......พุทธอิสระปุจฉา/วัชรานนท์ตอบ......

กระทู้สนทนา
ใช้ชื่อ “พุทธอิสระ” จั่วหัวเพื่อเรียกความสนใจ(อยากให้คนเข้ามาอ่านเยอะๆ...ปรกติไม่เคยเรียกร้องตรงนี้)  แต่จากนี้ไปจะใช้คำว่า “สุวิทย์” แทน   อนึ่ง ต้องออกตัวก่อนว่านับตั้งแต่สุวิทย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการตายจากเหตุการณ์ที่หลักสี่  และ การที่เจ้าของโรงแรมต้องจ่ายเงินชดเชยให้นายสุวิทย์เรื่องการจองห้อง  ผมไม่เห็นนายสุวิทย์เป็นพระแล้ว  การตอบของผมจึงเป็นไปในลักษณะคฤหัสถ์ต่อคฤหัสถ์     หากศิษยานุศิษย์ของนายสุวิทย์คิดว่าจะรับไม่ได้ก็ให้หยุดอ่านตรงนี้


สุวิทย์: “หรือว่า  เราจะเป็นคนโง่จริงๆ”
วัชรานนท์:  โง่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะคุณ....อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าโง่อย่างไร? ขนาดไหน?

สุวิทย์: "นักบวชในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ มีไม่ต่ำกว่าสองแสนเศษ  มีวัดสามหมื่นกว่า  ทุกท่านล้วนแล้วแต่ยังอยู่ดี  มีเงินใช้  มีคนไหว้  ได้รับกิจนิมนต์ มีเอกลาภ  ได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มทุกสี รังภาครัฐและประชาชน........ไม่ว่าเทพจะมีอำนาจ  หรือมาจะครองเมือง  นักบวชผู้ชาญฉลาดรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี  ไม่ยี่หระทุกข์ร้อน  แม้แต่จะมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสักกี่ราย  ...........ขอกรูอยู่ได้  พวกกรูรอดเป็นพอใจ  ฉันถึงได้จั่วหัวเรื่องว่า หรือเราจะโง่จริงๆ..."
วัชรานนท์: นี่แหละคือมุมมองของคนโง่อย่างหนึ่ง   คือคิดเองเออเองฝ่ายเดียว  คิดว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องอยู่คนเดียว  ส่วนพระอีกหลายแสนรูปนั้นไม่ถูกต้อง   และที่สุวิทย์บ่นด่าพระเป็นแสนๆ รูปอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” แทบทั้งสิ้น   จะให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างสุวิทย์  ควรหรือ??   ก็มีบ้างนะที่ออกมาโยว้ๆ เหมือนสุวิทย์..... ขนาดนั้นก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละเพราะออกมาโย้วๆ คนละข้างกับสุวิทย์    


สุวิทย์:  "โง่ที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด  โง่ที่ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของตน  โง่ที่ไม่รู้จักรักษาภาพให้ดูดี  โง่ที่รักชาติ  ศาสน์ กษัตริย์เกินไป.....บลา บลา บลา"
วัชรานนท์:  การพูดแบบลงโทษตัวเองในลักษณะนี้เขาเรียกว่าเรียกคะแนน   เพื่อเสริมภาพพจน์ตัวเองให้เด่นกว่าที่เป็นอยู่...อีกทางหนึ่งเป็นการสะท้อนความโง่ ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมา   ถ้าสุวิทย์คิดว่าตัวเองเป็นพระนะ....สิ่งเหล่านี้สุวิทย์ไม่ต้องข้องแวะเลย  เหมือนพระหลายแสนรูปที่สุวิทย์กำลังตำหนิอยู่นั่นแหละท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์   อย่าอ้างเอาความตายความทุกข์ของประชาชนมารองรับการกระทำ(เห้ๆ ของสุวิทย์)  แล้วตีกระทบด่าพระเป็นแสนๆ  เลย   สุวิทย์เองก็มือโชกเลือดต่อการตายด้วยไม่ใช่หรือ?  ตัวเองทำผิดแล้วเที่ยวไปด่าคนอื่นมีแต่คนโง่กับคนโง่ด้วยกันนั่นแหละที่เออออห่อหมกกับการกระทำของสุวิทย์

สุวิทย์: "ฉันคิดเล่นๆ ต่อไปว่า  หากฉันฉลาดสักนิด  ทำชีวิตให้อยู่สุขสบายเป็นพวกสุขนิยม  ทำตนให้เป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร  เทพก็เข้าได้  มารก็คุยด้วย....ฉันคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้"
วัชรานนท์:  สุวิทย์ต้องรอลงอเวจีก่อน  ลำบากกว่านี้แน่....หากอยากจะฉลาดก็ทำสิครับ   จะมาทุกข์ร้อนห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไม?    ริจะเป็นพระก็ต้องลำบาก   ลำบากในการเร่งความเพียรให้พ้นฝั่งโลกียะ...ไม่ใช่เพียรในการว่ายไปหาอีกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่สุวิทย์ทำอยู่   อย่างนี้เขาเรียกว่าทั้งโง่ทั้งเขลา  พระพุทธองค์ตำหนิในความเพียรแบบโง่ๆ ตรงนี้   บอกตรงๆ นะสุวิทย์....ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียใจด้วย   มันสายไปเสียแล้วที่จะได้เห็นฝั่งโลกิยะ   การทำตัวเองแปดเปื้อนมลทินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เช่นว่า มีส่วนในการตายของมนุษย์   ยักยอกเอาเงินหรือสิ่งของๆ คนอื่นเกินห้ามาสก(หนึ่งบาท)  ถือว่าต้องปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ   ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน......คงเหลือแต่ประตูเดียวเปิดอ้ารอรับสุวิทย์อยู่   เสียใจด้วยจริงๆ....

สุวิทย์: "ฉันคิดต่อไปว่า   หากชีวิตฉันเป็นเช่นนั้นจริง  ไม่รู้ว่าควรหายใจต่อไปไหม  และหากฉันทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ  ฉันไม่ขอหายใจดีกว่า"
วัชรานนท์: ถ้าพ่อแม่ของสุวิทย์ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า    ผมเชื่อว่าท่านคงเสียใจต่อการกระทำของสุวิทย์(ในขณะที่เป็นพระนะ)    พ่อแม่ทุกคนย่อมมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์  ปฏิบัติธรรม  ยังกิจของสงฆ์ให้สมบูรณ์   เร่งความเพียรเพื่อการหลุดพ้น   ประพฤติตามกรอบพระวินัย   อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้แล้ว    ไม่มัวเมาและส่งเสริมการกระทำใดๆ อันเป็นอกุศล   หรือไม่ชี้ทางในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจและยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้........ถ้าทำตามนี้พ่อแม่ย่อมไม่เสียใจ    ส่วนการที่จะไม่ขอหายใจหรือหายใจต่อนั้น   เป็นสิทธิของสุวิทย์นะ.....อ๊อกซิเจนไม่เคยเลือกข้างอยู่แล้วว่าจะเข้าไปอยู่ในปอดของคนดีหรือคนชั่ว   ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน....อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่