ถึงแม้ว่า การใช้ ม.๔๔ ห้ามการใช้คำว่า “รากหญ้า” เป็นเพียงมุข เพื่อคลายความเคลียดเท่านั้น คำที่ยังตกติดอยู่ในจิตสำนึกของคนมีรายได้น้อย ประเภทที่ไม่สามารถมีเอี่ยวนอกในฯลฯ นอกจากเงินเดือนสดๆ เท่านั้น กับคำว่า “อำมาตย์ก็คือข้าราชการที่เป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะมา ดูแลประชาชน” ถึงกับสัพสนกับความรู้สึกเข้าใจของตัวเองจนนั่งทำงานไม่ได้ตามปรกติ ครับ
เพราะแต่ใหนแต่ไร จากเด็กจนแก่เคยเข้าใจแต่ว่า “ข้าราชการ” มาจาก “ข้า” ผนวกกับคำว่า “ราชการ” หรือหมายถึง ผู้รับใช้ราชการ อันความหมายของคำว่า “ราชการ” ตามพจนานุกรม หมายถึง การงานของรัฐบาลหรือของพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยเหตุผลสมควรนี้จึงปรากฏใช้คำแยก ระหว่าง “ราชการ” หรืออย่างเช่น หน่วยราชการ ราชการส่วนภูมิภาค เป็นต้น กับ “พระราชการ” หรืออย่างเช่น พระราชดำรัส พระราชกรณีย์กิจ พระราชวัง เป็นต้น ฉนั้นจึงเกิดความเชื่อเสมอมาว่า ข้าราชการ ย่อมแตกต่างกับ ข้าพระราชการ คือเป็นผู้รับใช้ราชการของรัฐนั่นเอง ทำให้เกิดความเคยชินกับการใช้คำว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ครับ
อาจเป็นไปได้ กับความเข้าใจว่า “ข้าราชการ” อันแท้ที่จริงน่าจะหมายถึง “ข้าพระราชการ” ตามความหมายในพจนานุกรม (การงานของรัฐบาลหรือของพระเจ้าแผ่นดิน) แต่ถ้านำเอาคำต่อเข้ามาผนวก “ข้าราชการ + ที่เป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ถึงจุดนี้แทบตั้งสติไม่ได้เอาเลยที่เดียว เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้นและเหตุผลทางจารีตประเพณีรวมทั้ง รธน.และกฎหมาย ฯลฯ จะไม่สามารถให้ “องค์พระประมุขของประเทศ” หรือ ผู้ดำรงค์ตำแหน่งในสถานะภาพผู้แทนพระองศ์ (ตัวจริง – ตัวแทน) มาอยู่ในฐานะ “ผู้รับใช้ราชการ” ครับ
ตามปรกติจากสภาพความเป็นจริง “ผู้รับใช้” หรือที่เรียกว่า “ผู้รับจ้างวาน” ไม่ว่าจะเป็น การราชการ หรือการเอกชน ก็ตามจะได้ รับค่าตอบแทน หรือสินจ้างในรูปลักษณะต่างๆ จาก “ผู้จ้างวาน” ในขณะที่ ข้าราชการทั้งหลาย ได้รับสินจ้างจากรัฐ หรือเป็นสินทรัพย์ของปวงชนทั้งหลาย ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า ข้าราชการคือผู้รับใช้ประชาชน โดยรัฐบาลในฐานะผู้แทนเป็นผู้บริหารจัดการ นั่นเอง ส่วน ผู้รับใช้พระราชการ ที่องค์พระประมุขเป็นผู้จ้างวาน มีความจำเป็นเช่นกันที่พระองศ์จะทรงเป็นผู้ให้พระราชทานสินจ้างที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระองศ์ ฉนั้นเป็นการตอกย้ำได้ว่า ข้าราชการ คือ ผู้รับใช้ปวงชน ครับ
ผู้รับใช้พระราชการ ที่อาศัยบทบัญญัติของ รธน. สำหรับองศ์พระประมุข อย่างเช่นใน รธน.๕๐ ม.๓ วรรค ๑ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” ทำให้บังเกิดขั้นตอน ที่สามารถให้บังเกิด “ผู้รับสนองพระราชโองการ” ในฐานะ “ผู้รับราชการ” ได้ เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ก็หมายถึงว่า ข้าราชการ หรือ ปวงชนทั้งหลาย ย่อมมีสภาพทางกฎหมายของประเทศเสมอภาคกัน สิ่งที่แตกต่างก็คือ อำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการรับจ้างวาน เท่านั้น อันมีผลแน่ชัดว่า การกระทำใดๆ ไม่ว่าจากปวงชนหรือจากข้าราชการทั้งหลาย ที่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. และกฎหมาย จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางอาญาเสมอภาคและในมาตราฐานเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในหน้าที่รับสนองพระราชโองการฯ ก็มิได้หมายถึง “การยกสถานะภาพของตัวเองเสมอเหมือนองศ์พระประมุขโดยปริยาย” เพราะพระราชโองการคือพระราชอำนาจส่วนพระองศ์ แต่ผู้รับสนองพระราชโองการ เป็นเพียง ผู้รับจ้างวาน เท่านั้นครับ
อย่างเช่น ในระบบ ข้าราชการทหาร ผู้บังคับบัญชาสามารถใช้สิทธิอำนาจในหน้าที่ ออกคำสั่งปฎิบัติการใดๆ ก็ได้ กับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ส่วนผู้อยู่ใต้ผู้บังคับบัญชา ซึ่งก็เป็น ข้าราชการ หรืออยู่ภายใต้ รธน. และกฎหมาย เช่นกันกับผู้บังคับบัญชาและปวงชนทั้งหลาย ฉนั้นการปฎิบัติการใดๆ โดยคำสั่งถ้าเป็นสิ่งที่ขัดหรือแย้งกับ รธน.และกฎหมาย ก็จำเป็นต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางกฏหมาย ในส่วนของผู้กระทำ ทั้งนี้และทั้งนั้น เพื่อความเข้าใจตรงกันของสังคม ระหว่าง อำมาตย์หรือที่ให้ความหมายเอาไว้ว่า เป็นข้าราชการ นั้นสมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลเองได้ปลูกฝังให้ปวงชนทั้งหลายรวมทั้งผู้อยู่ในอำนาจหน้าที่เป็นข้าราชการให้ยึดยงและให้ความเคารพกับ รธน.และกฎหมาย ที่รัฐบาลจะมีแถลงการณ์ชี้ชัดเช่นเดียวกันกับ กรณี “รากหญ้า” ครับ
ควัญหลง กับ คำว่า อำมาตย์
เพราะแต่ใหนแต่ไร จากเด็กจนแก่เคยเข้าใจแต่ว่า “ข้าราชการ” มาจาก “ข้า” ผนวกกับคำว่า “ราชการ” หรือหมายถึง ผู้รับใช้ราชการ อันความหมายของคำว่า “ราชการ” ตามพจนานุกรม หมายถึง การงานของรัฐบาลหรือของพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยเหตุผลสมควรนี้จึงปรากฏใช้คำแยก ระหว่าง “ราชการ” หรืออย่างเช่น หน่วยราชการ ราชการส่วนภูมิภาค เป็นต้น กับ “พระราชการ” หรืออย่างเช่น พระราชดำรัส พระราชกรณีย์กิจ พระราชวัง เป็นต้น ฉนั้นจึงเกิดความเชื่อเสมอมาว่า ข้าราชการ ย่อมแตกต่างกับ ข้าพระราชการ คือเป็นผู้รับใช้ราชการของรัฐนั่นเอง ทำให้เกิดความเคยชินกับการใช้คำว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ครับ
อาจเป็นไปได้ กับความเข้าใจว่า “ข้าราชการ” อันแท้ที่จริงน่าจะหมายถึง “ข้าพระราชการ” ตามความหมายในพจนานุกรม (การงานของรัฐบาลหรือของพระเจ้าแผ่นดิน) แต่ถ้านำเอาคำต่อเข้ามาผนวก “ข้าราชการ + ที่เป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ถึงจุดนี้แทบตั้งสติไม่ได้เอาเลยที่เดียว เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้นและเหตุผลทางจารีตประเพณีรวมทั้ง รธน.และกฎหมาย ฯลฯ จะไม่สามารถให้ “องค์พระประมุขของประเทศ” หรือ ผู้ดำรงค์ตำแหน่งในสถานะภาพผู้แทนพระองศ์ (ตัวจริง – ตัวแทน) มาอยู่ในฐานะ “ผู้รับใช้ราชการ” ครับ
ตามปรกติจากสภาพความเป็นจริง “ผู้รับใช้” หรือที่เรียกว่า “ผู้รับจ้างวาน” ไม่ว่าจะเป็น การราชการ หรือการเอกชน ก็ตามจะได้ รับค่าตอบแทน หรือสินจ้างในรูปลักษณะต่างๆ จาก “ผู้จ้างวาน” ในขณะที่ ข้าราชการทั้งหลาย ได้รับสินจ้างจากรัฐ หรือเป็นสินทรัพย์ของปวงชนทั้งหลาย ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า ข้าราชการคือผู้รับใช้ประชาชน โดยรัฐบาลในฐานะผู้แทนเป็นผู้บริหารจัดการ นั่นเอง ส่วน ผู้รับใช้พระราชการ ที่องค์พระประมุขเป็นผู้จ้างวาน มีความจำเป็นเช่นกันที่พระองศ์จะทรงเป็นผู้ให้พระราชทานสินจ้างที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระองศ์ ฉนั้นเป็นการตอกย้ำได้ว่า ข้าราชการ คือ ผู้รับใช้ปวงชน ครับ
ผู้รับใช้พระราชการ ที่อาศัยบทบัญญัติของ รธน. สำหรับองศ์พระประมุข อย่างเช่นใน รธน.๕๐ ม.๓ วรรค ๑ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” ทำให้บังเกิดขั้นตอน ที่สามารถให้บังเกิด “ผู้รับสนองพระราชโองการ” ในฐานะ “ผู้รับราชการ” ได้ เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ก็หมายถึงว่า ข้าราชการ หรือ ปวงชนทั้งหลาย ย่อมมีสภาพทางกฎหมายของประเทศเสมอภาคกัน สิ่งที่แตกต่างก็คือ อำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการรับจ้างวาน เท่านั้น อันมีผลแน่ชัดว่า การกระทำใดๆ ไม่ว่าจากปวงชนหรือจากข้าราชการทั้งหลาย ที่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. และกฎหมาย จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางอาญาเสมอภาคและในมาตราฐานเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในหน้าที่รับสนองพระราชโองการฯ ก็มิได้หมายถึง “การยกสถานะภาพของตัวเองเสมอเหมือนองศ์พระประมุขโดยปริยาย” เพราะพระราชโองการคือพระราชอำนาจส่วนพระองศ์ แต่ผู้รับสนองพระราชโองการ เป็นเพียง ผู้รับจ้างวาน เท่านั้นครับ
อย่างเช่น ในระบบ ข้าราชการทหาร ผู้บังคับบัญชาสามารถใช้สิทธิอำนาจในหน้าที่ ออกคำสั่งปฎิบัติการใดๆ ก็ได้ กับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ส่วนผู้อยู่ใต้ผู้บังคับบัญชา ซึ่งก็เป็น ข้าราชการ หรืออยู่ภายใต้ รธน. และกฎหมาย เช่นกันกับผู้บังคับบัญชาและปวงชนทั้งหลาย ฉนั้นการปฎิบัติการใดๆ โดยคำสั่งถ้าเป็นสิ่งที่ขัดหรือแย้งกับ รธน.และกฎหมาย ก็จำเป็นต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางกฏหมาย ในส่วนของผู้กระทำ ทั้งนี้และทั้งนั้น เพื่อความเข้าใจตรงกันของสังคม ระหว่าง อำมาตย์หรือที่ให้ความหมายเอาไว้ว่า เป็นข้าราชการ นั้นสมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลเองได้ปลูกฝังให้ปวงชนทั้งหลายรวมทั้งผู้อยู่ในอำนาจหน้าที่เป็นข้าราชการให้ยึดยงและให้ความเคารพกับ รธน.และกฎหมาย ที่รัฐบาลจะมีแถลงการณ์ชี้ชัดเช่นเดียวกันกับ กรณี “รากหญ้า” ครับ