สวัสดีค่ะ ขอรบกวนสอบถามชาวพันทิปนะคะ...อาจจะยาวไปสักหน่อย แต่รบกวนขอความช่วยเหลือด้วยนะคะ...
ขออนุญาตเกริ่นเรื่องค่ะ...เราอายุ 20 กลางๆค่อนปลายค่ะ รูปร่างตอนนี้ อยู่ระหว่างมาตรฐานปลายๆกับอวบต้นๆค่ะ...ถ้าพูดถึงเรื่องออกกำลัง ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะรู้สึกจุกและยอกได้ง่ายๆเมื่อ "วิ่ง" ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแบบไหนก็ตาม เช่น สมัยม.ปลายที่ต้องวิ่งรอบสนาม 3-5 รอบ (เหมือนเป็นการสอบวิ่งระยะยาว...กี่เมตรจำไม่ได้แล้วค่ะ) ก็จะเกิดอาการจุกบริเวณช่วงท้องและท้องน้อยทางซ้าย ทำให้ต้องชะลอฝีเท้าลง...แต่การวิ่งระยะสั้น(แบบไม่มีการวอร์มก่อน) เช่น การรีบวิ่งไปขึ้นรถ หรืออะไรทำนองนี้จะไม่จุกนะคะ แต่จะหอบหนักมาก...
ช่วงป.ตรี ทางบ้านได้ซื้อลู่วิ่งมาค่ะ เราก็เลยลองวิ่ง...ผลลัพธ์เหมือนเดิมค่ะ 'จุก' บริเวณท้องและท้องน้อยด้านซ้าย...เราได้ลองวิ่งหลายครั้งค่ะ โดยทำวิธีไม่ซ้ำกันเลย เช่น
1. ดื่มน้ำเยอะๆช่วงก่อนวิ่ง 1 ชม. แล้ววิ่ง
2. ดื่มน้ำเยอะๆช่วงก่อนวิ่ง 1 ชม.ครึ่ง แล้ววิ่ง
3. จิบน้ำเป็นระยะ 1 ชม. และหยุดจิบก่อนวิ่ง 30 นาที แล้ววิ่ง
4. วอร์มร่างกายด้วยท่ายืดเส้นยืดสายต่างๆ 15 นาที แล้ววิ่ง
5. วอร์มตามข้อ 4 ต่อด้วยวอร์มด้วยการเดินช้า และเดินเร็วบนลู่วิ่งอีก 10 นาที แล้ววิ่ง
ทั้ง 5 ข้อ เมื่อทำแล้วไปวิ่ง (ระยะการวิ่ง วิ่งได้นานสุดแค่ประมาณ 2 นาที แล้วก็จะจุกค่ะ)
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เลยทำให้เราเลิกคิดที่จะดื่มน้ำในช่วงใกล้ออกกำลังกาย หรือระหว่างออกกำลังไปเลยค่ะ (เคยจิบน้ำตอนจุก ผลก็เหมือนจะแย่ลง) ตั้งแต่ตอนนั้นมา เราก็สำเหนียกตัวเองอยู่เสมอค่ะ ว่าห้ามดื่มน้ำและห้ามวิ่งอย่างเด็ดขาด (ต้องหาวิธีอื่นในการออกกำลังแทน)
แล้วเราซึ่งห่างหายการออกกำลังไปราวๆ 2 เดือนเต็ม (ก่อนหน้านี้มีบอดี้เวจราวๆ 40 นาทีวันเว้นวัน และวันเว้นสองวันอยู่ราวๆ1-2เดือน) ก็เริ่มกลับมาออกกำลังกายจริงจังโดยการไปฟิตเนสที่ยิมแห่งหนึ่งตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมาค่ะ (แต่ในชีวิตนี้ ไม่เคยออกกำลังกายจริงจังแบบนั้นเลย เคยแต่แบบ เล่นเทควันโด้ ไม่ก็บอดี้เวจ 40 นาที 2 เซ็ตน่ะค่ะ)...โดยครั้งนี้ ได้ออกวันละ 2 ชั่วโมงค่ะ (ยกเว้นวันแรก ที่ออกได้แค่ชั่วโมงเดียว) แล้วก็มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ+อาการล้าตามปกติ (ขาบ้าง แขนบ้าง) แล้วก็เริ่มไม่ค่อยปวดเมื่อผ่านไปแล้ว 4 วัน (วันเสาร์ที่ 2 และอาทิตย์ที่ 3 ไม่ปวดแล้ว แถมช่วงที่ไม่ปวดแล้ว ก็ยังกลับมาบอดี้เวจเพิ่มอีก 15 นาทีได้ไม่มีปัญหา)...
โดยการออกกำลังในยิมแห่งนั้น เรามักจะออกแบบวนลูปเดิมค่ะ โดยจะเริ่มจาก...
(หมายเหตุ: เวลาเล่นแต่ละเครื่อง ถ้ามีให้กดโปรแกรม มักจะกด Fat Burn ค่ะ)
1. เครื่องเดิน - Cross Trainer (ที่เดินหน้าได้และถอยหลังได้ มีที่ให้มือจับและโยกตามจังหวะการก้าว) ราวๆ 10-20 นาที แล้วแต่ความเหนื่อยในวันนั้น > อัตราการเต้นของหัวใจ 175-190 ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2. เครื่องดึง - Rower (ที่ให้นั่งลงกับเก้าอี้ที่พ่วงอยู่กับร่องเหล็ก โดยให้ใช้มือทั้งสองข้างดึงแฮนด์เข้าออก) 15 นาที โดยจะดึงแบบฮึดสู้(ดึงหนัก เร็ว และแรง) สลับไปมากับผ่อนแรง > อัตราการเต้นของหัวใจ (ไม่ทราบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. เครื่องเขย่งสลับเท้าตามจังหวะ - Stepper ประมาณ 10-15 นาที (เครื่องนี้ทำให้เราเหนื่อยมากค่ะ เพราะฐานที่วางเท้ามันจะคอยตีขึ้นถ้าปล่อยเท้านานไป และจะคอยลงไปกองข้างล่างถ้าถ่ายน้ำหนักมากเกิน...เครื่องนี้ไม่มีพักน่ะค่ะ ถ้าพักแล้วมันจะร่วงลงแล้วจะเห็นชัดเลย...) > อัตราการเต้นของหัวใจ 180-195 ค่ะ (แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้จับค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. ข้อนี้ขอรวมๆนะคะ คือจะสลับเล่นไปๆมาๆ
>เครื่องบิดเอว - Rotary Torso ข้างละ 100 ครั้ง (บางครั้งก็ 50) ปรับน้ำหนักไปมา หนักบ้าง เบาบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องหุบขาลง - Seated Leg Curl 50 หรือ 100 ครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องดึงเข้า - Diverging Seated Row 50 ครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องดึงลง - Lat Pull (20-30 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องยัน - Leg Press (50 หรือ 100 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องยกศอก - Lateral Raise (20-30 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องนั่งซิทอัพ - Abdominal Crunch Bench (50 หรือ 100 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องดึงเชือก - Multi-mode Rope Climber 10-15 นาที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5. พอมาตรงนี้ หัวใจก็จะเต้นค่อนข้างปกติแล้วค่ะ สิ่งที่ทำคือ กลับไปเล่น Stepper ตามข้อ 3 แล้วก็ดึง Rower ตามข้อ 2 อีกครั้งค่ะ (แต่เวลาน้อยลง)
6. ปิดท้ายด้วย...ปั่นจักรยานแบบนั่งปั่น(บนเก้าอี้มีพนักพิง)สบายๆ - Recumbent Cycle 10-15 นาที แล้วก็เลิกค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทั้งหมด 6 ข้อนี้ คือที่ทำประจำจนถึงวันที่ 2 (เสาร์ที่ผ่านมา) ซึ่งบอกเลยค่ะ ว่าตัวเราจะรู้สึกว่า ตัวเอง
ทนมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะไม่ค่อยปวดตามร่างกายแล้ว ยังกลับมาบอดี้เวจนิดหน่อยได้อีกด้วย...นอกจากนั้น ยังสามารถจิบน้ำระหว่างพักแต่ละเครื่องได้โดยไม่จุกด้วยค่ะ! (ความสำเร็จระดับหนึ่งเลย)...แล้ววันที่ 3 (เมื่อวานซืน) ดิฉันก็เปลี่ยนจาก Stepper รอบ 2 ในข้อ 5 มาลอง "วิ่ง" ดูค่ะ...ซึ่งก็สามารถเดินเร็วสลับวิ่งได้รวมแล้ว 15 นาทีโดยไม่มีอาการจุกเลยแม้แต่น้อยค่ะ!! (ไม่รวมคูลดาวน์อีก 2 นาที) แต่ก็รู้สึกเหนื่อยหนักใช้ได้ (แต่ในการวิ่งแต่ละครั้งภายใน 15 นาทีที่ว่า ไม่มีการวิ่งติดกันเกิน 3 นาทีนะคะ...ไม่ไหวค่ะ)
และเพราะวันที่ 3 มันวิ่งได้สำเร็จนั่นเอง เมื่อวาน(วันที่4เม.ย. > วันออกกำลังวันที่ 7)เราก็เลยประมาทค่ะ
โดยเราเริ่มด้วยการ "วิ่ง" บนลู่วิ่งก่อน
เป็นอย่างแรกเลย...แล้วพอเดินๆวิ่งๆไปได้แค่ราวๆ 5-7 นาที อาการจุกและปวดที่ช่วงท้องและท้องน้อยด้านซ้ายก็เกิดขึ้น ซึ่งอาการก็ถึงขั้นต้องเอามือมากุมและรีบผ่อนความเร็วลู่วิ่ง (แต่ก็ยังไม่กล้าหยุดเครื่องในทันทีนะคะ ผ่อนให้ช้าลงๆแล้วค่อยหยุดค่ะ)
เสร็จแล้วก็เดินออกมา ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจุกแล้ว เลยไปต่อที่เครื่องไต่บันได - Stair Climber
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งเครื่องนี้ เราเคยลองเล่นแล้วครั้งนึง รู้สึกว่าแอบมึนๆเล็กน้อยเพราะไม่ชินกับจังหวะที่บันไดมันพับออกมา (จนต้องคอยมองที่เท้าตัวเอง - มองบันไดเป็นระยะๆ) ในครั้งแรกนั้น รู้สึกมึนเล็กน้อยเลยลองเล่นแค่ 2-3 นาที แล้วก็ไม่เคยแตะเครื่องนี้อีกเลย จนกระทั่งเมื่อวานค่ะ...
เมื่อวานเราเล่นเครื่องบันไดนี่ไป 12 นาทีค่ะ (กะจังหวะได้ดีขึ้น และไม่ต้องมองเท้าแล้ว) จากข้อมูลบนเครื่อง(เท่าที่จำได้) คือ ขึ้นไปได้ 60-70 กว่าชั้น อัตราการเต้นของหัวใจ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะ 190 นิดๆ...เสร็จแล้วเราก็รู้สึกเหนื่อยมาก เลยคิดว่าจะไปพักโดยการดึง Rower (ตามข้อ 2) ซึ่งปกติจะดึงได้ 15 นาทีในรอบแรก แต่ครั้งนี้ พอดึงไปราวๆ 5 นาทีกว่าๆ
ก็รู้สึกว่า ร่างกายท่อนบนซีกซ้ายเริ่มไม่มีแรงค่ะ...เลยหยุดเล่น แล้วไปนั่งพักเฉยๆ 5 นาทีได้ แต่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น เลยตัดสินใจกลับค่ะ...
การกิน
-เช้า ซีเรียลหรือโอ๊ตมีลกับนมถั่วเหลือง
-กลางวัน แซลมอนอบ/ทูน่ากระป๋อง(ชิ้นเล็กๆ) กับไข่ต้ม 1 ฟอง สลัดผักหลายชนิด เมล็ดธัญพืชเล็กน้อย
-เย็น ซุป 1 ชาม
(อาจมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย แต่จะเน้นแป้งมื้อเช้า โปรตีนกลางวัน เย็นก็อาหารเบาๆค่ะ...พอดีกำลังพยายามลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยน่ะค่ะ)
ก่อนที่จะเกิดอาการ(จันทร์ที่4)
-เดิน+วิ่งบนลู่วิ่ง 5-7 นาที
-ใช้เครื่องไต่บันได 12 นาที
-ดึง Rower 5 นาทีกว่า
อาการที่เป็นคือ
-แขนซ้าย ตั้งแต่บริเวรต้นแขนเรื่อยลงมาจนข้อมือ จะรู้สึกปวดๆชาๆตลอด (ตอนนี้ขยับได้ค่ะ แต่เมื่อวานตอนเพิ่งเล่นเสร็จไม่มีแรงยกแขนเลย)
-บริเวณไหล่ซ้ายลงไปทางด้านหลังนิดหนึ่งจะรู้สึกปวดแบบเจ็บแปลบตลอดเวลา (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ค่ะ)
-บริเวณใต้+ด้านข้าง+เหนือหน้าอกซ้ายจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ (เมื่อวานจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่หายใจเข้า แต่เมื่อคืนกับวันนี้ก็หายใจเข้าได้ลึกขึ้นแต่ไม่สุด เพราะถ้าหายใจเข้าไปสุดปอดแล้วมันก็จะเจ็บค่ะ...แล้วก็เหมือนงอตัวไม่ค่อยได้ จะเจ็บเหมือนกัน)
จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่เลยค่ะ (วันนี้เลยไม่ออกกำลัง) อยากจะรบกวนขอความรู้และความช่วยเหลือจากผู้รู้ หรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนน่ะค่ะ ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ถึงจะทำให้อาการเหล่านี้มันหาย (เพราะขนาดนอนหลับผ่านมาคืนหนึ่งแล้ว อาการมันยังอยู่เลยน่ะค่ะ)...ขอโทษที่ยาวไปหน่อยนะคะ แต่พยายามให้ข้อมูลเยอะที่สุดน่ะค่ะ...ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ปล.ระหว่างที่พิมพ์นี้ เราพยายามนั่งตัวตรงและเอนไปทางขวาเล็กน้อยค่ะ เพราะยังเจ็บๆอยู่...
หลังออกกำลังรู้สึกปวดยอกบริเวณหน้าอก ปวดเกร็งบริเวณไหล่ลงไปหลัง และปวดชาที่แขน...มีวิธีบรรเทาอาการเหล่านี้ไหมคะ?
ขออนุญาตเกริ่นเรื่องค่ะ...เราอายุ 20 กลางๆค่อนปลายค่ะ รูปร่างตอนนี้ อยู่ระหว่างมาตรฐานปลายๆกับอวบต้นๆค่ะ...ถ้าพูดถึงเรื่องออกกำลัง ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะรู้สึกจุกและยอกได้ง่ายๆเมื่อ "วิ่ง" ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแบบไหนก็ตาม เช่น สมัยม.ปลายที่ต้องวิ่งรอบสนาม 3-5 รอบ (เหมือนเป็นการสอบวิ่งระยะยาว...กี่เมตรจำไม่ได้แล้วค่ะ) ก็จะเกิดอาการจุกบริเวณช่วงท้องและท้องน้อยทางซ้าย ทำให้ต้องชะลอฝีเท้าลง...แต่การวิ่งระยะสั้น(แบบไม่มีการวอร์มก่อน) เช่น การรีบวิ่งไปขึ้นรถ หรืออะไรทำนองนี้จะไม่จุกนะคะ แต่จะหอบหนักมาก...
ช่วงป.ตรี ทางบ้านได้ซื้อลู่วิ่งมาค่ะ เราก็เลยลองวิ่ง...ผลลัพธ์เหมือนเดิมค่ะ 'จุก' บริเวณท้องและท้องน้อยด้านซ้าย...เราได้ลองวิ่งหลายครั้งค่ะ โดยทำวิธีไม่ซ้ำกันเลย เช่น
1. ดื่มน้ำเยอะๆช่วงก่อนวิ่ง 1 ชม. แล้ววิ่ง
2. ดื่มน้ำเยอะๆช่วงก่อนวิ่ง 1 ชม.ครึ่ง แล้ววิ่ง
3. จิบน้ำเป็นระยะ 1 ชม. และหยุดจิบก่อนวิ่ง 30 นาที แล้ววิ่ง
4. วอร์มร่างกายด้วยท่ายืดเส้นยืดสายต่างๆ 15 นาที แล้ววิ่ง
5. วอร์มตามข้อ 4 ต่อด้วยวอร์มด้วยการเดินช้า และเดินเร็วบนลู่วิ่งอีก 10 นาที แล้ววิ่ง
ทั้ง 5 ข้อ เมื่อทำแล้วไปวิ่ง (ระยะการวิ่ง วิ่งได้นานสุดแค่ประมาณ 2 นาที แล้วก็จะจุกค่ะ)
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เลยทำให้เราเลิกคิดที่จะดื่มน้ำในช่วงใกล้ออกกำลังกาย หรือระหว่างออกกำลังไปเลยค่ะ (เคยจิบน้ำตอนจุก ผลก็เหมือนจะแย่ลง) ตั้งแต่ตอนนั้นมา เราก็สำเหนียกตัวเองอยู่เสมอค่ะ ว่าห้ามดื่มน้ำและห้ามวิ่งอย่างเด็ดขาด (ต้องหาวิธีอื่นในการออกกำลังแทน)
แล้วเราซึ่งห่างหายการออกกำลังไปราวๆ 2 เดือนเต็ม (ก่อนหน้านี้มีบอดี้เวจราวๆ 40 นาทีวันเว้นวัน และวันเว้นสองวันอยู่ราวๆ1-2เดือน) ก็เริ่มกลับมาออกกำลังกายจริงจังโดยการไปฟิตเนสที่ยิมแห่งหนึ่งตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมาค่ะ (แต่ในชีวิตนี้ ไม่เคยออกกำลังกายจริงจังแบบนั้นเลย เคยแต่แบบ เล่นเทควันโด้ ไม่ก็บอดี้เวจ 40 นาที 2 เซ็ตน่ะค่ะ)...โดยครั้งนี้ ได้ออกวันละ 2 ชั่วโมงค่ะ (ยกเว้นวันแรก ที่ออกได้แค่ชั่วโมงเดียว) แล้วก็มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ+อาการล้าตามปกติ (ขาบ้าง แขนบ้าง) แล้วก็เริ่มไม่ค่อยปวดเมื่อผ่านไปแล้ว 4 วัน (วันเสาร์ที่ 2 และอาทิตย์ที่ 3 ไม่ปวดแล้ว แถมช่วงที่ไม่ปวดแล้ว ก็ยังกลับมาบอดี้เวจเพิ่มอีก 15 นาทีได้ไม่มีปัญหา)...
โดยการออกกำลังในยิมแห่งนั้น เรามักจะออกแบบวนลูปเดิมค่ะ โดยจะเริ่มจาก...
(หมายเหตุ: เวลาเล่นแต่ละเครื่อง ถ้ามีให้กดโปรแกรม มักจะกด Fat Burn ค่ะ)
1. เครื่องเดิน - Cross Trainer (ที่เดินหน้าได้และถอยหลังได้ มีที่ให้มือจับและโยกตามจังหวะการก้าว) ราวๆ 10-20 นาที แล้วแต่ความเหนื่อยในวันนั้น > อัตราการเต้นของหัวใจ 175-190 ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2. เครื่องดึง - Rower (ที่ให้นั่งลงกับเก้าอี้ที่พ่วงอยู่กับร่องเหล็ก โดยให้ใช้มือทั้งสองข้างดึงแฮนด์เข้าออก) 15 นาที โดยจะดึงแบบฮึดสู้(ดึงหนัก เร็ว และแรง) สลับไปมากับผ่อนแรง > อัตราการเต้นของหัวใจ (ไม่ทราบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. เครื่องเขย่งสลับเท้าตามจังหวะ - Stepper ประมาณ 10-15 นาที (เครื่องนี้ทำให้เราเหนื่อยมากค่ะ เพราะฐานที่วางเท้ามันจะคอยตีขึ้นถ้าปล่อยเท้านานไป และจะคอยลงไปกองข้างล่างถ้าถ่ายน้ำหนักมากเกิน...เครื่องนี้ไม่มีพักน่ะค่ะ ถ้าพักแล้วมันจะร่วงลงแล้วจะเห็นชัดเลย...) > อัตราการเต้นของหัวใจ 180-195 ค่ะ (แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้จับค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. ข้อนี้ขอรวมๆนะคะ คือจะสลับเล่นไปๆมาๆ
>เครื่องบิดเอว - Rotary Torso ข้างละ 100 ครั้ง (บางครั้งก็ 50) ปรับน้ำหนักไปมา หนักบ้าง เบาบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องหุบขาลง - Seated Leg Curl 50 หรือ 100 ครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องดึงเข้า - Diverging Seated Row 50 ครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องดึงลง - Lat Pull (20-30 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องยัน - Leg Press (50 หรือ 100 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องยกศอก - Lateral Raise (20-30 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องนั่งซิทอัพ - Abdominal Crunch Bench (50 หรือ 100 ครั้ง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
>เครื่องดึงเชือก - Multi-mode Rope Climber 10-15 นาที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5. พอมาตรงนี้ หัวใจก็จะเต้นค่อนข้างปกติแล้วค่ะ สิ่งที่ทำคือ กลับไปเล่น Stepper ตามข้อ 3 แล้วก็ดึง Rower ตามข้อ 2 อีกครั้งค่ะ (แต่เวลาน้อยลง)
6. ปิดท้ายด้วย...ปั่นจักรยานแบบนั่งปั่น(บนเก้าอี้มีพนักพิง)สบายๆ - Recumbent Cycle 10-15 นาที แล้วก็เลิกค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทั้งหมด 6 ข้อนี้ คือที่ทำประจำจนถึงวันที่ 2 (เสาร์ที่ผ่านมา) ซึ่งบอกเลยค่ะ ว่าตัวเราจะรู้สึกว่า ตัวเองทนมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะไม่ค่อยปวดตามร่างกายแล้ว ยังกลับมาบอดี้เวจนิดหน่อยได้อีกด้วย...นอกจากนั้น ยังสามารถจิบน้ำระหว่างพักแต่ละเครื่องได้โดยไม่จุกด้วยค่ะ! (ความสำเร็จระดับหนึ่งเลย)...แล้ววันที่ 3 (เมื่อวานซืน) ดิฉันก็เปลี่ยนจาก Stepper รอบ 2 ในข้อ 5 มาลอง "วิ่ง" ดูค่ะ...ซึ่งก็สามารถเดินเร็วสลับวิ่งได้รวมแล้ว 15 นาทีโดยไม่มีอาการจุกเลยแม้แต่น้อยค่ะ!! (ไม่รวมคูลดาวน์อีก 2 นาที) แต่ก็รู้สึกเหนื่อยหนักใช้ได้ (แต่ในการวิ่งแต่ละครั้งภายใน 15 นาทีที่ว่า ไม่มีการวิ่งติดกันเกิน 3 นาทีนะคะ...ไม่ไหวค่ะ)
และเพราะวันที่ 3 มันวิ่งได้สำเร็จนั่นเอง เมื่อวาน(วันที่4เม.ย. > วันออกกำลังวันที่ 7)เราก็เลยประมาทค่ะ
โดยเราเริ่มด้วยการ "วิ่ง" บนลู่วิ่งก่อนเป็นอย่างแรกเลย...แล้วพอเดินๆวิ่งๆไปได้แค่ราวๆ 5-7 นาที อาการจุกและปวดที่ช่วงท้องและท้องน้อยด้านซ้ายก็เกิดขึ้น ซึ่งอาการก็ถึงขั้นต้องเอามือมากุมและรีบผ่อนความเร็วลู่วิ่ง (แต่ก็ยังไม่กล้าหยุดเครื่องในทันทีนะคะ ผ่อนให้ช้าลงๆแล้วค่อยหยุดค่ะ)
เสร็จแล้วก็เดินออกมา ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจุกแล้ว เลยไปต่อที่เครื่องไต่บันได - Stair Climber
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งเครื่องนี้ เราเคยลองเล่นแล้วครั้งนึง รู้สึกว่าแอบมึนๆเล็กน้อยเพราะไม่ชินกับจังหวะที่บันไดมันพับออกมา (จนต้องคอยมองที่เท้าตัวเอง - มองบันไดเป็นระยะๆ) ในครั้งแรกนั้น รู้สึกมึนเล็กน้อยเลยลองเล่นแค่ 2-3 นาที แล้วก็ไม่เคยแตะเครื่องนี้อีกเลย จนกระทั่งเมื่อวานค่ะ...
เมื่อวานเราเล่นเครื่องบันไดนี่ไป 12 นาทีค่ะ (กะจังหวะได้ดีขึ้น และไม่ต้องมองเท้าแล้ว) จากข้อมูลบนเครื่อง(เท่าที่จำได้) คือ ขึ้นไปได้ 60-70 กว่าชั้น อัตราการเต้นของหัวใจ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะ 190 นิดๆ...เสร็จแล้วเราก็รู้สึกเหนื่อยมาก เลยคิดว่าจะไปพักโดยการดึง Rower (ตามข้อ 2) ซึ่งปกติจะดึงได้ 15 นาทีในรอบแรก แต่ครั้งนี้ พอดึงไปราวๆ 5 นาทีกว่าๆ ก็รู้สึกว่า ร่างกายท่อนบนซีกซ้ายเริ่มไม่มีแรงค่ะ...เลยหยุดเล่น แล้วไปนั่งพักเฉยๆ 5 นาทีได้ แต่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น เลยตัดสินใจกลับค่ะ...
การกิน
-เช้า ซีเรียลหรือโอ๊ตมีลกับนมถั่วเหลือง
-กลางวัน แซลมอนอบ/ทูน่ากระป๋อง(ชิ้นเล็กๆ) กับไข่ต้ม 1 ฟอง สลัดผักหลายชนิด เมล็ดธัญพืชเล็กน้อย
-เย็น ซุป 1 ชาม
(อาจมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย แต่จะเน้นแป้งมื้อเช้า โปรตีนกลางวัน เย็นก็อาหารเบาๆค่ะ...พอดีกำลังพยายามลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยน่ะค่ะ)
ก่อนที่จะเกิดอาการ(จันทร์ที่4)
-เดิน+วิ่งบนลู่วิ่ง 5-7 นาที
-ใช้เครื่องไต่บันได 12 นาที
-ดึง Rower 5 นาทีกว่า
อาการที่เป็นคือ
-แขนซ้าย ตั้งแต่บริเวรต้นแขนเรื่อยลงมาจนข้อมือ จะรู้สึกปวดๆชาๆตลอด (ตอนนี้ขยับได้ค่ะ แต่เมื่อวานตอนเพิ่งเล่นเสร็จไม่มีแรงยกแขนเลย)
-บริเวณไหล่ซ้ายลงไปทางด้านหลังนิดหนึ่งจะรู้สึกปวดแบบเจ็บแปลบตลอดเวลา (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ค่ะ)
-บริเวณใต้+ด้านข้าง+เหนือหน้าอกซ้ายจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ (เมื่อวานจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่หายใจเข้า แต่เมื่อคืนกับวันนี้ก็หายใจเข้าได้ลึกขึ้นแต่ไม่สุด เพราะถ้าหายใจเข้าไปสุดปอดแล้วมันก็จะเจ็บค่ะ...แล้วก็เหมือนงอตัวไม่ค่อยได้ จะเจ็บเหมือนกัน)
จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่เลยค่ะ (วันนี้เลยไม่ออกกำลัง) อยากจะรบกวนขอความรู้และความช่วยเหลือจากผู้รู้ หรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนน่ะค่ะ ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ถึงจะทำให้อาการเหล่านี้มันหาย (เพราะขนาดนอนหลับผ่านมาคืนหนึ่งแล้ว อาการมันยังอยู่เลยน่ะค่ะ)...ขอโทษที่ยาวไปหน่อยนะคะ แต่พยายามให้ข้อมูลเยอะที่สุดน่ะค่ะ...ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ปล.ระหว่างที่พิมพ์นี้ เราพยายามนั่งตัวตรงและเอนไปทางขวาเล็กน้อยค่ะ เพราะยังเจ็บๆอยู่...