28
คืนนี้ฉันนอนเร็ว จึงถอดจิตเข้ามาในห้องพี่บริงค์เร็วกว่าปกติ พอฉันงัวเงียๆ ตื่นขึ้นมาก็ตบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อให้ตาสว่างก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดไฟตรงหัวเตียงแล้วหยิบปฏิทินรูปวง x’s-Q ใกล้ๆ กันนั้นมาดู
“เลยวันแสดงคอนเสิร์ตไปแล้วจริงๆ ด้วย...” นี่แสดงว่าฉันไม่ได้มาที่นี่ทุกวันสินะ ทั้งที่ฉันถอดจิตมาที่นี่ได้ทุกคืน แต่โลกในปีห้าศูนย์กลับต้องรอฉันไปอีกหลายวัน แค่หนึ่งชั่วโมงก็เท่ากับสองวันครึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้น น้อยกว่านั้นก็ได้ เฮ้อ เวลามันช่างแตกต่างกันเสียจริง แต่ก็ดี...นี่มันก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้วด้วย อีกแค่ไม่ถึงยี่สิบวันฉันก็คงต้องกลับไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนเหมือนเดิม คิดแล้วใจมันก็ละเหี่ย
ฉันวางมันลงที่เดิม แล้วหันไปดูนาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกว่าสี่ทุ่มครึ่งแล้ว อืม...พี่บริงค์จะกลับมานอนที่บ้านมั้ยนะ? รึว่าจะนอนค้างที่อื่น แล้วฉันควรจะรอมั้ยเนี่ย?
“ต้องรอสิ! ห้ามหลับต่อเด็ดขาด จนกว่าจะได้เห็นหน้าพี่บริงค์ ห้ามหลับนะนิกิม” ฉันปฏิญาณกับตัวเองไว้อย่างหนักแน่น ก่อนจะหันไปจ้องที่ประตูสลับกับดูเวลาไปด้วย
ติ๊กต่อกๆ
23 : 06 น.
ติ๊กต่อกๆ
23 : 18 น.
“ฮ้าววว” ฉันอ้าปากหาวหวอดพลางปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความง่วง เมื่อไรพี่บริงค์จะกลับมาสักทีเนี่ย เฮ้อ รอนานแล้วนะ ห้าทุ่มจะยี่สิบแล้ว จะครึ่งแล้วเนี่ย! ทำไมยังไม่กลับมาอีก เอ๊ะ รึว่าจะไม่กลับ แหงเลย! ฉันว่าต้องค้างที่อื่นแน่ๆ
แกร๊ก แอ๊ดดด
“ฮึ?” ฉันสะดุ้ง แล้วจ้องไปที่ประตูด้วยความตื่นเต้น หวังว่าคงไม่แจ็คพ็อตแตกเป็นป๊าพี่บริงค์นะ = =lll ฉันมองดูใครบางคนที่พอเงยหน้าขึ้นมาจากลูกบิดแล้วก็เบิกตากว้าง ฉันก็เบิกตากว้าง...ด้วยความดีใจ!
“พี่บริงค์!!”
“นิกิม!!” พี่บริงค์รีบปิดประตูแล้วจัดการล็อกทันที เขาหันกลับมาก้าวฉับๆ ตรงมายังฉันก่อนจะโผเข้ากอดแน่นจนฉันเซหงายท้องตึงไปกับเตียง
“คิดถึงจัง” ฉันหัวเราะคิกอย่างจั๊กจี๋เมื่อพี่แกเล่นซุกหน้าลงกับคอฉัน ไหนจะลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดให้ซ่านเล่นอีก เออะ =///= จะปลุกอารมณ์แมวป่ารึไงคะพี่!!!
“พอแล้วๆ เดี๋ยวเราก็อดใจไม่ไหวปล้ำพี่บริงค์ซะหรอก” ฉันพูดกลั้วหัวเราะ พี่บริงค์จึงยอมยันตัวขึ้นนิดหน่อยแล้วสบตากับฉัน นั่นยิ่งทำให้ฉันใจเต้นแรงเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากพี่เขาที่นอนทับบนตัวฉันแล้ว หน้าของเรายังห่างเพียงแค่คืบเท่านั้น ฉันสบตากับเขาได้แป๊บเดียวก็เป็นอันต้องหลบตาเสมองไปส่วนอื่นแทน เพราะเกิดอาการหน้าแดงหน้าร้อนอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าพี่ต้องสูญเสียพรหมจรรย์แรกแย้มให้กับนิกิม...พี่ก็ยอมจ้ะ ไม่ขัดขืนเลย ^^” แล้วพี่แกก็ฉวยโอกาสหอมแก้มฉันดังฟอด ฉันเบิกตากว้าง ก่อนจะยิ้มออกมา
“ทะลึ่ง!” ฉันดุ แต่สงสัยจะเป็นการดุที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด เพราะพี่บริงค์เอาแต่ยิ้มกว้างน่ารัก แล้วหยิกแก้มฉันเล่นอย่างมันมือ
“มันเขี้ยวๆๆ ไม่ได้หยิกแก้มหมูป่าขี้เซามานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย หืมมม” พี่บริงค์ย่นจมูก แยกเขี้ยว พลางดึงแก้มฉันโย้ไปเย้มาไม่ยอมเลิก ตอนนี้ฉันจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ ถ้ายิ้ม...คงแสยะน่าดู แหยะ ={}=
“เอาอ้ออันเอี้ยววว (เราก็มันเขี้ยววว)” ฉันเห็นแก้มใสๆ ของเขาแล้วก็อดใจไม่ไหวเหมือนกัน ยกมือขึ้นหยิกแก้มเขาเบาๆ แล้วโย้ไปเย้มาเลียนแบบอย่างที่เขาทำกับฉัน พี่แกหัวเราะ แล้วปล่อยมมือออกเลื่อนขึ้นไปลูบผมฉันแทน ฉันจึงปล่อยมือออกบ้างแล้วเปลี่ยนมาสบตากับพี่บริงค์
“นึกว่าจะไม่มาจริงๆ ซะแล้ว ไม่รู้รึไงว่าคนที่รอเขาทรมานแค่ไหนน่ะ ฮึ” พี่บริงค์ตัดพ้อเสียงแหบพร่า (เซ็กซี่เหลือหลาย *0*)
“ก็...จะให้นอนทั้งวันทั้งคืนเลยรึไงเล่า” ฉันย่นจมูก พี่แกก็ทำหน้ามันเขี้ยวอีกแล้วก่อนจะหยิกจมูกฉันเบาๆ แล้วปล่อย
“ถ้าทำได้พี่ก็ยินดี ยัยลูกหมูขี้เซา”
“ตกลงจะเรียกอะไรกันแน่เนี่ย รู้สึกว่าเราจะมีหลายฉายาเหลือเกินนะ” ฉันประชดยิ้มๆ พี่บริงค์หัวเราะร่วน
“อ่ะๆๆ งั้นขอเรียกว่ายัยหมูป่าขี้เซาเหมือนเดิมก็ได้ ทั้งดุดัน โหดร้าย และขี้เซาที่หนึ่ง” ไม่มีดีซะอย่าง = =
“แหม ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย อื้อ! ว่าแต่...ทำไมวันนี้กลับช้าจัง” ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ พี่บริงค์เลิกคิ้วแล้วทำหน้านึก
“วันนี้มีถ่ายแบบน่ะ ที่จริงมันก็เสร็จตั้งแต่สามทุ่มกว่าแล้วนะ แต่ว่ามันไกลไงเลยกว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มครึ่ง ไม่โกรธกันนะ T^T” พี่บริงค์ทำหน้าทำตาน่าสงสารฉบับคนกะล่อน เฮอะ น่ารักอย่างนี้แล้วใครจะไปโกรธลงล่ะอีตาบ้าเอ๊ย หึๆ
“อือ” ฉันพเยิดหน้ายิ้มๆ พี่แกจึงยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวแล้วก้มลงหอมแก้มฉันดังฟอดยาวๆ อีกสองครั้งสองข้าง
“โอ๊ยยย พอ...พอแล้ว จะหอมอะไรนักหนาเนี่ย”
“ก็คนมัน...”
“...” ฉันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าก็คนมันอะไร? แต่พี่แกก็เลือกที่จะไม่พูด แล้วพลิกตัวลงไปนอนหงายกับเตียงบ้าง โดยคว้ามือฉันให้ไปวางไว้บนศีรษะของเขา พลางจับให้ลูบไปลูบมา ฉันรู้เลยว่าการที่เขาทำแบบนี้คือต้องการให้ฉันลูบผมเขาเหมือนอย่างที่เคยทำตอนนั้น ฉันหลุบตามองคนขี้อ้อนพลางลูบผมเขาอย่างเบามือ
“นิกิม...”
“หืม?”
“ชอบฟังเพลงอะไรบ้างรึเปล่า”
“ฮึ? อ๋อ มีๆๆ มีหลายเพลงเลย ทำไมเหรอ”
“เพลงอะไรอ่ะ?”
“อืม...ถ้าชอบที่สุดในตอนนี้ เราว่าน่าจะเป็น...วันเวลาอ่ะมั้ง?”
“งั้นร้องให้ฟังหน่อยสิ”
“หา?”
“นะๆ พี่อยากฟัง”
“เอ่อ...” ฉันพูดไม่ออกขึ้นมากะทันหัน เพราะเพลงนี้มันเหมือนกับความรู้สึกของฉันในตอนนี้พอดีเลยน่ะสิ เพลงรักที่โรแมนติก...ฉันชอบเพลงนี้มากที่สุดเลยล่ะ ใช่ ฉันอยากจะร้องเพลงนี้ให้เขาฟังตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสซะที พอโอกาสมา (แบบไม่ได้ทันตั้งตัว) ฉันก็ถึงกับร้องไม่ออก ฉันกลัวมันไม่เพราะ กลัวมันไม่เป็นเพลง และกลัวว่าเขาจะหัวเราะฉันน่ะสิ ฮึก T^T ไม่ฟังไม่ได้เหรอพี่บริงค์
“พี่อ่ะนะ ก็มีเพลงโปรดอยู่เพลงนึง...เป็นเพลงที่ตรงใจพี่ที่สุดเลยล่ะ” เสียงทุ้มยังคงพูดไปในขณะที่ฉันยังลูบผมเขาต่อไปเรื่อยๆ “พี่แน่ใจแล้วนิกิม ว่าพี่รู้สึกอย่างนั้นกับเธอ”
“...” ฉันเลือกที่จะเงียบแทนคำถามและคำตอบทั้งปวง
“พี่รักเธอ”
“O_O” ฉันชะงักมือค้างกลางอากาศ เบิกตากว้างมองพี่บริงค์ที่หันมามองฉันแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฉ...ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย แม้แต่ลมหายใจก็ยังเผลอกลั้นเอาไว้ ลมหายใจร้อนเป่ารดกันละกัน ปลายจมูกโด่งสวยคลอเคลียอยู่กับจมูกฉัน มัน...มันใกล้กันจนน่าหวาดเสียว
“ถึงพี่จะกลัวความรัก แต่พี่ก็กล้าที่จะรักเธอนะนิกิม พี่รักเธอ...” แล้วปากอุ่นร้อนก็ค่อยๆ ประทับลงมาปิดปากฉันอย่างอ่อนโยน พี่บริงค์หลับตาพริ้มในขณะที่ฉันนั้นเบิกตากว้างแทบถลน ความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวนี้มันคืออะไรกัน? ความอบอุ่นจากริมฝีปากอิ่มนั้นถ่ายทอดมาสู่หัวใจฉันได้เลยว่าเขารู้สึกอย่างนั้นกับฉันจริงๆ นี่...นี่ฉันฝันหรือเนี่ย? ไม่สิ ฉันไม่ได้ฝัน ก็ในเมื่อ...ลิ้นอุ่นๆ ที่พยายามสอดเข้ามา ทำให้ฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว พะ...พะ...พี่บริงค์ จะ...จูบฉัน? ฉันกลั้นหายใจ ตอนนี้สติฉันกระเจิดกระเจิงหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
พี่บริงค์สอดนิ้วใต้เรือนผมกระเซิงของฉันแล้วช้อนศีรษะฉันขึ้นมารับจูบอันอ่อนโยนที่แสนจะอ่อนหวาน ร่างกายของฉันในตอนนี้มันอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีคำว่าขัดขืนผุดขึ้นในสมองเลยสักนิด มีแต่คำว่าฉันรักเขา ฉันรักเขา ฉันรักเขาอยู่เต็มจนไม่อาจจะมีคำใดมาปะปนอยู่ในหัวสมองได้เลย ฉันหลับตาพริ้มแล้วยกแขนขึ้นโอบรอบคอพี่บริงค์อย่างลืมตัว ไม่สิ ไม่ลืมตัวหรอก เพราะฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ และฉันก็ยอมรับมันด้วยความเต็มใจ ฉันรักเขา ฉันรักพี่บริงค์...
คืนนั้น เราสองคนก็นอนโอบกอดกันท่ามกลางเสียงหัวใจของเราที่ดังตุบๆ ไม่แพ้กัน ฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อคำบอกรักที่ได้ยินจากปากพี่บริงค์เอง มันยังคงก้องอยู่ในหู และแววตาที่ดูจริงจังของเขาตอนที่พูดคำนั้นออกมายังคงตรึงติดตาฉันอยู่ไม่หาย ฉันยิ้มกว้างอย่างหุบไม่อยู่ แล้วซุกหน้าเข้าหาอกกว้างอย่างเขินอาย มีเสียงหัวเราะในลำคอจากเจ้าของอ้อมแขนก่อนเจ้าตัวจะจุ๊บลงที่กระหม่อมของฉันอย่างอ่อนโยน แล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น เอ้อ! เพิ่งนึกขึ้นได้...นี่ฉันยังไม่ได้ร้องเพลงให้พี่บริงค์ฟังเลยนะเนี่ย ฮะๆ สงสัยคงจะลืมไปแล้วล่ะมั้ง แต่ก็ดี...เพราะฉันยังไม่พร้อมเลยอ่ะ ^^+
“พี่บริงค์ ไว้เราพร้อมแล้วจะร้องให้ฟังนะ...เพลงน่ะ” ฉันพูดเสียงอู้อี้ๆ อยู่กับอกกว้าง
“อืม พี่ก็เหมือนกัน”
“อื้ม ^^”
ฉันขยับใบหน้าให้เข้าที่กว่าเดิม ก่อนจะโอบกอดพี่บริงค์ให้แน่นขึ้นแล้วค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ฟังเสียงหัวใจเต้นที่ดังอยู่ใกล้ๆ นี้แล้วรู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆ มันเหมือนกับให้ความรู้สึกว่าเขาจะไม่ทิ้งฉันไปไหน เขาจะอยู่กับฉันตลอดไป แบบที่ไม่มีวันพรากจากกัน...
นับตั้งแต่วันที่ฉันรักเธอ [ตอนที่ 28]
คืนนี้ฉันนอนเร็ว จึงถอดจิตเข้ามาในห้องพี่บริงค์เร็วกว่าปกติ พอฉันงัวเงียๆ ตื่นขึ้นมาก็ตบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อให้ตาสว่างก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดไฟตรงหัวเตียงแล้วหยิบปฏิทินรูปวง x’s-Q ใกล้ๆ กันนั้นมาดู
“เลยวันแสดงคอนเสิร์ตไปแล้วจริงๆ ด้วย...” นี่แสดงว่าฉันไม่ได้มาที่นี่ทุกวันสินะ ทั้งที่ฉันถอดจิตมาที่นี่ได้ทุกคืน แต่โลกในปีห้าศูนย์กลับต้องรอฉันไปอีกหลายวัน แค่หนึ่งชั่วโมงก็เท่ากับสองวันครึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้น น้อยกว่านั้นก็ได้ เฮ้อ เวลามันช่างแตกต่างกันเสียจริง แต่ก็ดี...นี่มันก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้วด้วย อีกแค่ไม่ถึงยี่สิบวันฉันก็คงต้องกลับไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนเหมือนเดิม คิดแล้วใจมันก็ละเหี่ย
ฉันวางมันลงที่เดิม แล้วหันไปดูนาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกว่าสี่ทุ่มครึ่งแล้ว อืม...พี่บริงค์จะกลับมานอนที่บ้านมั้ยนะ? รึว่าจะนอนค้างที่อื่น แล้วฉันควรจะรอมั้ยเนี่ย?
“ต้องรอสิ! ห้ามหลับต่อเด็ดขาด จนกว่าจะได้เห็นหน้าพี่บริงค์ ห้ามหลับนะนิกิม” ฉันปฏิญาณกับตัวเองไว้อย่างหนักแน่น ก่อนจะหันไปจ้องที่ประตูสลับกับดูเวลาไปด้วย
ติ๊กต่อกๆ
23 : 06 น.
ติ๊กต่อกๆ
23 : 18 น.
“ฮ้าววว” ฉันอ้าปากหาวหวอดพลางปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความง่วง เมื่อไรพี่บริงค์จะกลับมาสักทีเนี่ย เฮ้อ รอนานแล้วนะ ห้าทุ่มจะยี่สิบแล้ว จะครึ่งแล้วเนี่ย! ทำไมยังไม่กลับมาอีก เอ๊ะ รึว่าจะไม่กลับ แหงเลย! ฉันว่าต้องค้างที่อื่นแน่ๆ
แกร๊ก แอ๊ดดด
“ฮึ?” ฉันสะดุ้ง แล้วจ้องไปที่ประตูด้วยความตื่นเต้น หวังว่าคงไม่แจ็คพ็อตแตกเป็นป๊าพี่บริงค์นะ = =lll ฉันมองดูใครบางคนที่พอเงยหน้าขึ้นมาจากลูกบิดแล้วก็เบิกตากว้าง ฉันก็เบิกตากว้าง...ด้วยความดีใจ!
“พี่บริงค์!!”
“นิกิม!!” พี่บริงค์รีบปิดประตูแล้วจัดการล็อกทันที เขาหันกลับมาก้าวฉับๆ ตรงมายังฉันก่อนจะโผเข้ากอดแน่นจนฉันเซหงายท้องตึงไปกับเตียง
“คิดถึงจัง” ฉันหัวเราะคิกอย่างจั๊กจี๋เมื่อพี่แกเล่นซุกหน้าลงกับคอฉัน ไหนจะลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดให้ซ่านเล่นอีก เออะ =///= จะปลุกอารมณ์แมวป่ารึไงคะพี่!!!
“พอแล้วๆ เดี๋ยวเราก็อดใจไม่ไหวปล้ำพี่บริงค์ซะหรอก” ฉันพูดกลั้วหัวเราะ พี่บริงค์จึงยอมยันตัวขึ้นนิดหน่อยแล้วสบตากับฉัน นั่นยิ่งทำให้ฉันใจเต้นแรงเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากพี่เขาที่นอนทับบนตัวฉันแล้ว หน้าของเรายังห่างเพียงแค่คืบเท่านั้น ฉันสบตากับเขาได้แป๊บเดียวก็เป็นอันต้องหลบตาเสมองไปส่วนอื่นแทน เพราะเกิดอาการหน้าแดงหน้าร้อนอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าพี่ต้องสูญเสียพรหมจรรย์แรกแย้มให้กับนิกิม...พี่ก็ยอมจ้ะ ไม่ขัดขืนเลย ^^” แล้วพี่แกก็ฉวยโอกาสหอมแก้มฉันดังฟอด ฉันเบิกตากว้าง ก่อนจะยิ้มออกมา
“ทะลึ่ง!” ฉันดุ แต่สงสัยจะเป็นการดุที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด เพราะพี่บริงค์เอาแต่ยิ้มกว้างน่ารัก แล้วหยิกแก้มฉันเล่นอย่างมันมือ
“มันเขี้ยวๆๆ ไม่ได้หยิกแก้มหมูป่าขี้เซามานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย หืมมม” พี่บริงค์ย่นจมูก แยกเขี้ยว พลางดึงแก้มฉันโย้ไปเย้มาไม่ยอมเลิก ตอนนี้ฉันจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ ถ้ายิ้ม...คงแสยะน่าดู แหยะ ={}=
“เอาอ้ออันเอี้ยววว (เราก็มันเขี้ยววว)” ฉันเห็นแก้มใสๆ ของเขาแล้วก็อดใจไม่ไหวเหมือนกัน ยกมือขึ้นหยิกแก้มเขาเบาๆ แล้วโย้ไปเย้มาเลียนแบบอย่างที่เขาทำกับฉัน พี่แกหัวเราะ แล้วปล่อยมมือออกเลื่อนขึ้นไปลูบผมฉันแทน ฉันจึงปล่อยมือออกบ้างแล้วเปลี่ยนมาสบตากับพี่บริงค์
“นึกว่าจะไม่มาจริงๆ ซะแล้ว ไม่รู้รึไงว่าคนที่รอเขาทรมานแค่ไหนน่ะ ฮึ” พี่บริงค์ตัดพ้อเสียงแหบพร่า (เซ็กซี่เหลือหลาย *0*)
“ก็...จะให้นอนทั้งวันทั้งคืนเลยรึไงเล่า” ฉันย่นจมูก พี่แกก็ทำหน้ามันเขี้ยวอีกแล้วก่อนจะหยิกจมูกฉันเบาๆ แล้วปล่อย
“ถ้าทำได้พี่ก็ยินดี ยัยลูกหมูขี้เซา”
“ตกลงจะเรียกอะไรกันแน่เนี่ย รู้สึกว่าเราจะมีหลายฉายาเหลือเกินนะ” ฉันประชดยิ้มๆ พี่บริงค์หัวเราะร่วน
“อ่ะๆๆ งั้นขอเรียกว่ายัยหมูป่าขี้เซาเหมือนเดิมก็ได้ ทั้งดุดัน โหดร้าย และขี้เซาที่หนึ่ง” ไม่มีดีซะอย่าง = =
“แหม ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย อื้อ! ว่าแต่...ทำไมวันนี้กลับช้าจัง” ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ พี่บริงค์เลิกคิ้วแล้วทำหน้านึก
“วันนี้มีถ่ายแบบน่ะ ที่จริงมันก็เสร็จตั้งแต่สามทุ่มกว่าแล้วนะ แต่ว่ามันไกลไงเลยกว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มครึ่ง ไม่โกรธกันนะ T^T” พี่บริงค์ทำหน้าทำตาน่าสงสารฉบับคนกะล่อน เฮอะ น่ารักอย่างนี้แล้วใครจะไปโกรธลงล่ะอีตาบ้าเอ๊ย หึๆ
“อือ” ฉันพเยิดหน้ายิ้มๆ พี่แกจึงยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวแล้วก้มลงหอมแก้มฉันดังฟอดยาวๆ อีกสองครั้งสองข้าง
“โอ๊ยยย พอ...พอแล้ว จะหอมอะไรนักหนาเนี่ย”
“ก็คนมัน...”
“...” ฉันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าก็คนมันอะไร? แต่พี่แกก็เลือกที่จะไม่พูด แล้วพลิกตัวลงไปนอนหงายกับเตียงบ้าง โดยคว้ามือฉันให้ไปวางไว้บนศีรษะของเขา พลางจับให้ลูบไปลูบมา ฉันรู้เลยว่าการที่เขาทำแบบนี้คือต้องการให้ฉันลูบผมเขาเหมือนอย่างที่เคยทำตอนนั้น ฉันหลุบตามองคนขี้อ้อนพลางลูบผมเขาอย่างเบามือ
“นิกิม...”
“หืม?”
“ชอบฟังเพลงอะไรบ้างรึเปล่า”
“ฮึ? อ๋อ มีๆๆ มีหลายเพลงเลย ทำไมเหรอ”
“เพลงอะไรอ่ะ?”
“อืม...ถ้าชอบที่สุดในตอนนี้ เราว่าน่าจะเป็น...วันเวลาอ่ะมั้ง?”
“งั้นร้องให้ฟังหน่อยสิ”
“หา?”
“นะๆ พี่อยากฟัง”
“เอ่อ...” ฉันพูดไม่ออกขึ้นมากะทันหัน เพราะเพลงนี้มันเหมือนกับความรู้สึกของฉันในตอนนี้พอดีเลยน่ะสิ เพลงรักที่โรแมนติก...ฉันชอบเพลงนี้มากที่สุดเลยล่ะ ใช่ ฉันอยากจะร้องเพลงนี้ให้เขาฟังตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสซะที พอโอกาสมา (แบบไม่ได้ทันตั้งตัว) ฉันก็ถึงกับร้องไม่ออก ฉันกลัวมันไม่เพราะ กลัวมันไม่เป็นเพลง และกลัวว่าเขาจะหัวเราะฉันน่ะสิ ฮึก T^T ไม่ฟังไม่ได้เหรอพี่บริงค์
“พี่อ่ะนะ ก็มีเพลงโปรดอยู่เพลงนึง...เป็นเพลงที่ตรงใจพี่ที่สุดเลยล่ะ” เสียงทุ้มยังคงพูดไปในขณะที่ฉันยังลูบผมเขาต่อไปเรื่อยๆ “พี่แน่ใจแล้วนิกิม ว่าพี่รู้สึกอย่างนั้นกับเธอ”
“...” ฉันเลือกที่จะเงียบแทนคำถามและคำตอบทั้งปวง
“พี่รักเธอ”
“O_O” ฉันชะงักมือค้างกลางอากาศ เบิกตากว้างมองพี่บริงค์ที่หันมามองฉันแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฉ...ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย แม้แต่ลมหายใจก็ยังเผลอกลั้นเอาไว้ ลมหายใจร้อนเป่ารดกันละกัน ปลายจมูกโด่งสวยคลอเคลียอยู่กับจมูกฉัน มัน...มันใกล้กันจนน่าหวาดเสียว
“ถึงพี่จะกลัวความรัก แต่พี่ก็กล้าที่จะรักเธอนะนิกิม พี่รักเธอ...” แล้วปากอุ่นร้อนก็ค่อยๆ ประทับลงมาปิดปากฉันอย่างอ่อนโยน พี่บริงค์หลับตาพริ้มในขณะที่ฉันนั้นเบิกตากว้างแทบถลน ความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวนี้มันคืออะไรกัน? ความอบอุ่นจากริมฝีปากอิ่มนั้นถ่ายทอดมาสู่หัวใจฉันได้เลยว่าเขารู้สึกอย่างนั้นกับฉันจริงๆ นี่...นี่ฉันฝันหรือเนี่ย? ไม่สิ ฉันไม่ได้ฝัน ก็ในเมื่อ...ลิ้นอุ่นๆ ที่พยายามสอดเข้ามา ทำให้ฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว พะ...พะ...พี่บริงค์ จะ...จูบฉัน? ฉันกลั้นหายใจ ตอนนี้สติฉันกระเจิดกระเจิงหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
พี่บริงค์สอดนิ้วใต้เรือนผมกระเซิงของฉันแล้วช้อนศีรษะฉันขึ้นมารับจูบอันอ่อนโยนที่แสนจะอ่อนหวาน ร่างกายของฉันในตอนนี้มันอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีคำว่าขัดขืนผุดขึ้นในสมองเลยสักนิด มีแต่คำว่าฉันรักเขา ฉันรักเขา ฉันรักเขาอยู่เต็มจนไม่อาจจะมีคำใดมาปะปนอยู่ในหัวสมองได้เลย ฉันหลับตาพริ้มแล้วยกแขนขึ้นโอบรอบคอพี่บริงค์อย่างลืมตัว ไม่สิ ไม่ลืมตัวหรอก เพราะฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ และฉันก็ยอมรับมันด้วยความเต็มใจ ฉันรักเขา ฉันรักพี่บริงค์...
คืนนั้น เราสองคนก็นอนโอบกอดกันท่ามกลางเสียงหัวใจของเราที่ดังตุบๆ ไม่แพ้กัน ฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อคำบอกรักที่ได้ยินจากปากพี่บริงค์เอง มันยังคงก้องอยู่ในหู และแววตาที่ดูจริงจังของเขาตอนที่พูดคำนั้นออกมายังคงตรึงติดตาฉันอยู่ไม่หาย ฉันยิ้มกว้างอย่างหุบไม่อยู่ แล้วซุกหน้าเข้าหาอกกว้างอย่างเขินอาย มีเสียงหัวเราะในลำคอจากเจ้าของอ้อมแขนก่อนเจ้าตัวจะจุ๊บลงที่กระหม่อมของฉันอย่างอ่อนโยน แล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น เอ้อ! เพิ่งนึกขึ้นได้...นี่ฉันยังไม่ได้ร้องเพลงให้พี่บริงค์ฟังเลยนะเนี่ย ฮะๆ สงสัยคงจะลืมไปแล้วล่ะมั้ง แต่ก็ดี...เพราะฉันยังไม่พร้อมเลยอ่ะ ^^+
“พี่บริงค์ ไว้เราพร้อมแล้วจะร้องให้ฟังนะ...เพลงน่ะ” ฉันพูดเสียงอู้อี้ๆ อยู่กับอกกว้าง
“อืม พี่ก็เหมือนกัน”
“อื้ม ^^”
ฉันขยับใบหน้าให้เข้าที่กว่าเดิม ก่อนจะโอบกอดพี่บริงค์ให้แน่นขึ้นแล้วค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ฟังเสียงหัวใจเต้นที่ดังอยู่ใกล้ๆ นี้แล้วรู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆ มันเหมือนกับให้ความรู้สึกว่าเขาจะไม่ทิ้งฉันไปไหน เขาจะอยู่กับฉันตลอดไป แบบที่ไม่มีวันพรากจากกัน...