จากสถานะการในปัจจุบัน อำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลายได้ถูกยึดครองอันไม่เป็นไปตามที่ รธน.๕๐ บัญญัติเอาไว้ โดยการยึดครองได้กระทำโดยการประกาศการใช้ รธน.๕๐ ให้สิ้นสุดการใช้ลงในวันที่ ๒๒พฤษภาคม ๒๕๕๗ และหลังจากนั้นในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ได้มีพระราชโองการให้นำเอา รธน.ฉบับชั่วคราวมาประกาศใช้จนกว่าจะมี รธน.ฉบับใหม่ ขึ้นประกาศใช้ ทำให้บังเกิดความจริงตามข้อกฎหมายดังนี้ ครับ
๑.) การยึดครองอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย เป็นการได้มาโดยขาดความชอบธรรมทางกฎหมาย ซึ่งจากความเป็นจริงยังคงอยู่คู่กับ รธน.๕๐
๒.) การประกาศให้ รธน.๕๐ สิ้นสุดการใช้ เป็นไปโดยวิธีที่มิชอบด้วย รธน.๕๐ ในขณะที่อยู่ในความชอบธรรม ของการใช้ ฉนั้นการประกาศนี้เป็นลักษณะล้มล้าง รธน.๕๐
๓.) การได้มาซึ่งพระราชโองการ การประกาศใช้ รธน.ฉบับชั่วคราว เป็นการก้าวล่วงและไม่บังควรให้องค์พระประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลายที่ได้มาโดยขาดความชอบธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ รธน.๕๐ ถูกให้สิ้นสุดลงพระราชอำนาจตาม รธน.๕๐ ม.๓ วรรค ๑ ก็ย่อมถูกริดรอนลงไปและขัดพระราชโองการในการประกาศใช้ รธน.๕๐ อีกด้วย รวมทั้งตามข้อแม้ในพระราชโองการที่ทรงโปรดเกล้าให้ประกาศใช้ รธน.ฉบับชั่วคราว ในขณะที่ไม่มี รธน.โดยชอบธรรม ประกาศใช้ หรือจนกว่าจะมี รธน.ฉบับใหม่ขึ้นใช้ แต่มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจในการประกาศให้ รธน.๕๐ เป็นการสิ้นสุดลง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระราชโองการจึงมิอาจรับสนองโดยประกาศใช้ได้ เพราะพระราชโองการให้ประกาศใช้ รธน.๕๐ ยังคงมีความชอบธรรมในการสนองพระราชโองการอยู่นั่นเอง
๔.) บุคคลากรทั้งหลาย ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ภายใต้บทบัญญัติของ รธน.๕๐ การรับรองหรือยอมรับ การยึดครองอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย รวมทั้งการยอมรับการประกาศให้ รธน.๕๐ สิ้นสุดลงโดยไม่ชอบธรรม ทำให้บุคคลากรเหล่านี้ ตกอยู่ในลักษณะของการมีส่วนร่วมในการกระทำมิชอบด้วย ด้วย รธน.๕๐ และกฎหมาย โดยปริยาย ในขณะเดียวกันก็ขาดความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ เนื่องด้วยการประกาศเลิกใช้ รธน.๕๐ ไปแล้วพร้อมกันไปด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน รธน.ฉบับชั่วคราว ที่ยังไม่มีผลในการประกาศใช้อย่างชอบธรรม ก็ไม่มีการมอบสิทธิอำนาจหน้าที่รับรองเอาไว้อีกด้วย
การเคลื่อนใหวของกลุ่มชน ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เป็นความชอบธรรมที่บัญญัติรับรองเอาไว้ใน รธน.๕๐ ส่วนบุคลากรทั้งหลายที่เป็นกลุ่มผู้ยึดครองอำนาจอธิปไตย หรือในอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ซึ่งขาดความชอบธรรมตามบทบัญญัติของ รธน.๕๐ รองรับ จึงมิสามารถก้าวล่วงหรือขัดขวางรวมทั้งดำเนินการใดๆ ตามกฎหมายที่รับรองเอาไว้ใน รธน.๕๐ และก็มิได้รับรองเอาไว้ใน รธน.ฉบับชั่วคราว ฉนั้นการกระทำใดๆ กับปวงชนทั้งหลายที่ไม่มีความชอบธรรมหรือรับรองโดย รธน. และกฎหมายประกอบ จึงเป็นการกระทำในฐานะแอบอ้าง โดยอธิบายได้ดังนี้
๑.) การใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย ที่มิได้รับมอบโดยประชามติ เป็นอำนาจแอบอ้างหรือขาดความชอบธรรม การปฎิเสธในการยอมรับสถานะภาพและการกระทำใดๆ ของบุคลลากรผู้ยึดครอง จึงเป็นความชอบธรรม ด้วยประการทั้งปวง
๒.) การยึดใช้ บุคคลากรทั้งหลาย ที่มีอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ตาม รธน.๕๐ เป็นลักษณะมิชอบด้วยสถานะภาพโดยแอบอ้าง เพราะขาดสิทธิชอบธรรมรองรับ เพราะถ้ายึดเอาความชอบธรรมรองรับตาม รธน.๕๐ ย่อมหมายถึงว่า บุคลากรเหล่านี้ล๊ะเว้นความรับผิดชอบต่ออำนาจหน้าที่ ในการปกป้อง รธน.๕๐ และกฎหมายประกอบ รวมทั้งการบังคับใช้
นอกเสียว่า สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่า การกระทำใดๆ ตามสิทธิอำนาจหน้าที่มีความชอบธรรมรองรับอยู่ อย่างเช่น
๑.) การมีอำนาจหน้าที่นั้นๆ ของบุคคลากรที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ตาม รธน.๕๐ ได้รับสิทธิชอบธรรมทางกฎหมายมาจากใหน หรือจากผู้ใด เมื่อ รธน.๕๐ ได้ถูกยอมรับด้วยตัวเองว่าสิ้นสุดการใช้ลงไปแล้ว
๒.) เช่นเดียวกัน ผู้ใช้โดยคำสั่งกับบุคคลากรที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ในการใช้อำนาจอธิปไตย ตาม รธน.๕๐ ได้รับสิทธิชอบธรรมทางกฎหมายมาจากใหน หรือจากผู้ใด เมื่อ รธน.๕๐ ตัวเองเป็นผู้ประกาศให้สิ้นสุดการบังคับใช้ลงไปแล้ว รวมทั้งการได้มาซึ่งพระราชโองการการประกาศใช้ รธน.ฉบับชั่วคราว มิได้มีการมอบสิทธิอำนาจอธิปไตยไว้ก่อนหน้านี้
๓.) อำนาจอธิปไตย ได้ถูกยึดครองโดยมิได้ด้วยการสมยอมหรือมอบหมายให้โดยปวงชนทั้งหลาย อะไรคือ ข้อรับรองการเป็นบุคคลากรที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ เพราะการแต่งตั้งหรือพระราชทานจากองค์พระประมุข เป็นไปตามบทบัญญัติ ของ รธน.๕๐ ที่ตัวเองได้ยอมรับถึงการสิ้นสุดลงไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้รวมทั้งการกระทำใดๆ ต่อกลุ่มผู้แสดงจุดยืน หรือปฎิเสธการยอมรับการใช้อำนาจอธิปไตยที่ได้มาโดยการยึดครอง เป็นประเด็นที่นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศให้ความสนใจ และวิเคราะห์ ตามสนธิสัญญาผูกพันธ์ในกรณีสิทธิมนุษย์ชน ที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองเอาไว้ และก็เชื่อได้ว่าจะเป็นส่วนประเด็นคำถามหลักอันหนึ่ง ที่หาคำตอบในและนอกองค์ประชุมสหประชาติ จากผู้แทนของประเทศไทย ที่ควรเตรียมพร้อมกับคำตอบให้ได้ ครับ
ข้อสังเกตุด้านวิชาการ กรณีแสดงจุดยืน ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘
๑.) การยึดครองอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย เป็นการได้มาโดยขาดความชอบธรรมทางกฎหมาย ซึ่งจากความเป็นจริงยังคงอยู่คู่กับ รธน.๕๐
๒.) การประกาศให้ รธน.๕๐ สิ้นสุดการใช้ เป็นไปโดยวิธีที่มิชอบด้วย รธน.๕๐ ในขณะที่อยู่ในความชอบธรรม ของการใช้ ฉนั้นการประกาศนี้เป็นลักษณะล้มล้าง รธน.๕๐
๓.) การได้มาซึ่งพระราชโองการ การประกาศใช้ รธน.ฉบับชั่วคราว เป็นการก้าวล่วงและไม่บังควรให้องค์พระประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลายที่ได้มาโดยขาดความชอบธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ รธน.๕๐ ถูกให้สิ้นสุดลงพระราชอำนาจตาม รธน.๕๐ ม.๓ วรรค ๑ ก็ย่อมถูกริดรอนลงไปและขัดพระราชโองการในการประกาศใช้ รธน.๕๐ อีกด้วย รวมทั้งตามข้อแม้ในพระราชโองการที่ทรงโปรดเกล้าให้ประกาศใช้ รธน.ฉบับชั่วคราว ในขณะที่ไม่มี รธน.โดยชอบธรรม ประกาศใช้ หรือจนกว่าจะมี รธน.ฉบับใหม่ขึ้นใช้ แต่มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจในการประกาศให้ รธน.๕๐ เป็นการสิ้นสุดลง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระราชโองการจึงมิอาจรับสนองโดยประกาศใช้ได้ เพราะพระราชโองการให้ประกาศใช้ รธน.๕๐ ยังคงมีความชอบธรรมในการสนองพระราชโองการอยู่นั่นเอง
๔.) บุคคลากรทั้งหลาย ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ภายใต้บทบัญญัติของ รธน.๕๐ การรับรองหรือยอมรับ การยึดครองอำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย รวมทั้งการยอมรับการประกาศให้ รธน.๕๐ สิ้นสุดลงโดยไม่ชอบธรรม ทำให้บุคคลากรเหล่านี้ ตกอยู่ในลักษณะของการมีส่วนร่วมในการกระทำมิชอบด้วย ด้วย รธน.๕๐ และกฎหมาย โดยปริยาย ในขณะเดียวกันก็ขาดความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ เนื่องด้วยการประกาศเลิกใช้ รธน.๕๐ ไปแล้วพร้อมกันไปด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน รธน.ฉบับชั่วคราว ที่ยังไม่มีผลในการประกาศใช้อย่างชอบธรรม ก็ไม่มีการมอบสิทธิอำนาจหน้าที่รับรองเอาไว้อีกด้วย
การเคลื่อนใหวของกลุ่มชน ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เป็นความชอบธรรมที่บัญญัติรับรองเอาไว้ใน รธน.๕๐ ส่วนบุคลากรทั้งหลายที่เป็นกลุ่มผู้ยึดครองอำนาจอธิปไตย หรือในอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ซึ่งขาดความชอบธรรมตามบทบัญญัติของ รธน.๕๐ รองรับ จึงมิสามารถก้าวล่วงหรือขัดขวางรวมทั้งดำเนินการใดๆ ตามกฎหมายที่รับรองเอาไว้ใน รธน.๕๐ และก็มิได้รับรองเอาไว้ใน รธน.ฉบับชั่วคราว ฉนั้นการกระทำใดๆ กับปวงชนทั้งหลายที่ไม่มีความชอบธรรมหรือรับรองโดย รธน. และกฎหมายประกอบ จึงเป็นการกระทำในฐานะแอบอ้าง โดยอธิบายได้ดังนี้
๑.) การใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนทั้งหลาย ที่มิได้รับมอบโดยประชามติ เป็นอำนาจแอบอ้างหรือขาดความชอบธรรม การปฎิเสธในการยอมรับสถานะภาพและการกระทำใดๆ ของบุคลลากรผู้ยึดครอง จึงเป็นความชอบธรรม ด้วยประการทั้งปวง
๒.) การยึดใช้ บุคคลากรทั้งหลาย ที่มีอำนาจหน้าที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ตาม รธน.๕๐ เป็นลักษณะมิชอบด้วยสถานะภาพโดยแอบอ้าง เพราะขาดสิทธิชอบธรรมรองรับ เพราะถ้ายึดเอาความชอบธรรมรองรับตาม รธน.๕๐ ย่อมหมายถึงว่า บุคลากรเหล่านี้ล๊ะเว้นความรับผิดชอบต่ออำนาจหน้าที่ ในการปกป้อง รธน.๕๐ และกฎหมายประกอบ รวมทั้งการบังคับใช้
นอกเสียว่า สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่า การกระทำใดๆ ตามสิทธิอำนาจหน้าที่มีความชอบธรรมรองรับอยู่ อย่างเช่น
๑.) การมีอำนาจหน้าที่นั้นๆ ของบุคคลากรที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ตาม รธน.๕๐ ได้รับสิทธิชอบธรรมทางกฎหมายมาจากใหน หรือจากผู้ใด เมื่อ รธน.๕๐ ได้ถูกยอมรับด้วยตัวเองว่าสิ้นสุดการใช้ลงไปแล้ว
๒.) เช่นเดียวกัน ผู้ใช้โดยคำสั่งกับบุคคลากรที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ ในการใช้อำนาจอธิปไตย ตาม รธน.๕๐ ได้รับสิทธิชอบธรรมทางกฎหมายมาจากใหน หรือจากผู้ใด เมื่อ รธน.๕๐ ตัวเองเป็นผู้ประกาศให้สิ้นสุดการบังคับใช้ลงไปแล้ว รวมทั้งการได้มาซึ่งพระราชโองการการประกาศใช้ รธน.ฉบับชั่วคราว มิได้มีการมอบสิทธิอำนาจอธิปไตยไว้ก่อนหน้านี้
๓.) อำนาจอธิปไตย ได้ถูกยึดครองโดยมิได้ด้วยการสมยอมหรือมอบหมายให้โดยปวงชนทั้งหลาย อะไรคือ ข้อรับรองการเป็นบุคคลากรที่เป็น ข้าราชการ หรือ จนท.รัฐ เพราะการแต่งตั้งหรือพระราชทานจากองค์พระประมุข เป็นไปตามบทบัญญัติ ของ รธน.๕๐ ที่ตัวเองได้ยอมรับถึงการสิ้นสุดลงไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้รวมทั้งการกระทำใดๆ ต่อกลุ่มผู้แสดงจุดยืน หรือปฎิเสธการยอมรับการใช้อำนาจอธิปไตยที่ได้มาโดยการยึดครอง เป็นประเด็นที่นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศให้ความสนใจ และวิเคราะห์ ตามสนธิสัญญาผูกพันธ์ในกรณีสิทธิมนุษย์ชน ที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองเอาไว้ และก็เชื่อได้ว่าจะเป็นส่วนประเด็นคำถามหลักอันหนึ่ง ที่หาคำตอบในและนอกองค์ประชุมสหประชาติ จากผู้แทนของประเทศไทย ที่ควรเตรียมพร้อมกับคำตอบให้ได้ ครับ