31
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ฉันได้แต่ภาวนาว่าขอให้ได้เจอกับพี่บริงค์อีกสักครั้ง ใช่...หลายคนอาจจะคิดว่าที่จริงแล้ว ทำไมฉันไม่ไปหาเขาที่โรงพยาบาลซะเลยล่ะ รังเกียจเขาเหรอ ที่เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก รังเกียจเขาเหรอ ที่ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว? หึ เปล่าเลย ไม่ใช่เหตุผลเห็นแก่ตัวพวกนั้นทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะว่า...
...ห้วงเวลาของเรามันต่างกันมากยังไงล่ะ ฉันจะต้องเติมเต็มความทรงจำของพี่บริงค์ให้สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าเกิดฉันไปหาเขาตอนนี้ มันก็เท่ากับว่า...ฉันได้ตัดความทรงจำของเขาออกไปครึ่งหนึ่ง และความห่างระหว่างเราก็จะมากขึ้นถ้าเกิดฉันไปหาเขาในโลกปัจจุบัน ในเรื่องนี้ฉันอธิบายไม่ค่อยได้หรอก เพราะฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชะตา สวรรค์ กำลังแกล้งอะไรฉันอยู่ ตอนนี้...พี่บริงค์จะเป็นยังไงบ้างฉันก็ไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่าตอนนี้ฉันคิดถึงเขามาก คิดถึงจนเจ็บปวดที่หัวใจ ฉันเจ็บ...เจ็บที่ต้องทนคิดถึงเขาอยู่อย่างนี้
ได้โปรดเถอะ...
ช่วยพาฉันกลับไปหาพี่บริงค์ที!!!
“อือ~” ฉันเบ้หน้ากับความหนาวที่คุ้นเคยหากมันไม่สามารถพอที่จะปลุกให้คนขี้เซาคนนี้ตื่นได้ ฉันพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านแล้วดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมปิดถึงคอ
“ฮึ”
ฉันขมวดคิ้ว กับเสียงแปลกปลอมที่ดังมาจากตรงหน้า
“...” ฮื่อ ฉันนี่ชอบละเมอเพ้อเจ้ออยู่เรื่อย หูฝาดอีกตามเคยละมั้ง ช่างเถอะ นอนต่อ
“นิกิม” เสียงแหบแห้งฟังดูแปลกๆ เมื่อกี้ดูตกใจมาก ฉันค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้นเชื่องช้า มองภาพตรงหน้าที่แสนจะเบลอไม่ชัดเอาเสียเลย ใครกัน? ใครกันที่นั่งฟุบอยู่ขอบเตียง
“นิกิม นี่ป๊าเองลูก”
“ฮึ!?”
พรวด!
ฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วคลานแตะๆ ไปที่หัวเตียงอย่างรีบรนเพื่อหายานอนหลับ โอย ตายๆๆ ป๊าพี่บริงค์อีกแล้ว >O<
“เดี๋ยวหนู! อย่าเพิ่งไป”
กึก ฉันชะงักกึกแล้วหันไปมองป๊าอย่างงงๆ
“ป๊ารู้เรื่องทุกอย่างแล้วล่ะ ว่าหนูเป็นอะไรกับบริงค์” ฉันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“หะ...หา??? O[]O!!!” ป๊าพี่บริงค์ยิ้มบางๆ ให้ฉันก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ป่ะ บริงค์เขารอหนูอยู่นะ”
“คะ รอ? ที่ไหนคะ?”
“โรงพยาบาล” และแล้วคำตอบที่ได้มาก็ทำฉันใจหายวาบ คงไม่ทันสินะ...ไม่สิ ไม่ใช่ว่าไม่ทัน แต่ว่าฉัน...ไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ต่างหากล่ะ โธ่เว้ย! เจ็บใจจริงๆ
ฉันนั่งรถแท็กซี่มากับป๊าพี่บริงค์โดยที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายใส่แว่น เพื่อความปลอดภัย ฉันต้องกันไว้ก่อน เฮ้อ ฉันล่ะปวดกบาลจริงๆ เพราะหลังจากที่ป๊าเล่าเรื่องข่าวฉาวนั่นให้ฉันฟัง ฉันก็อดเป็นห่วงวงเอ็กซ์คิวไม่ได้ ภาพนั้น...กลายเป็นภาพที่โด่งดังไปทั้งประเทศ ป๊าแกบอกว่ามีอยู่ในหนังสือพวกซุบซิบดารานักร้องเกือบทุกเล่มเลย ส่วนหนังสือพิมพ์ก็พาดหน้าข่าวบันเทิงไม่เว้นในแต่ละวัน ไหนจะว่าฉันเป็นกิ๊กกับคนใดคนหนึ่งในวงบ้าง ไหนจะว่าฉันเป็นคนพิเศษของวงบ้าง มันมีทั้งเสียหายเต็มๆ และแบบเบาบาง ส่วนใหญ่จะไม่หนักหนาอะไร แต่ที่ข่าวมันดังโครมๆ เพราะพวกสำนักพิมพ์เขาต้องการให้แฟนคลับลุ้นว่าผู้หญิงในภาพนั้น(ฉัน) คือใคร และเป็นอะไรกับคนในวง ซึ่งฉันก็ไม่ได้เดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในโลกแห่งอดีตทุกวัน จึงไม่มีใครเก็บภาพฉันได้นอกจากภาพที่ฉันไปเที่ยวทะเลกับพวกพี่เขา...โชคยังดีที่รูปในตอนเป็นผู้หญิงของฉันมันมีเพียงไม่กี่รูป เพราะเวลาส่วนใหญ่ที่นั้นฉันมักจะแต่งเป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่
“สามร้อยห้าสิบครับ” โชเฟอร์หันมาบอกทันทีที่จอดรถลงตรงหน้าโรงพยาบาล ป๊าพี่บริงค์ยื่นเงินให้ รอเงินทอนก่อนแล้วจึงค่อยลงจากรถไปพร้อมกับฉัน อา...บรรยากาศที่นี่ดูเงียบๆ พิกลแฮะ ถึงป๊าพี่บริงค์จะบอกว่าบังคับให้พวกแฟนคลับกลับไปบ้านแล้วก็เถอะ แต่ฉันก็ยังอดใจหวิวไม่ได้อยู่ดี ที่ป๊าแกยังอุตส่าห์บอกมาว่า...ส่วนอีกสามสี่คนที่เหลือนี่ดื้อสุดๆ ไม่ยอมกลับ เอ่อ...หวังว่าคงจะปลอดภัยนะ
ฉันเดินตามป๊าไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่หน้าห้องไอซียู พวกแฟนคลับที่ลงทุนขนหมอนเสื่อมานอนเฝ้ากันที่นี่หลับไปแล้ว หลับสนิทด้วยมั้งน่ะ =) ฉันอมยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะหันกลับไปเพราะป๊าเรียก
“อ่ะ เข้าไปสิลูก” ป๊าผลักประตูกระจกเข้าไปให้ ฉันโค้งตัวเชิงขอบคุณหน้ายิ้มๆ ให้กับป๊าก่อนจะเดินเข้าไปข้างในท่ามกลางความเงียบ และเสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ ของตัวเอง
“นิกิม...” เสียงแหบโหยดังมาจากคนที่นั่งพิงหลังกับเตียง ฉันมองเขาที่มีทั้งสายให้น้ำเกลือ และสายอะไรต่อมิอะไรอีกไม่รู้พันอยู่รอบตัวมากมายระโยงระยางไปหมด คนบนเตียงคนไข้เบิกตากว้างพอๆ กับฉันที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตู ฉันมองเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งดีใจ ตื่นเต้น ตื้นตัน ทุกอย่าง! ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้เจอเขาจริงๆ!
“พี่บริงค์!!!” ไม่รู้ว่าตะโกนออกไปดังแค่ไหน ไม่รู้ว่าขาทั้งสองข้างของฉันมันวิ่งถลาเข้าไปหาเขาเมื่อไหร่ เพิ่งจะมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อที่ได้กอดกับเขาแน่นด้วยความคิดถึงที่สุด พี่บริงค์โอบฉันไว้แน่น และถ้าฉันหูไม่ฝาด...เขาร้องไห้?
“กลับมาจนได้นะยัยหมูบ้า!” ต่อว่าพร้อมกับขยับใบหน้าซุกมาที่บ่า ฉันกระชับกอดแน่นในขณะที่เขาเองก็กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีกเหมือนกัน ตอนนี้น้ำตาของฉันมันกลั้นไม่อยู่แล้วล่ะ พอได้เห็นหน้าเขา...แค่ได้เห็นหน้าเขา ฉันก็พร้อมที่จะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ พูดถึง...ฉันไม่บ่อน้ำแตกตั้งแต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูก็ถือว่าเก่งแล้ว
“คิดถึงจังเลย ฮือๆๆ” น้ำตา น้ำมูก ไหลออกมาพร้อมๆ กันอย่างสับสนในระบบร่างกาย ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร ถึงแม้ว่าจะมีแค่เพียงป๊าพี่บริงค์ก็เถอะ ฉันสะอื้นฮักร้องไห้อย่างหนักแล้วซบหน้ากับไหล่หนา
“นึกว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว” เสียงสั่นเครือที่ดังอยู่ข้างหู ทำเอาฉันยิ่งอยากกอดเขาให้แน่นขึ้นไปอีกถ้าหากมันไม่ทำให้เขาตายเร็วเพราะขาดอากาศหายใจ
“รู้มั้ย...” เสียงสั่นเครือเว้นวรรค ทำให้ฉันตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาจะพูด พี่บริงค์สูดน้ำมูกก่อนจะเลื่อนมือขึ้นลูบผมฉันไปพลาง เสียงถอนหายใจเบาๆ มันช่างดูอบอุ่นเหลือเกิน เหมือนกับว่าเขาโล่งใจที่ได้เห็นหน้าฉัน
“พี่รอเธอมาตั้งหลายเดือน... รอว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมาสักที ที่ผ่านมา...พี่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยนิกิม พี่คิดถึงเธอ พี่ขาดเธอไม่ได้ พี่ต้องทนฝืนลืมตาทุกคืนเพื่อรอเธอ แต่เธอก็ไม่มาซะที พี่ได้แต่ภาวนาก่อนนอนทุกคืนว่าขอให้เธอกลับมา กลับมาหาพี่บริงค์คนนี้ และเธอก็กลับมานิกิม เธอกลับมาจริงๆ!” พี่บริงค์หัวเราะไปพร้อมน้ำตา ฉันก็ยิ้มไปร้องไห้ไปเหมือนกัน มัน...บอกไม่ถูกเลยว่าจะยิ้มหรือจะร้องไห้ดี
“ใช่ นิกิมกลับมาแล้ว นิกิมกลับมาให้พี่บริงค์ขยี้ผมเล่นแล้วนะ” ฉันหัวเราะก่อนจะเบ้หน้าเมื่อมันจะร้องไห้อีกแล้ว
“ฮือๆ เราอยู่ตรงนี้แล้วนะพี่บริงค์ ฮึกๆ ฮือออ” ฉันกำเสื้อเขาแน่นแล้วปล่อยโฮออกมาอีกครั้งหลังจากกลั้นไว้ได้ไม่นาน พูดไม่ออกแล้ว นึกคำพูดใดๆ ที่จะบอกไปตรงๆ ว่าฉันคิดถึงไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เราต่างฝ่ายต่างเงียบไปทั้งคู่ ปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ มากมายได้ถ่ายทอดให้แก่กันด้วยอ้อมกอดของเราสองคน อบอุ่นจัง คิดถึงจัง...อ้อมกอดนี้
พี่บริงค์...
“อือ~” เหมือนสัญชาตญาณมันสั่งให้ตื่นขึ้น ฉันผงกหัวขึ้นมาแล้วหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง
ตีห้าแล้วเหรอ เฮ้อ~
ฉันเกาหัวแกรกๆ พลางยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากนั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียงทั้งคืน ทำไงได้ ก็ฉันไม่อยากห่างเขานี่นา
“อื้อ” ฉันบิดขี้เกียจเต็มที่พลางหาวหวอดยาวเหยียด พอร่างกายมันได้ยืดเส้นยืดสาย หายง่วงไปบ้างแล้วฉันก็หันหน้าไปมองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ทั้งแพขนตางอนเมื่อยามหลับตา ปากอิ่มที่ปิดสนิทมีอมยิ้มน้อยๆ ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหลับแล้วจริงๆ ทำให้ฉันอดยิ้มอย่างอดขำตัวเองไม่ได้ หึๆ ฉันไม่เคยได้เห็นหน้าเขายามหลับอย่างนี้มาก่อนเลย จะมีก็แต่เขาเท่านั้นแหละที่เห็นท่าน่าเกลียดๆ ของฉันยามเปลี่ยนท่านอนในแต่ละท่าน่ะ เฮ้อ อายมั้ยเนี่ยฉัน ฮ่าๆ
ฉันหันไปมองป๊าที่หลับอยู่บนโซฟา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปขยับผ้าห่มให้ อากาศในห้องนี้มันเย็น ควรจะห่มผ้าไว้อย่างมิดชิดนะคะป๊า ^^ ฉันยืดตัวขึ้นแล้วเดินกลับไปที่เดิม ที่ที่ฉันเพิ่งจากมาจากการหลับไหล แล้วไล่มองใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลานั้นด้วยความรัก
“แต่ว่าฉันต้องไปแล้ว” ฉันรำพึงเสียงเบากับตัวเอง ก่อนจะยอมตัดใจหันหลังให้ทันที น้ำตาที่เคยแห้งไปนานแล้วกลับรื้นขึ้นมาอีก เตรียมจะไหลออกมาให้ได้ ไม่ได้นะ! เธอจะร้องไห้ไม่ได้ ดึกๆ แบบนี้ถ้าเดินร้องไห้ออกไปเดี๋ยวคนทั้งโรงพยาบาลก็ได้แตกตื่นกันพอดี...ฮึก
ฉันกัดนิ้วตัวเองแล้วก้าวขาจะเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ทว่า...มืออุ่นที่คว้าจับมือฉันไว้ได้ทัน ทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกแล้วหันกลับไปทันที
“อย่าเพิ่งกลับไปได้มั้ย” สีหน้าอ้อนวอนขอร้องนั้น ทำให้ฉันใจอ่อนยวบ ไม่ใช่ว่าฉันจะอยากกลับเสียเมื่อไหร่ แต่ถ้าปล่อยให้เช้าไปมากกว่านี้มันจะลำบากเอานะ ฉันเดาได้เลยว่าไม่เกินหกโมง พวกแฟนคลับก็จะแห่มาเยี่ยมที่หน้าห้องนี้กันแล้ว และความวุ่นวายก็จะบังเกิดถ้าทุกคนเห็นฉัน เด็กผู้ชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็เดินออกมาจากห้องนี้
อีกมือหนึ่งของฉันกุมทับมือเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พี่บริงค์ไม่พูดอะไร ได้แต่มองฉันอย่างขอร้อง
“ไม่ต้องห่วงนะ เราจะมานอนเฝ้าพี่ทุกคืนเลย ^^” ฉันพูดยิ้มๆ แต่เขาไม่ยิ้มน่ะสิ
“แน่ใจได้ไงว่าเธอจะทำได้อย่างที่พูดจริงๆ”
“เอ่อ...ฮะๆ ต้องทำได้สิ เราสัญญาว่าจะมานอนเฝ้าคนขี้แงทุกคืนเลย >_<”
“ใครขี้แง เดี๋ยวเถอะ - -^” พี่บริงค์เริ่มหน้ามุ่ยแล้ว ฮะๆ น่ารักจริงจริ๊งงงง >///<
“ก็นี่ไง คน...ขี้แง นี่แน่ะๆ” ฉันหยิกแก้มเขาอย่างมันเขี้ยวจนพี่บริงค์ร้องเบาๆ
“โอ๊ย เจ็บๆๆ พี่ไม่ใช่คนขี้แงซะหน่อย ก็แค่...รักนิกิมมากไปก็เท่านั้นเอง ^^ อิอิ” พี่บริงค์ยิ้มกว้างพลางหัวเราะคิกๆ ฉันตีแขนเขาเบาๆ อย่างหมั่นไส้เต็มทน แต่หน้านี่สิ ยิ้มไม่หุบเลย คนบ้า! พูดมาได้ (รู้ไหมว่าโคตรชอบเลยอ่ะ!)
“พอและๆ เราจะกลับแล่ว” ฉันชักมือออกแล้วหันหลังกลับ
“เดี๋ยว”
“ฮึ? อะไรอีก” เหมือนจะจำใจหันกลับไปอย่างรำคาญ แต่ที่จริงแล้วฉันเต็มใจจะหันกลับไปหาเขากี่ครั้งก็ได้ ตลอดชีวิตเลยก็ได้อ่ะ(เว่อร์อีกแล้วฉัน = =^)
“=3=”
“= =?” อะไรของเขา ทำปากจู๋ๆ แล้วหลับตาพริ้มเหมือนเด็กๆ อะไรเนี่ยพี่บริงค์ ต้องการจะสื่ออะไรยะ?!
“จุ๊บก่อนเด้ จู~ =3=”
“หา?” งงเลยค่ะ จุ๊บ...เหรอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนเนี่ยนะ? O_o
“เร็ว ถ้างั้นก็ไม่ให้ไป” คำสั่งเด็ดขาดจากคุณพี่ ทำเอาฉันอมยิ้มแล้วก้าวเข้าไปหาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วจุ๊บปากเร็วๆ ตามคำขอ(เชิงบังคับ) ก่อนจะดึงตัวกลับแล้วแลบลิ้นให้ แบร่ ;P
“โห่ ไรกันอ่ะ แค่เนี้ย?”
“จะเอาอะไรมากมาย แค่นี้ก็พอแล่ว - -” พี่บริงค์ฟังแล้วเบ้ปากงอนๆ
“เอ๊อออ จำไว้เลยนะ” พี่แกพยักหน้าช้าๆ แล้วเชิดใส่หันไปทางอื่น ฉันมองผู้ชายขี้งอนคนนี้แล้วแอบยิ้มแบบพยายามกลั้นยิ้มสุดๆ
“นี่ พี่บริงค์” ฉันเรียกเขาพลางชะเง้อหน้าเข้าไปมอง แต่พี่แกก็ทำเป็นไม่สนใจ ยังคงขมวดคิ้วเป็นโบดำ เห็นแล้วอดขำไม่ได้เลยอ่ะ ฮะๆ เชื่อเลยว่าใครหลายคนมักจะมีมุมของความเป็นเด็กในเวลาที่เขาไม่รู้ตัว เช่น ตอนงอน ตอนเอาแต่ใจนี่แสดงออกมาอย่างชัดเจนที่สุด เช่นคนนี้...ตอนนี้พี่บริงค์แสร้งทำเป็นหลับตา แล้วนอนหันหลังให้อย่างงอนๆ
“ว้า หลับซะและ งั้นเรากลับดีกว่า”
“ไปเลยๆ เชอะ!”
“กลับจริงๆ นะ” ฉันถามลองเชิงอีกครั้ง แต่เขาก็ยังคงนอนหันหลังให้แล้วไม่พูดอะไรอีก ฉันจึงได้เงียบ แล้วหันหลังกลับเดินไปที่ประตู
“จะรอนะ”
ฉันชะงักเล็กน้อยกับประโยคนั้น ก่อนจะเหลียวหลังไปมองเขาอีกครั้ง คราวนี้เห็นพี่บริงค์ที่เอี้ยวหน้ามามองฉันด้วยแววตาแบบ...ไม่รู้สิ สบตาด้วยแล้วมันใจหาย
“อืม” ฉันพยักหน้า แล้วยิ้มให้ ก่อนจะผลักบานประตูแล้วเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปอีก พอเดินออกมาได้นิดเดียวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สวมแว่นเลย ตายแล้วๆ ต้องรีบสวมแว่นซะก่อนที่จะมีใครเห็นหน้าฉัน ชื้บ!
นับตั้งแต่วันที่ฉันรักเธอ [ตอนที่ 31]
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ฉันได้แต่ภาวนาว่าขอให้ได้เจอกับพี่บริงค์อีกสักครั้ง ใช่...หลายคนอาจจะคิดว่าที่จริงแล้ว ทำไมฉันไม่ไปหาเขาที่โรงพยาบาลซะเลยล่ะ รังเกียจเขาเหรอ ที่เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก รังเกียจเขาเหรอ ที่ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว? หึ เปล่าเลย ไม่ใช่เหตุผลเห็นแก่ตัวพวกนั้นทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะว่า...
...ห้วงเวลาของเรามันต่างกันมากยังไงล่ะ ฉันจะต้องเติมเต็มความทรงจำของพี่บริงค์ให้สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าเกิดฉันไปหาเขาตอนนี้ มันก็เท่ากับว่า...ฉันได้ตัดความทรงจำของเขาออกไปครึ่งหนึ่ง และความห่างระหว่างเราก็จะมากขึ้นถ้าเกิดฉันไปหาเขาในโลกปัจจุบัน ในเรื่องนี้ฉันอธิบายไม่ค่อยได้หรอก เพราะฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชะตา สวรรค์ กำลังแกล้งอะไรฉันอยู่ ตอนนี้...พี่บริงค์จะเป็นยังไงบ้างฉันก็ไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่าตอนนี้ฉันคิดถึงเขามาก คิดถึงจนเจ็บปวดที่หัวใจ ฉันเจ็บ...เจ็บที่ต้องทนคิดถึงเขาอยู่อย่างนี้
ได้โปรดเถอะ...
ช่วยพาฉันกลับไปหาพี่บริงค์ที!!!
“อือ~” ฉันเบ้หน้ากับความหนาวที่คุ้นเคยหากมันไม่สามารถพอที่จะปลุกให้คนขี้เซาคนนี้ตื่นได้ ฉันพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านแล้วดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมปิดถึงคอ
“ฮึ”
ฉันขมวดคิ้ว กับเสียงแปลกปลอมที่ดังมาจากตรงหน้า
“...” ฮื่อ ฉันนี่ชอบละเมอเพ้อเจ้ออยู่เรื่อย หูฝาดอีกตามเคยละมั้ง ช่างเถอะ นอนต่อ
“นิกิม” เสียงแหบแห้งฟังดูแปลกๆ เมื่อกี้ดูตกใจมาก ฉันค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้นเชื่องช้า มองภาพตรงหน้าที่แสนจะเบลอไม่ชัดเอาเสียเลย ใครกัน? ใครกันที่นั่งฟุบอยู่ขอบเตียง
“นิกิม นี่ป๊าเองลูก”
“ฮึ!?”
พรวด!
ฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วคลานแตะๆ ไปที่หัวเตียงอย่างรีบรนเพื่อหายานอนหลับ โอย ตายๆๆ ป๊าพี่บริงค์อีกแล้ว >O<
“เดี๋ยวหนู! อย่าเพิ่งไป”
กึก ฉันชะงักกึกแล้วหันไปมองป๊าอย่างงงๆ
“ป๊ารู้เรื่องทุกอย่างแล้วล่ะ ว่าหนูเป็นอะไรกับบริงค์” ฉันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“หะ...หา??? O[]O!!!” ป๊าพี่บริงค์ยิ้มบางๆ ให้ฉันก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ป่ะ บริงค์เขารอหนูอยู่นะ”
“คะ รอ? ที่ไหนคะ?”
“โรงพยาบาล” และแล้วคำตอบที่ได้มาก็ทำฉันใจหายวาบ คงไม่ทันสินะ...ไม่สิ ไม่ใช่ว่าไม่ทัน แต่ว่าฉัน...ไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ต่างหากล่ะ โธ่เว้ย! เจ็บใจจริงๆ
ฉันนั่งรถแท็กซี่มากับป๊าพี่บริงค์โดยที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายใส่แว่น เพื่อความปลอดภัย ฉันต้องกันไว้ก่อน เฮ้อ ฉันล่ะปวดกบาลจริงๆ เพราะหลังจากที่ป๊าเล่าเรื่องข่าวฉาวนั่นให้ฉันฟัง ฉันก็อดเป็นห่วงวงเอ็กซ์คิวไม่ได้ ภาพนั้น...กลายเป็นภาพที่โด่งดังไปทั้งประเทศ ป๊าแกบอกว่ามีอยู่ในหนังสือพวกซุบซิบดารานักร้องเกือบทุกเล่มเลย ส่วนหนังสือพิมพ์ก็พาดหน้าข่าวบันเทิงไม่เว้นในแต่ละวัน ไหนจะว่าฉันเป็นกิ๊กกับคนใดคนหนึ่งในวงบ้าง ไหนจะว่าฉันเป็นคนพิเศษของวงบ้าง มันมีทั้งเสียหายเต็มๆ และแบบเบาบาง ส่วนใหญ่จะไม่หนักหนาอะไร แต่ที่ข่าวมันดังโครมๆ เพราะพวกสำนักพิมพ์เขาต้องการให้แฟนคลับลุ้นว่าผู้หญิงในภาพนั้น(ฉัน) คือใคร และเป็นอะไรกับคนในวง ซึ่งฉันก็ไม่ได้เดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในโลกแห่งอดีตทุกวัน จึงไม่มีใครเก็บภาพฉันได้นอกจากภาพที่ฉันไปเที่ยวทะเลกับพวกพี่เขา...โชคยังดีที่รูปในตอนเป็นผู้หญิงของฉันมันมีเพียงไม่กี่รูป เพราะเวลาส่วนใหญ่ที่นั้นฉันมักจะแต่งเป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่
“สามร้อยห้าสิบครับ” โชเฟอร์หันมาบอกทันทีที่จอดรถลงตรงหน้าโรงพยาบาล ป๊าพี่บริงค์ยื่นเงินให้ รอเงินทอนก่อนแล้วจึงค่อยลงจากรถไปพร้อมกับฉัน อา...บรรยากาศที่นี่ดูเงียบๆ พิกลแฮะ ถึงป๊าพี่บริงค์จะบอกว่าบังคับให้พวกแฟนคลับกลับไปบ้านแล้วก็เถอะ แต่ฉันก็ยังอดใจหวิวไม่ได้อยู่ดี ที่ป๊าแกยังอุตส่าห์บอกมาว่า...ส่วนอีกสามสี่คนที่เหลือนี่ดื้อสุดๆ ไม่ยอมกลับ เอ่อ...หวังว่าคงจะปลอดภัยนะ
ฉันเดินตามป๊าไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่หน้าห้องไอซียู พวกแฟนคลับที่ลงทุนขนหมอนเสื่อมานอนเฝ้ากันที่นี่หลับไปแล้ว หลับสนิทด้วยมั้งน่ะ =) ฉันอมยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะหันกลับไปเพราะป๊าเรียก
“อ่ะ เข้าไปสิลูก” ป๊าผลักประตูกระจกเข้าไปให้ ฉันโค้งตัวเชิงขอบคุณหน้ายิ้มๆ ให้กับป๊าก่อนจะเดินเข้าไปข้างในท่ามกลางความเงียบ และเสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ ของตัวเอง
“นิกิม...” เสียงแหบโหยดังมาจากคนที่นั่งพิงหลังกับเตียง ฉันมองเขาที่มีทั้งสายให้น้ำเกลือ และสายอะไรต่อมิอะไรอีกไม่รู้พันอยู่รอบตัวมากมายระโยงระยางไปหมด คนบนเตียงคนไข้เบิกตากว้างพอๆ กับฉันที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตู ฉันมองเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งดีใจ ตื่นเต้น ตื้นตัน ทุกอย่าง! ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้เจอเขาจริงๆ!
“พี่บริงค์!!!” ไม่รู้ว่าตะโกนออกไปดังแค่ไหน ไม่รู้ว่าขาทั้งสองข้างของฉันมันวิ่งถลาเข้าไปหาเขาเมื่อไหร่ เพิ่งจะมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อที่ได้กอดกับเขาแน่นด้วยความคิดถึงที่สุด พี่บริงค์โอบฉันไว้แน่น และถ้าฉันหูไม่ฝาด...เขาร้องไห้?
“กลับมาจนได้นะยัยหมูบ้า!” ต่อว่าพร้อมกับขยับใบหน้าซุกมาที่บ่า ฉันกระชับกอดแน่นในขณะที่เขาเองก็กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีกเหมือนกัน ตอนนี้น้ำตาของฉันมันกลั้นไม่อยู่แล้วล่ะ พอได้เห็นหน้าเขา...แค่ได้เห็นหน้าเขา ฉันก็พร้อมที่จะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ พูดถึง...ฉันไม่บ่อน้ำแตกตั้งแต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูก็ถือว่าเก่งแล้ว
“คิดถึงจังเลย ฮือๆๆ” น้ำตา น้ำมูก ไหลออกมาพร้อมๆ กันอย่างสับสนในระบบร่างกาย ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร ถึงแม้ว่าจะมีแค่เพียงป๊าพี่บริงค์ก็เถอะ ฉันสะอื้นฮักร้องไห้อย่างหนักแล้วซบหน้ากับไหล่หนา
“นึกว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว” เสียงสั่นเครือที่ดังอยู่ข้างหู ทำเอาฉันยิ่งอยากกอดเขาให้แน่นขึ้นไปอีกถ้าหากมันไม่ทำให้เขาตายเร็วเพราะขาดอากาศหายใจ
“รู้มั้ย...” เสียงสั่นเครือเว้นวรรค ทำให้ฉันตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาจะพูด พี่บริงค์สูดน้ำมูกก่อนจะเลื่อนมือขึ้นลูบผมฉันไปพลาง เสียงถอนหายใจเบาๆ มันช่างดูอบอุ่นเหลือเกิน เหมือนกับว่าเขาโล่งใจที่ได้เห็นหน้าฉัน
“พี่รอเธอมาตั้งหลายเดือน... รอว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมาสักที ที่ผ่านมา...พี่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยนิกิม พี่คิดถึงเธอ พี่ขาดเธอไม่ได้ พี่ต้องทนฝืนลืมตาทุกคืนเพื่อรอเธอ แต่เธอก็ไม่มาซะที พี่ได้แต่ภาวนาก่อนนอนทุกคืนว่าขอให้เธอกลับมา กลับมาหาพี่บริงค์คนนี้ และเธอก็กลับมานิกิม เธอกลับมาจริงๆ!” พี่บริงค์หัวเราะไปพร้อมน้ำตา ฉันก็ยิ้มไปร้องไห้ไปเหมือนกัน มัน...บอกไม่ถูกเลยว่าจะยิ้มหรือจะร้องไห้ดี
“ใช่ นิกิมกลับมาแล้ว นิกิมกลับมาให้พี่บริงค์ขยี้ผมเล่นแล้วนะ” ฉันหัวเราะก่อนจะเบ้หน้าเมื่อมันจะร้องไห้อีกแล้ว
“ฮือๆ เราอยู่ตรงนี้แล้วนะพี่บริงค์ ฮึกๆ ฮือออ” ฉันกำเสื้อเขาแน่นแล้วปล่อยโฮออกมาอีกครั้งหลังจากกลั้นไว้ได้ไม่นาน พูดไม่ออกแล้ว นึกคำพูดใดๆ ที่จะบอกไปตรงๆ ว่าฉันคิดถึงไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เราต่างฝ่ายต่างเงียบไปทั้งคู่ ปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ มากมายได้ถ่ายทอดให้แก่กันด้วยอ้อมกอดของเราสองคน อบอุ่นจัง คิดถึงจัง...อ้อมกอดนี้
พี่บริงค์...
“อือ~” เหมือนสัญชาตญาณมันสั่งให้ตื่นขึ้น ฉันผงกหัวขึ้นมาแล้วหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง
ตีห้าแล้วเหรอ เฮ้อ~
ฉันเกาหัวแกรกๆ พลางยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากนั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียงทั้งคืน ทำไงได้ ก็ฉันไม่อยากห่างเขานี่นา
“อื้อ” ฉันบิดขี้เกียจเต็มที่พลางหาวหวอดยาวเหยียด พอร่างกายมันได้ยืดเส้นยืดสาย หายง่วงไปบ้างแล้วฉันก็หันหน้าไปมองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ทั้งแพขนตางอนเมื่อยามหลับตา ปากอิ่มที่ปิดสนิทมีอมยิ้มน้อยๆ ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหลับแล้วจริงๆ ทำให้ฉันอดยิ้มอย่างอดขำตัวเองไม่ได้ หึๆ ฉันไม่เคยได้เห็นหน้าเขายามหลับอย่างนี้มาก่อนเลย จะมีก็แต่เขาเท่านั้นแหละที่เห็นท่าน่าเกลียดๆ ของฉันยามเปลี่ยนท่านอนในแต่ละท่าน่ะ เฮ้อ อายมั้ยเนี่ยฉัน ฮ่าๆ
ฉันหันไปมองป๊าที่หลับอยู่บนโซฟา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปขยับผ้าห่มให้ อากาศในห้องนี้มันเย็น ควรจะห่มผ้าไว้อย่างมิดชิดนะคะป๊า ^^ ฉันยืดตัวขึ้นแล้วเดินกลับไปที่เดิม ที่ที่ฉันเพิ่งจากมาจากการหลับไหล แล้วไล่มองใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลานั้นด้วยความรัก
“แต่ว่าฉันต้องไปแล้ว” ฉันรำพึงเสียงเบากับตัวเอง ก่อนจะยอมตัดใจหันหลังให้ทันที น้ำตาที่เคยแห้งไปนานแล้วกลับรื้นขึ้นมาอีก เตรียมจะไหลออกมาให้ได้ ไม่ได้นะ! เธอจะร้องไห้ไม่ได้ ดึกๆ แบบนี้ถ้าเดินร้องไห้ออกไปเดี๋ยวคนทั้งโรงพยาบาลก็ได้แตกตื่นกันพอดี...ฮึก
ฉันกัดนิ้วตัวเองแล้วก้าวขาจะเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ทว่า...มืออุ่นที่คว้าจับมือฉันไว้ได้ทัน ทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกแล้วหันกลับไปทันที
“อย่าเพิ่งกลับไปได้มั้ย” สีหน้าอ้อนวอนขอร้องนั้น ทำให้ฉันใจอ่อนยวบ ไม่ใช่ว่าฉันจะอยากกลับเสียเมื่อไหร่ แต่ถ้าปล่อยให้เช้าไปมากกว่านี้มันจะลำบากเอานะ ฉันเดาได้เลยว่าไม่เกินหกโมง พวกแฟนคลับก็จะแห่มาเยี่ยมที่หน้าห้องนี้กันแล้ว และความวุ่นวายก็จะบังเกิดถ้าทุกคนเห็นฉัน เด็กผู้ชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็เดินออกมาจากห้องนี้
อีกมือหนึ่งของฉันกุมทับมือเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พี่บริงค์ไม่พูดอะไร ได้แต่มองฉันอย่างขอร้อง
“ไม่ต้องห่วงนะ เราจะมานอนเฝ้าพี่ทุกคืนเลย ^^” ฉันพูดยิ้มๆ แต่เขาไม่ยิ้มน่ะสิ
“แน่ใจได้ไงว่าเธอจะทำได้อย่างที่พูดจริงๆ”
“เอ่อ...ฮะๆ ต้องทำได้สิ เราสัญญาว่าจะมานอนเฝ้าคนขี้แงทุกคืนเลย >_<”
“ใครขี้แง เดี๋ยวเถอะ - -^” พี่บริงค์เริ่มหน้ามุ่ยแล้ว ฮะๆ น่ารักจริงจริ๊งงงง >///<
“ก็นี่ไง คน...ขี้แง นี่แน่ะๆ” ฉันหยิกแก้มเขาอย่างมันเขี้ยวจนพี่บริงค์ร้องเบาๆ
“โอ๊ย เจ็บๆๆ พี่ไม่ใช่คนขี้แงซะหน่อย ก็แค่...รักนิกิมมากไปก็เท่านั้นเอง ^^ อิอิ” พี่บริงค์ยิ้มกว้างพลางหัวเราะคิกๆ ฉันตีแขนเขาเบาๆ อย่างหมั่นไส้เต็มทน แต่หน้านี่สิ ยิ้มไม่หุบเลย คนบ้า! พูดมาได้ (รู้ไหมว่าโคตรชอบเลยอ่ะ!)
“พอและๆ เราจะกลับแล่ว” ฉันชักมือออกแล้วหันหลังกลับ
“เดี๋ยว”
“ฮึ? อะไรอีก” เหมือนจะจำใจหันกลับไปอย่างรำคาญ แต่ที่จริงแล้วฉันเต็มใจจะหันกลับไปหาเขากี่ครั้งก็ได้ ตลอดชีวิตเลยก็ได้อ่ะ(เว่อร์อีกแล้วฉัน = =^)
“=3=”
“= =?” อะไรของเขา ทำปากจู๋ๆ แล้วหลับตาพริ้มเหมือนเด็กๆ อะไรเนี่ยพี่บริงค์ ต้องการจะสื่ออะไรยะ?!
“จุ๊บก่อนเด้ จู~ =3=”
“หา?” งงเลยค่ะ จุ๊บ...เหรอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนเนี่ยนะ? O_o
“เร็ว ถ้างั้นก็ไม่ให้ไป” คำสั่งเด็ดขาดจากคุณพี่ ทำเอาฉันอมยิ้มแล้วก้าวเข้าไปหาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วจุ๊บปากเร็วๆ ตามคำขอ(เชิงบังคับ) ก่อนจะดึงตัวกลับแล้วแลบลิ้นให้ แบร่ ;P
“โห่ ไรกันอ่ะ แค่เนี้ย?”
“จะเอาอะไรมากมาย แค่นี้ก็พอแล่ว - -” พี่บริงค์ฟังแล้วเบ้ปากงอนๆ
“เอ๊อออ จำไว้เลยนะ” พี่แกพยักหน้าช้าๆ แล้วเชิดใส่หันไปทางอื่น ฉันมองผู้ชายขี้งอนคนนี้แล้วแอบยิ้มแบบพยายามกลั้นยิ้มสุดๆ
“นี่ พี่บริงค์” ฉันเรียกเขาพลางชะเง้อหน้าเข้าไปมอง แต่พี่แกก็ทำเป็นไม่สนใจ ยังคงขมวดคิ้วเป็นโบดำ เห็นแล้วอดขำไม่ได้เลยอ่ะ ฮะๆ เชื่อเลยว่าใครหลายคนมักจะมีมุมของความเป็นเด็กในเวลาที่เขาไม่รู้ตัว เช่น ตอนงอน ตอนเอาแต่ใจนี่แสดงออกมาอย่างชัดเจนที่สุด เช่นคนนี้...ตอนนี้พี่บริงค์แสร้งทำเป็นหลับตา แล้วนอนหันหลังให้อย่างงอนๆ
“ว้า หลับซะและ งั้นเรากลับดีกว่า”
“ไปเลยๆ เชอะ!”
“กลับจริงๆ นะ” ฉันถามลองเชิงอีกครั้ง แต่เขาก็ยังคงนอนหันหลังให้แล้วไม่พูดอะไรอีก ฉันจึงได้เงียบ แล้วหันหลังกลับเดินไปที่ประตู
“จะรอนะ”
ฉันชะงักเล็กน้อยกับประโยคนั้น ก่อนจะเหลียวหลังไปมองเขาอีกครั้ง คราวนี้เห็นพี่บริงค์ที่เอี้ยวหน้ามามองฉันด้วยแววตาแบบ...ไม่รู้สิ สบตาด้วยแล้วมันใจหาย
“อืม” ฉันพยักหน้า แล้วยิ้มให้ ก่อนจะผลักบานประตูแล้วเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปอีก พอเดินออกมาได้นิดเดียวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สวมแว่นเลย ตายแล้วๆ ต้องรีบสวมแว่นซะก่อนที่จะมีใครเห็นหน้าฉัน ชื้บ!