สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
พุทธอิสระปุจฉา วัชรานนท์ตอบ http://pantip.com/topic/32731725

สุวิทย์: “หรือว่า เราจะเป็นคนโง่จริงๆ”
วัชรานนท์: โง่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะคุณ....อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าโง่อย่างไร? ขนาดไหน?
สุวิทย์: "นักบวชในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ มีไม่ต่ำกว่าสองแสนเศษ มีวัดสามหมื่นกว่า ทุกท่านล้วนแล้วแต่ยังอยู่ดี มีเงินใช้ มีคนไหว้ ได้รับกิจนิมนต์ มีเอกลาภ ได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มทุกสี รังภาครัฐและประชาชน........ไม่ว่าเทพจะมีอำนาจ หรือมาจะครองเมือง นักบวชผู้ชาญฉลาดรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ยี่หระทุกข์ร้อน แม้แต่จะมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสักกี่ราย ...........ขอกรูอยู่ได้ พวกกรูรอดเป็นพอใจ ฉันถึงได้จั่วหัวเรื่องว่า หรือเราจะโง่จริงๆ..."
วัชรานนท์: นี่แหละคือมุมมองของคนโง่อย่างหนึ่ง คือคิดเองเออเองฝ่ายเดียว คิดว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องอยู่คนเดียว ส่วนพระอีกหลายแสนรูปนั้นไม่ถูกต้อง และที่สุวิทย์บ่นด่าพระเป็นแสนๆ รูปอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” แทบทั้งสิ้น จะให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างสุวิทย์ ควรหรือ?? ก็มีบ้างนะที่ออกมาโยว้ๆ เหมือนสุวิทย์..... ขนาดนั้นก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละเพราะออกมาโย้วๆ คนละข้างกับสุวิทย์
สุวิทย์: "โง่ที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด โง่ที่ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของตน โง่ที่ไม่รู้จักรักษาภาพให้ดูดี โง่ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เกินไป.....บลา บลา บลา"
วัชรานนท์: การพูดแบบลงโทษตัวเองในลักษณะนี้เขาเรียกว่าเรียกคะแนนสงสาร เพื่อเสริมภาพพจน์ตัวเองให้เด่นกว่าที่เป็นอยู่...อีกทางหนึ่งเป็นการสะท้อนความโง่ ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมา ถ้าสุวิทย์คิดว่าตัวเองเป็นพระนะ....สิ่งเหล่านี้สุวิทย์ไม่ต้องข้องแวะเลย เหมือนพระหลายแสนรูปที่สุวิทย์กำลังตำหนิอยู่นั่นแหละท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ อย่าอ้างเอาความตายความทุกข์ของประชาชนมารองรับการกระทำ(เห้ๆ ของสุวิทย์) แล้วตีกระทบด่าพระเป็นแสนๆ เลย สุวิทย์เองก็มือโชกเลือดต่อการตายด้วยไม่ใช่หรือ? ตัวเองทำผิดแล้วเที่ยวไปด่าคนอื่นมีแต่คนโง่กับคนโง่ด้วยกันนั่นแหละที่เออออห่อหมกกับการกระทำของสุวิทย์
สุวิทย์: "ฉันคิดเล่นๆ ต่อไปว่า หากฉันฉลาดสักนิด ทำชีวิตให้อยู่สุขสบายเป็นพวกสุขนิยม ทำตนให้เป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร เทพก็เข้าได้ มารก็คุยด้วย....ฉันคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้"
วัชรานนท์: สุวิทย์ต้องรอลงอเวจีก่อน ลำบากกว่านี้แน่....หากอยากจะฉลาดก็ทำสิครับ จะมาทุกข์ร้อนห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไม? ริจะเป็นพระก็ต้องลำบาก ลำบากในการเร่งความเพียรให้พ้นฝั่งโลกียะ...ไม่ใช่เพียรในการว่ายไปหาอีกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่สุวิทย์ทำอยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าทั้งโง่ทั้งเขลา พระพุทธองค์ตำหนิในความเพียรแบบโง่ๆ ตรงนี้ บอกตรงๆ นะสุวิทย์....ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียใจด้วย มันสายไปเสียแล้วที่จะได้เห็นฝั่งโลกิยะ การทำตัวเองแปดเปื้อนมลทินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นว่า มีส่วนในการตายของมนุษย์ ยักยอกเอาเงินหรือสิ่งของๆ คนอื่นเกินห้ามาสก(หนึ่งบาท) ถือว่าต้องปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน......คงเหลือแต่ประตูเดียวเปิดอ้ารอรับสุวิทย์อยู่ เสียใจด้วยจริงๆ....
สุวิทย์: "ฉันคิดต่อไปว่า หากชีวิตฉันเป็นเช่นนั้นจริง ไม่รู้ว่าควรหายใจต่อไปไหม และหากฉันทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ฉันไม่ขอหายใจดีกว่า"
วัชรานนท์: ถ้าพ่อแม่ของสุวิทย์ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าท่านคงเสียใจต่อการกระทำของสุวิทย์(ในขณะที่เป็นพระนะ) พ่อแม่ทุกคนย่อมมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์ ปฏิบัติธรรม ยังกิจของสงฆ์ให้สมบูรณ์ เร่งความเพียรเพื่อการหลุดพ้น ประพฤติตามกรอบพระวินัย อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้แล้ว ไม่มัวเมาและส่งเสริมการกระทำใดๆ อันเป็นอกุศล หรือไม่ชี้ทางในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจและยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้........ถ้าทำตามนี้พ่อแม่ย่อมไม่เสียใจ ส่วนการที่จะไม่ขอหายใจหรือหายใจต่อนั้น เป็นสิทธิของสุวิทย์นะ.....อ๊อกซิเจนไม่เคยเลือกข้างอยู่แล้วว่าจะเข้าไปอยู่ในปอดของคนดีหรือคนชั่ว ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน....อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ

สุวิทย์: “หรือว่า เราจะเป็นคนโง่จริงๆ”
วัชรานนท์: โง่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะคุณ....อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าโง่อย่างไร? ขนาดไหน?
สุวิทย์: "นักบวชในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ มีไม่ต่ำกว่าสองแสนเศษ มีวัดสามหมื่นกว่า ทุกท่านล้วนแล้วแต่ยังอยู่ดี มีเงินใช้ มีคนไหว้ ได้รับกิจนิมนต์ มีเอกลาภ ได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มทุกสี รังภาครัฐและประชาชน........ไม่ว่าเทพจะมีอำนาจ หรือมาจะครองเมือง นักบวชผู้ชาญฉลาดรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ยี่หระทุกข์ร้อน แม้แต่จะมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสักกี่ราย ...........ขอกรูอยู่ได้ พวกกรูรอดเป็นพอใจ ฉันถึงได้จั่วหัวเรื่องว่า หรือเราจะโง่จริงๆ..."
วัชรานนท์: นี่แหละคือมุมมองของคนโง่อย่างหนึ่ง คือคิดเองเออเองฝ่ายเดียว คิดว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องอยู่คนเดียว ส่วนพระอีกหลายแสนรูปนั้นไม่ถูกต้อง และที่สุวิทย์บ่นด่าพระเป็นแสนๆ รูปอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” แทบทั้งสิ้น จะให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างสุวิทย์ ควรหรือ?? ก็มีบ้างนะที่ออกมาโยว้ๆ เหมือนสุวิทย์..... ขนาดนั้นก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละเพราะออกมาโย้วๆ คนละข้างกับสุวิทย์
สุวิทย์: "โง่ที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด โง่ที่ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของตน โง่ที่ไม่รู้จักรักษาภาพให้ดูดี โง่ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เกินไป.....บลา บลา บลา"
วัชรานนท์: การพูดแบบลงโทษตัวเองในลักษณะนี้เขาเรียกว่าเรียกคะแนนสงสาร เพื่อเสริมภาพพจน์ตัวเองให้เด่นกว่าที่เป็นอยู่...อีกทางหนึ่งเป็นการสะท้อนความโง่ ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมา ถ้าสุวิทย์คิดว่าตัวเองเป็นพระนะ....สิ่งเหล่านี้สุวิทย์ไม่ต้องข้องแวะเลย เหมือนพระหลายแสนรูปที่สุวิทย์กำลังตำหนิอยู่นั่นแหละท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ อย่าอ้างเอาความตายความทุกข์ของประชาชนมารองรับการกระทำ(เห้ๆ ของสุวิทย์) แล้วตีกระทบด่าพระเป็นแสนๆ เลย สุวิทย์เองก็มือโชกเลือดต่อการตายด้วยไม่ใช่หรือ? ตัวเองทำผิดแล้วเที่ยวไปด่าคนอื่นมีแต่คนโง่กับคนโง่ด้วยกันนั่นแหละที่เออออห่อหมกกับการกระทำของสุวิทย์
สุวิทย์: "ฉันคิดเล่นๆ ต่อไปว่า หากฉันฉลาดสักนิด ทำชีวิตให้อยู่สุขสบายเป็นพวกสุขนิยม ทำตนให้เป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร เทพก็เข้าได้ มารก็คุยด้วย....ฉันคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้"
วัชรานนท์: สุวิทย์ต้องรอลงอเวจีก่อน ลำบากกว่านี้แน่....หากอยากจะฉลาดก็ทำสิครับ จะมาทุกข์ร้อนห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไม? ริจะเป็นพระก็ต้องลำบาก ลำบากในการเร่งความเพียรให้พ้นฝั่งโลกียะ...ไม่ใช่เพียรในการว่ายไปหาอีกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่สุวิทย์ทำอยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าทั้งโง่ทั้งเขลา พระพุทธองค์ตำหนิในความเพียรแบบโง่ๆ ตรงนี้ บอกตรงๆ นะสุวิทย์....ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียใจด้วย มันสายไปเสียแล้วที่จะได้เห็นฝั่งโลกิยะ การทำตัวเองแปดเปื้อนมลทินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นว่า มีส่วนในการตายของมนุษย์ ยักยอกเอาเงินหรือสิ่งของๆ คนอื่นเกินห้ามาสก(หนึ่งบาท) ถือว่าต้องปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน......คงเหลือแต่ประตูเดียวเปิดอ้ารอรับสุวิทย์อยู่ เสียใจด้วยจริงๆ....
สุวิทย์: "ฉันคิดต่อไปว่า หากชีวิตฉันเป็นเช่นนั้นจริง ไม่รู้ว่าควรหายใจต่อไปไหม และหากฉันทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ฉันไม่ขอหายใจดีกว่า"
วัชรานนท์: ถ้าพ่อแม่ของสุวิทย์ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าท่านคงเสียใจต่อการกระทำของสุวิทย์(ในขณะที่เป็นพระนะ) พ่อแม่ทุกคนย่อมมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์ ปฏิบัติธรรม ยังกิจของสงฆ์ให้สมบูรณ์ เร่งความเพียรเพื่อการหลุดพ้น ประพฤติตามกรอบพระวินัย อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้แล้ว ไม่มัวเมาและส่งเสริมการกระทำใดๆ อันเป็นอกุศล หรือไม่ชี้ทางในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจและยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้........ถ้าทำตามนี้พ่อแม่ย่อมไม่เสียใจ ส่วนการที่จะไม่ขอหายใจหรือหายใจต่อนั้น เป็นสิทธิของสุวิทย์นะ.....อ๊อกซิเจนไม่เคยเลือกข้างอยู่แล้วว่าจะเข้าไปอยู่ในปอดของคนดีหรือคนชั่ว ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน....อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ
แสดงความคิดเห็น
หลวงปู่พุทธอิสระ สะใจ สาวเสื้อแดง ถูกจับ เทศน์สอนพวกด่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ต้องได้รับกรรม
3 ชม. ·
รู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกแล้วพี่น้อง
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘
มีข่าวว่า “ตำรวจจับกุมนางรินดา ผู้ต้องหาที่โพสต์ข้อความกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยา โอนเงินไปยังประเทศสิงคโปร์ จำนวน ๑ หมื่นล้านบาท ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด
ซึ่งข้อความที่โพสต์ดังกล่าวเป็นข้อความเท็จ มีความผิดฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดตามมาตรา ๑๑๖ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และผิดตามมาตรา ๓๔๘ ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ
จากการสอบสวน พบว่า นางรินดา มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม นปช. ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี นอกจากนี้ยังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ผู้ต้องหากระทำผิดมาตรา ๑๑๒ และอีกหลายข้อหารุนแรง โดยเฉพาะเป็นผู้อยู่บงการเบื้องหลังก่อเหตุวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน ๒ ลูก บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยามกับห้างพารากอน และการปาระเบิดใส่บริเวณหน้าศาลอาญา ถ.รัชดา ขณะนี้ยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ
โดยนางรินดาอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์”
ดูเอาไว้พวกชอบด่าโดยไม่ลืมหูลืมตา ดีก็ด่า ชั่วก็ด่า เพราะไม่ชอบหน้าเลยด่า คนละพวกจึงด่า ได้เงินมารับจ้างด่า หรืออยากด่าด้วยความสะใจก็แล้วแต่
ตัวอย่างมีอยู่ให้เห็นว่าจะได้รับผลกรรมของการด่าอย่างไร
สำหรับฉันแล้วไม่ได้วิเศษมาจากไหน ที่ใครๆ จะด่าไม่ได้
เพราะฉันถือเสมอว่า แม้องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
ฉันจึงไม่ใส่ใจ ไม่ให้ราคา แก่คำนิยมติชม ดุด่า ดูถูกเหยียดหยาม ด่าว่า โดยไม่มีมูล ด่าเป็นประจำ แต่เห็นว่ายิ่งปล่อย ยิ่งเฉย ยิ่งกำเริบ ไม่รู้จักดีชั่ว
แสดงให้เห็นว่า ผู้ด่าเป็นคนพาลสันดานหยาบ ขาดความละอาย ขืนปล่อยไปจะได้ใจ ไปสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายแก่คนทั้งหลายไม่จบไม่สิ้น
หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง คนพวกนี้ก็จะกำเริบเสิบสาน คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ เจ๋ง แน่ อยู่เหนือคนอื่นๆ นึกอยากจะจิกหัวด่าใครก็ทำได้โดยไม่มีมูลความจริง
คนเยี่ยงนี้สมควรจะได้รับบทเรียนบ้าง จะได้รู้สึกสำนึกรับผิดชอบชั่วดีกับเขาบ้าง
อ้อ แล้วอย่ามาอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกนะ มุขนี้เขาใช้กันมามากแล้ว ลองเปลี่ยนมุขใหม่มาอ้างดูบ้าง เผื่อจะสงสาร
งานนี้ขอจัดเต็มจัดหนักให้พวกคนพาลสันดานไม่ดีกันซักหน่อย วันข้างหน้าจะได้เข็ดหลาบ
พุทธะอิสระ