ขออนุญาติแท็กห้อง "มนุษย์เงินเดือน" และ "เจ้าของธุรกิจ" ด้วยนะครับ
เพราะคิดว่าเรื่องราวนี้น่าจะทำให้ได้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตด้วยครับ
ถ้าวันนี้เรามีเป้าหมาย แต่เรายังไม่มีความพร้อม เราจะยังจะเลือกเดินตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ไหม?
ผมได้มีโอกาสรู้จักน้องชายคนหนึ่งชื่อว่าน้องแฮรรี่ แฮรรี่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ วัยคะนอง 555
และน้องคนนี้ทำให้ผมได้ค้นพบคำตอบบางอย่างกับตัวเองว่า....
“ถ้าวันนี้ผมมีเป้าหมาย แต่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมเลย.... ผมควรจะตัดสินใจอย่างไรดี?”
เรื่องราวเป็นอย่างนี้ครับ.... เมื่อต้นปี 2558 น้องแฮรรี่ ได้ตั้งเป้าหมายชีวิตตัวเอง
เรื่องสุขภาพว่าต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
และก็มีเป้าหมายอีกข้อหนึ่งว่า จะช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น ให้ได้ในปีนี้
น้องแฮรรี่ก็ได้เริ่มฝึกปั่นจักรยาน เพื่อเป็นการออกกำลังกาย
และรู้สึกว่าตัวเองชื่นชอบการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานซะด้วย.....
น้องแฮรรี่เลยคิดขึ้นมาว่า อยากลองปั่นจักรยานทางไกลดูสักครั้ง
พอคิดได้แบบนั้น น้องแฮรรี่ก็ประกาศผ่านหน้า Facebook ของตัวเอง
ผมเห็นน้องเขาเริ่มประกาศไอเดียต่างๆ และก็ได้แต่แอบชื่นชมถึงความมุ่งมั่นของน้องเขา....
แต่สิ่งที่มันเหนือความคาดหมายของผมก็คือ....
โดยปกติ การที่นั่งปั่นสักคน จะเริ่มปั่นจักรยานทางไกลได้ ก็จะต้องฝึกกันเป็นระยะเวลานานพอสมควรเลยทีเดียว
แต่น้องแฮรรี่ แม่มมมมม (ขอใช้คำว่าแม่มมมมม เลยนะครับ)....
ให้เวลาฝึกฝนแค่ 2 เดือนนีสๆ เท่านั้นก็จะเริ่มปั่นจักรยานทางไกล
ระยะทาง 1,700 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 17 วัน ต่อเนื่องแล้ว.....
แม่มมมม ทำได้ไง!
น้องแฮรรี่ได้เริ่มต้นต่อยอดไอเดียด้วยการจัดโครงการ Bike To Life 1.0
ปั่นจักรยานบอกรักประเทศไทย และหาทุนเพื่อซื้อจักรยานเพื่อมอบให้กับน้องๆ ในพื้นที่ขาดแคลนด้วย
ใจนึงผมก็ยังแอบลุ้นอยู่ว่าน้องมันจะไหวหรือเปล่าวะ
แต่ตอนที่ผมได้เห็นความตั้งใจของน้องในการนำโปรเจค ไอเดีย ไปนำเสนอที่ต่างๆ แล้ว
ก็ได้แต่ “ให้กำลังใจ” และคอยสนับสนุนชื่นชมกับการตัดสินใจของเขา
หลังจากที่น้องประกาศว่าจะออกเดินทางไกล....
สิ่งที่ผมจะได้เห็นบ่อยๆ ผ่านหน้าเฟสบุค ของน้องแฮรรี่คือ
ภาพของการออกไปฝึกปั่นจักรยานตั้งแต่เช้า หรือไม่ก็ภาพของการเข้าไปพูดคุย
กับใครสักคนเพื่อเตรียมตัวเรื่องการเดินทางไกล
และนี่คือภาพแผนการเดินทางของน้องแฮรรี่ครับ.... น่ารักใช่ป่ะล่ะ ครับ
พอถึงวันที่ 28 มีนาคม 2558 วันที่น้องแฮรรี่ ประกาศเอาไว้ว่าจะเริ่มออกเดินทางไปปั่นที่อยุธยา
ผมและน้องๆ ที่สนิทกันบางส่วนก็ตามไปให้กำลังใจ และไปปั่นจักรยานส่งกันที่อยุธยานู้นเลยยย
และในวันที่ไปส่ง... ผมและน้องๆ ที่ไปด้วยก็ไปปั่นชมเมืองอยุธยากันด้วย (ถือโอกาสไปเที่ยวซะ)
พอผมเริ่มปั่น... ความรู้สึกแรกคือ.... แม่ม ร้อน!!! แดดร้อนมากๆ
เมื่อผิวที่ขาวเนียนเหมือนสำลีของผมสัมผัสแดดมันโคตรแสบเลย
ส่วนเรื่องอาการเมื่อยล้าก็ไม่ต้องพูดถึงนะครับ... เนื่องจากรักการออกกำลังกายมาก
ออกกำลังกายทุกปี ปีละหลายๆ สิบครั้งแบบผม.... หึหึ.... ขาลากกกกกกกกกกกกก
แค่ไปลอง.. ก็ไม่ไหวแล้ว!!
หลังจากที่ไปปั่นเที่ยวชมเมืองกัน เย็นนั้น.... ผมกับน้องๆ เดินทางกลับมานอนบ้านที่คุ้นเคย
แต่น้องแฮรรี่ กับนักปั่นที่ร่วมเดินทางด้วย.... กำลังออกเดินทางไปสู่เส้นทางที่ไม่รู้จัก ไปนอนบนพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย
และสำหรับน้องแฮรรี่ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ และเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย อีกถึง 17 วัน!!!
น้องเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น...
• ยางแตก 3 ครั้ง ใน 1 วัน
• ต้องนอนวัด นอนป้อมตำรวจ แม้แต่หน้า Amazon
• ต้องขอไปที่กางเต็นนอน ในบ้านของคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
• เจอแก้งค์กะปอง
• เข็นรถจักรยานขึ้นภูเขา (เดินทางบนเส้นทางที่นั่งปั่นมืออาชีพยังหลีก)
• และเรื่องราวอื่นๆ อีกหลายเรื่อง ผมจำได้ไม่หมด
.....
จนท้ายที่สุด น้องแฮรรี่ บรรลุโครงการนี้ ด้วยการปั่นไปเป็นระยะทางถึง 1,939 กิโลเมตร
ใช้ระยะเวลาการเดินทางทั้งสิ้น 24 วัน และได้รับเงินบริจาคมาทั้งสิ้น 39,535.50 บาท
และสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งมากขึ้นอีก 10 เท่า สำหรับโปรเจคนี้ก็คือ...
หลังจากที่น้องทำโปรเจค Bike To Life 1.0 จบแล้ว เราได้นัดหาอะไรกินและนั่งคุยกัน
น้องแฮรรี่เล่าให้ผมฟังว่า.... ตอนผมไปนะ.... เงินผมก็ไม่ได้มีมากมาย... ความพร้อมเรื่องเวลาก็ไม่ได้มีมากนัก
แต่เขาเลือกที่จะไม่เลื่อนเวลาของเป้าหมาย และความตั้งใจของตัวเองออกไปแม้แต่วันเดียว
และการตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้ เติบโต และก้าวข้ามข้อจำกัดในชีวิตไปอีกขึ้นหนึ่งเลยทีเดียว
ผมงี้.... SHOCK!!!! 
และได้แรงบันดาลใจ ในการเดินตามความฝันอย่างมาก
ในช่วงที่เรานั่งคุยกันผมก็ยังได้บทเรียนดีๆ จากเรื่องราวของน้องหลายเรื่อง เช่น
• ความพร้อม 100%... มันไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก.... ถ้าตัดสินใจแล้วก็ทำซะสิ
• ความมุ่งมั่นและเอาจริง จะช่วยดึงดูดให้มีคนดีๆ เรื่องราวดีๆ เข้ามาสนับสนุนเป้าหมายของเรา
• ต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน... สิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้... ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ รับกับสิ่งที่ไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นบ้าง
• บ้างครั้งก็ต้องกล้าที่จะ... “บ้า” บ้าง!!! ความบ้ามันทำให้เราสนุกได้ง่ายมากกกกกก
• เมื่อเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่ดี แต่ถ้าคนอื่นไม่สนใจสิ่งที่เรากำลังทำ หน้าที่ของเราคือ... ทำให้มันเกิดขึ้นจริงซะ ไม่ต้องไปเสียเวลาอธิบายด้วยคำพูด โดยไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างจริงๆ
• การกระทำ มีเสียงดังกว่าการพูด
ประสบการณ์ที่ผมได้ฟังจากน้องแฮรรี่ แม้จะได้คุยกันสั้นๆ ในมื้อเที่ยงเท่านั้น แต่ก็มันก็ได้แรงบันดาลใจอย่างมหาศาลเลยทีเดียว....
มันทำให้ผมมีคำตอบที่ชัดเจนกับตัวเองว่า...
“ถ้าวันนี้ผมมีเป้าหมาย แต่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมเลย.... ผมก็แค่...ทำมันซะ” แค่นั้นเองจริงๆ

ยังมีประมวลภาพการเดินทางของน้องแฮรรี่ด้วยนะครับ จะทยอยเอามาลงครับผม
หากชอบและได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ ผมขอกำลังใจด้วยนะคร๊าบบบ
## เส้นทาง 1,939 กิโล 24 วัน. เรื่องราวนักปั่นมือใหม่...จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลายคนลุกมาตามฝัน!##
เพราะคิดว่าเรื่องราวนี้น่าจะทำให้ได้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตด้วยครับ
ถ้าวันนี้เรามีเป้าหมาย แต่เรายังไม่มีความพร้อม เราจะยังจะเลือกเดินตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ไหม?
ผมได้มีโอกาสรู้จักน้องชายคนหนึ่งชื่อว่าน้องแฮรรี่ แฮรรี่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ วัยคะนอง 555
และน้องคนนี้ทำให้ผมได้ค้นพบคำตอบบางอย่างกับตัวเองว่า....
“ถ้าวันนี้ผมมีเป้าหมาย แต่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมเลย.... ผมควรจะตัดสินใจอย่างไรดี?”
เรื่องราวเป็นอย่างนี้ครับ.... เมื่อต้นปี 2558 น้องแฮรรี่ ได้ตั้งเป้าหมายชีวิตตัวเอง
เรื่องสุขภาพว่าต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
และก็มีเป้าหมายอีกข้อหนึ่งว่า จะช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น ให้ได้ในปีนี้
น้องแฮรรี่ก็ได้เริ่มฝึกปั่นจักรยาน เพื่อเป็นการออกกำลังกาย
และรู้สึกว่าตัวเองชื่นชอบการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานซะด้วย.....
น้องแฮรรี่เลยคิดขึ้นมาว่า อยากลองปั่นจักรยานทางไกลดูสักครั้ง
พอคิดได้แบบนั้น น้องแฮรรี่ก็ประกาศผ่านหน้า Facebook ของตัวเอง
ผมเห็นน้องเขาเริ่มประกาศไอเดียต่างๆ และก็ได้แต่แอบชื่นชมถึงความมุ่งมั่นของน้องเขา....
แต่สิ่งที่มันเหนือความคาดหมายของผมก็คือ....
โดยปกติ การที่นั่งปั่นสักคน จะเริ่มปั่นจักรยานทางไกลได้ ก็จะต้องฝึกกันเป็นระยะเวลานานพอสมควรเลยทีเดียว
แต่น้องแฮรรี่ แม่มมมมม (ขอใช้คำว่าแม่มมมมม เลยนะครับ)....
ให้เวลาฝึกฝนแค่ 2 เดือนนีสๆ เท่านั้นก็จะเริ่มปั่นจักรยานทางไกล
ระยะทาง 1,700 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 17 วัน ต่อเนื่องแล้ว..... แม่มมมม ทำได้ไง!
น้องแฮรรี่ได้เริ่มต้นต่อยอดไอเดียด้วยการจัดโครงการ Bike To Life 1.0
ปั่นจักรยานบอกรักประเทศไทย และหาทุนเพื่อซื้อจักรยานเพื่อมอบให้กับน้องๆ ในพื้นที่ขาดแคลนด้วย
ใจนึงผมก็ยังแอบลุ้นอยู่ว่าน้องมันจะไหวหรือเปล่าวะ
แต่ตอนที่ผมได้เห็นความตั้งใจของน้องในการนำโปรเจค ไอเดีย ไปนำเสนอที่ต่างๆ แล้ว
ก็ได้แต่ “ให้กำลังใจ” และคอยสนับสนุนชื่นชมกับการตัดสินใจของเขา
หลังจากที่น้องประกาศว่าจะออกเดินทางไกล....
สิ่งที่ผมจะได้เห็นบ่อยๆ ผ่านหน้าเฟสบุค ของน้องแฮรรี่คือ
ภาพของการออกไปฝึกปั่นจักรยานตั้งแต่เช้า หรือไม่ก็ภาพของการเข้าไปพูดคุย
กับใครสักคนเพื่อเตรียมตัวเรื่องการเดินทางไกล
และนี่คือภาพแผนการเดินทางของน้องแฮรรี่ครับ.... น่ารักใช่ป่ะล่ะ ครับ
พอถึงวันที่ 28 มีนาคม 2558 วันที่น้องแฮรรี่ ประกาศเอาไว้ว่าจะเริ่มออกเดินทางไปปั่นที่อยุธยา
ผมและน้องๆ ที่สนิทกันบางส่วนก็ตามไปให้กำลังใจ และไปปั่นจักรยานส่งกันที่อยุธยานู้นเลยยย
และในวันที่ไปส่ง... ผมและน้องๆ ที่ไปด้วยก็ไปปั่นชมเมืองอยุธยากันด้วย (ถือโอกาสไปเที่ยวซะ)
พอผมเริ่มปั่น... ความรู้สึกแรกคือ.... แม่ม ร้อน!!! แดดร้อนมากๆ
เมื่อผิวที่ขาวเนียนเหมือนสำลีของผมสัมผัสแดดมันโคตรแสบเลย
ส่วนเรื่องอาการเมื่อยล้าก็ไม่ต้องพูดถึงนะครับ... เนื่องจากรักการออกกำลังกายมาก
ออกกำลังกายทุกปี ปีละหลายๆ สิบครั้งแบบผม.... หึหึ.... ขาลากกกกกกกกกกกกก
แค่ไปลอง.. ก็ไม่ไหวแล้ว!!
หลังจากที่ไปปั่นเที่ยวชมเมืองกัน เย็นนั้น.... ผมกับน้องๆ เดินทางกลับมานอนบ้านที่คุ้นเคย
แต่น้องแฮรรี่ กับนักปั่นที่ร่วมเดินทางด้วย.... กำลังออกเดินทางไปสู่เส้นทางที่ไม่รู้จัก ไปนอนบนพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย
และสำหรับน้องแฮรรี่ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ และเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย อีกถึง 17 วัน!!!
น้องเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น...
• ยางแตก 3 ครั้ง ใน 1 วัน
• ต้องนอนวัด นอนป้อมตำรวจ แม้แต่หน้า Amazon
• ต้องขอไปที่กางเต็นนอน ในบ้านของคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
• เจอแก้งค์กะปอง
• เข็นรถจักรยานขึ้นภูเขา (เดินทางบนเส้นทางที่นั่งปั่นมืออาชีพยังหลีก)
• และเรื่องราวอื่นๆ อีกหลายเรื่อง ผมจำได้ไม่หมด
.....
จนท้ายที่สุด น้องแฮรรี่ บรรลุโครงการนี้ ด้วยการปั่นไปเป็นระยะทางถึง 1,939 กิโลเมตร
ใช้ระยะเวลาการเดินทางทั้งสิ้น 24 วัน และได้รับเงินบริจาคมาทั้งสิ้น 39,535.50 บาท
และสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งมากขึ้นอีก 10 เท่า สำหรับโปรเจคนี้ก็คือ...
หลังจากที่น้องทำโปรเจค Bike To Life 1.0 จบแล้ว เราได้นัดหาอะไรกินและนั่งคุยกัน
น้องแฮรรี่เล่าให้ผมฟังว่า.... ตอนผมไปนะ.... เงินผมก็ไม่ได้มีมากมาย... ความพร้อมเรื่องเวลาก็ไม่ได้มีมากนัก
แต่เขาเลือกที่จะไม่เลื่อนเวลาของเป้าหมาย และความตั้งใจของตัวเองออกไปแม้แต่วันเดียว
และการตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้ เติบโต และก้าวข้ามข้อจำกัดในชีวิตไปอีกขึ้นหนึ่งเลยทีเดียว
ผมงี้.... SHOCK!!!!
ในช่วงที่เรานั่งคุยกันผมก็ยังได้บทเรียนดีๆ จากเรื่องราวของน้องหลายเรื่อง เช่น
• ความพร้อม 100%... มันไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก.... ถ้าตัดสินใจแล้วก็ทำซะสิ
• ความมุ่งมั่นและเอาจริง จะช่วยดึงดูดให้มีคนดีๆ เรื่องราวดีๆ เข้ามาสนับสนุนเป้าหมายของเรา
• ต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน... สิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้... ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ รับกับสิ่งที่ไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นบ้าง
• บ้างครั้งก็ต้องกล้าที่จะ... “บ้า” บ้าง!!! ความบ้ามันทำให้เราสนุกได้ง่ายมากกกกกก
• เมื่อเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่ดี แต่ถ้าคนอื่นไม่สนใจสิ่งที่เรากำลังทำ หน้าที่ของเราคือ... ทำให้มันเกิดขึ้นจริงซะ ไม่ต้องไปเสียเวลาอธิบายด้วยคำพูด โดยไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างจริงๆ
• การกระทำ มีเสียงดังกว่าการพูด
ประสบการณ์ที่ผมได้ฟังจากน้องแฮรรี่ แม้จะได้คุยกันสั้นๆ ในมื้อเที่ยงเท่านั้น แต่ก็มันก็ได้แรงบันดาลใจอย่างมหาศาลเลยทีเดียว....
มันทำให้ผมมีคำตอบที่ชัดเจนกับตัวเองว่า...
“ถ้าวันนี้ผมมีเป้าหมาย แต่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมเลย.... ผมก็แค่...ทำมันซะ” แค่นั้นเองจริงๆ
หากชอบและได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ ผมขอกำลังใจด้วยนะคร๊าบบบ