์ให้เห็นตามหลักไตรลักษณ์ ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย ความ
โศกเศร้ารำพัน ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ขันธ์ 5 ต่างๆ มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเอาแน่เอานอน
อะไรไม่ได้ ถ้ายังต้องเกิดเป็นมนุษย์มันก็ทุกข์ไปอีกแบบ เกิดเป็นเทวดา พรหม มันก็ทุกข์ไปอีกแบบ
ก็พิจารณาวนไปวนมาแบบนั้น ช่วงแรกก็กำหนดตามยากเพราะจิตมันยังดิ้นรนไม่ยอมสงบ ตอนนั้นแค่
ขณิกสมาธิก็ยังรู้สึกว่ายาก พิจารณาไปเรื่อยจนเริ่ม เห็นทุกข์โทษของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก
รำพัน ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก จนจิตเริ่มยอมรับสภาพและเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องมา
เวียนเกิดเวียนตาย เพื่อเจอะเจอกับสภาพแบบนี้อีก ต้องการพ้นไปจากสภาพแบบนี้
จากช่วงแรกๆ ที่กำหนดตัวทุกข์ในขณิกสมาธิอยู่หลายชั่วโมง ไม่เคยรู้สึกว่าถึงอุปจารฌานเลย นั่งพิจารณา
ไตรลักษณ์วนไปวนมาอยู่แบบนั้นตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มถึงตี 4 ก็ประมาณ 6-7 ชั่วโมง
พอถึงจุดที่พิจารณาไปจนเห็นทุกข์โทษเวรภัยของการมาเวียนเกิดนั้นอย่างชัดเจน เหมือนเห็นไฟที่ลุกไหม้
อยู่บนศรีษะ จนเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่ต้องการจะหลุดพ้นไปจากสภาวะนี้ และพยายามหาหนทาง
ที่จะหลุดพ้นไปจากทุกข์ที่เป็นอยู่นี้ เปรียบเสมือนเขียดที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากปากงู หรือปลาที่
พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากข่ายดัก จิตก็ค่อยๆ หยุดการดิ้นรนและค่อยๆ รวมลงๆ ทีละน้อย
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าจะค่อยๆ รวมลงเป็นฌาน 1 จนในที่สุดก็เห็นเป็นสายฟ้าสีออกโทนส้มๆ แลบแปลบปลาบขึ้น
ในจิต ท่ามกลางความมืดมิด ก็เห็นบริเวณรอบๆ สว่างขึ้นชั่วขณะ แล้วทุกอย่างก็สงบลงเหลือแต่ความเงียบงัน
รู้สึกว่าจิตจะสงบเป็นช่วงฌาน 1 ปลายๆ แต่ยังไม่ถึงฌาน 2 (สายฟ้าที่เห็นนั้นจะเหมือนมองดูฟ้าแลบในคืนเดือนมืด
ก่อนที่ฝนจะตกแต่ไม่มีเสียง คล้ายรูปด้านล่างแต่แสงจะออกโทนสีส้มหน่อยๆ ไม่ใช่สีขาว สายฟ้านี้จะขับไล่ความมืด
ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นมาชั่วขณะแล้วก็ดับมืดลงตามสายฟ้าเหลือแต่ความสงบเงียบงัน เป็นการเห็นในจิต
ไม่ได้เห็นด้วยตา) พอเห็นสายฟ้าแลบนี้ก็เลยเกิดปีติหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้เพราะรู้สึกชุ่มชื่นใจขึ้นมาหน่อย
แต่ความทุกข์ที่เคยรู้สึกนั้นคลายลงไปประมาณครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 50-60% ได้
พอจิตสงบลงก็เลยนั่งพิจารณาดูสภาวะที่ผ่านมาอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าความทุกข์ลดลงแต่ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
ก็เลยนั่งกำหนดทุกข์ที่เหลือต่อ พิจารณาไตรลักษณ์วนไปวนมาตามสเต็ปเดิมที่ทำตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่ว่าช่วงนี้ทุกข์
มันก็ลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว ก็เลยกำหนดง่ายขึ้นกว่าช่วงแรกมาก พอพิจารณาไปๆ สักพักน่าจะอีก
ประมาณ 15-20 นาที จิตก็เริ่มสงบรวมเป็นสมาธิประมาณฌาน 1 อีกครั้ง แล้วก็เกิดสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
ขึ้นในจิตเหมือนครั้งแรกอีก ฟ้าแลบได้ขับไล่ความมืดมิดบริเวณรอบๆ ไปชั่วขณะแล้วทุกอย่างก็สงบลง
คราวนี้รู้สึกว่าทุกข์ที่เหลืออยู่แทบจะหมดไปเลย จะรู้สึกว่ายังเหลือค้างอยู่บ้างไม่เกิน 5% เหมือนเป็นแค่เศษซากของ
ความทุกข์ที่เหลือตกค้างไว้ ซึ่งไม่ค่อยจะมีผลและไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว แค่ต้องใช้เวลาสักระยะจึงจะจางหายไป
ตอนนี้ก็รู้สึกสงบเย็นผ่อนคลาย โล่ง จากที่เคยกำหนดจนเหงื่อโทรมกายในช่วงแรกๆ รู้สึกว่าจิตเป็นอิสระจาก
ความยึดถือได้ระดับหนึ่ง และรู้สึกว่าพอผ่านความทุกข์ระดับนี้ได้แล้ว ถ้าเจอคล้ายๆ แบบนี้อีกก็คงจะไม่ทุกข์
ไปมากกว่านี้แล้ว แต่อันที่เห็นฟ้าแลบในจิต 2 ครั้งนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่รู้ว่ามันทำให้จิตคลายจาก
ความยึดถือในขณะนั้นไปได้จนเหลือน้อยมาก อาจจะดับทุกข์ได้เป็นคราวๆ ไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้
การทำวิปัสสนาตามรูปแบบที่เคยทำจริงจังก็เป็นแบบนี้ เอาทุกข์ที่แรงๆ มากำหนดให้เห็นไตรลักษณ์ จนจิต
เกิดความเบื่อหน่ายต้องการที่จะหาทางหลุดพ้นไปจากการเวียนเกิดเวียนตายแบบจริงจัง จุดที่สำคัญคืออารมณ์
ที่ปรากฏช่วงที่มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าจริงๆ ที่จะหาทางออกหรือหนทางหลุดพ้นไปจากทุกข์ และการเวียนเกิด
เวียนตายนี้
จนถึงที่สุดเมื่อหาทางออกไม่เจอแล้วจิตจึงจะหยุดดิ้นรนและปล่อยวาง แล้วจิตจึงจะค่อยๆ รวมลง ลำดับญาณ
อาจจะไม่ได้เห็นละเอียดทุกลำดับตามหนังสือ หรืออาจจะตามเห็นไม่ทันจึงเห็นได้เพียงบางส่วน แต่หลังๆ นี่
พอไปพิจารณาเทียบเคียงกับโพชฌงค์ 7 ดู ก็ว่าลักษณะองค์ธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันใกล้เคียงมาก เพียงแต่
สมัยนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องโพชฌงค์ 7 มากนัก และไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำ แต่สภาวธรรมมันเป็นไปเอง ถ้าใครปฏิบัติ
มาแนวทางนี้ ถ้ามีเหตุให้ต้องใช้งานจริงก็ลองพิจารณาดู อาจจะนำไปปรับใช้ได้บ้าง
ข้อมูลเพิ่มเติม...
อีกจุดหนึ่งที่แตกต่างจากการเข้าฌานทั่วไป ตามที่ส่วนตัวสังเกตเห็น เวลาพิจารณารูปนามไปจนสุดซอย จนรูปนาม
มันขาดสะบั้นลง จังหวะที่จิตจะรวมเป็นฌานนั้น ปรากฏนิมิตเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบท่ามกลางความมืด ก็จะเห็น
รอบๆ สายฟ้าสว่างขึ้นมา จิตก็มี ปีติ สุข ร่วมด้วย รู้สึกว่าจิตปล่อยวางเป็นอิสระ โล่งโปร่งเบาสบายแบบแปลกๆ
แล้วแตกต่างจากการเข้าฌานทั่วๆ ไป หรืออารัมณูปนิชฌานอย่างไร เวลาเข้าฌานและเวลาที่จิตคลายจากฌานทั่วๆ ไป
จะรู้ปีติ สุข ในฌานที่ได้แต่ละระดับ จะไม่มีความรู้อื่น
แต่ถ้าพิจารณารูปนามจน จนรูปนามขาดสะบั้นลงและจิตรวมลงเป็นรูปฌานได้ เวลาออกจากฌานจะเกิดความรู้อื่น
ร่วมด้วย เช่น จะมีการย้อนไปพิจารณาทบทวนรายละเอียดการปฎิบัติตั้งแต่ต้นที่ได้ทำมา และจะเกิดความรู้ว่ากิเลส
ในใจได้ลดลงมากน้อยเท่าใด กิเลสที่ยังเหลืออยู่มากน้อยก็รู้ รู้คร่าวๆ เป็นเปอร์เซ็น เช่น 30% 50% หรือกิเลสเหลือน้อย
ก็รู้ว่าเหลือน้อย เช่น เหลือ 10% 20%
ความรู้นี้มันจะผุดขึ้นในจิตให้ทราบเอง ก็คล้ายๆ เห็นนิมิตแต่เป็นความรู้สึกที่ปรากฏที่ใจลักษณะจะคล้ายๆ เจโตปริยญาณ
ที่รู้ความคิดของตัวเองและผู้อื่น แต่จะเป็นความรู้ชั่วขณะแล้วก็จางหายไป ถ้าเป็นเจโตปริยญาณจะรู้ได้เรื่อยๆ มันจะต่างกัน
ตรงจุดนั้น