ทุกวันนี้รู้สึกคุณค่าในตัวเองลดลงเรื่อยๆ
เมื่อทำงานประจำแล้วโดนเจ้านายกดดันในเรื่องเอาแต่ใจตัวเอง
ผมทำกราฟฟิค แต่ก็มีคุยกับ Supp. แทนหลายครั้ง ทั้งต่อราคา ถามข้อมูล ขอ offer นู่นนี่นั่น
ซึ่งผมเองก็เต็มใจนะ อะไรที่เป็นการ Contact และต่อราคาเพื่อให้บริษัทได้ประโยชน์เนี่ย ผมไม่ขัดเลย
แต่ในขณะเดียวกันก็สั่งแก้ Design ไม่รู้จบ ทั้งที่บรีฟกันชัดเจนแล้ว และอีกหลายอย่างที่ผมไม่อยากจำเพราะมีแต่ความรู้สึกแย่ๆ
พอทำไม่ทัน (เพราะต้องทำอย่างอื่นควบคู่กันไปตามใจแก) ก็โดนตำหนิแบบ
"ทำอะไรอยู่ ทำไม่ถึงไม่ทัน นี่ผ่านมาสามวันแล้ว คงไม่ได้ทำเรื่องส่วนตัวด้วยนะ ทำแต่งานหลักจริงรึเปล่า"
.
.
.
เฮ้ยย !! ทำไมพูดแบบนี้ งานดีไซน์นะครับจะคั้นเอาออกมาแบบลวกๆ
โอเค....ผมเลยลองทำแมร่งแบบลวกๆ คุณก็บอกอีกว่า "ทำแบบนี้ผมทำเองก็ได้"
ผมทำให้คุณทุกอย่าง นี่ยังไม่พอใจอีกหรือ <-- เกิดคำถามขึ้นมาในใจ พร้อมความน้อยเนื้อต่ำใจ
.
.
.
ยอมรับครับว่า การเป็นลูกเถ้าแก่ของเขานั้น ทุกอย่างรัดตัวไปหมด เขาต้องการคนแบ่งเบา
และผมก็ประเมินตัวเองแล้วว่าทำได้ดีมากๆ จนบริษัทได้กำไรจากงานที่ผมดีไซน์เป็นหลายล้านต่อปี
แต่ความสุขในการทำงานของผมต่างจากเขาครับ
ถ้าทุกอย่างต้องขัดแน่นไปหมดแบบนั้นจนไม่มีเวลาว่างหันไปทำอย่างอื่น
ผมคงไร้ความสุขในการทำงาน ไร้แรงผลักดันในการสร้างสรรค์งาน
เขาจะทำแบบนั้นก็ทำไป แต่ไม่ใช่ผมที่ต้องทำด้วย (เขาเคยพูดว่าทำแล้วเป็น KPI)
ทุกวันนี้บอกเลย ทำงานอย่างไร้ความสุขครับ
เวลาก็หาย ต้องแยกกันอยู่กับลูกเมีย ได้เจอกันทีก็วันเสาร์ค่ำ วันอาทิตย์ค่ำต้องกลับมาอยู่ที่หออีกแล้ว
ไม่มีใจที่จะทำที่นี่แล้ว รวมถึงงานด้านนี้อีกต่อไป
อยากออกไปทำร้านข้าวข้างมหาลัยแบบเพิงๆ ห่วยๆ ให้รู้แล้วรู้รอด
อย่างน้อยเวลาทำอาหารผมก็รู้สึกมีความสุขกว่าจับคอมทำกราฟฟิก
: อดีตมนุษย์เงินเดือน ที่กระโดดออกมาทำธุรกิจส่วนตัวตอนนี้ "คุณมีเรื่องให้กดดันไร้สาระ จนต้องน้อยเนื้อต่ำใจอีกหรือไม่" ?
เมื่อทำงานประจำแล้วโดนเจ้านายกดดันในเรื่องเอาแต่ใจตัวเอง
ผมทำกราฟฟิค แต่ก็มีคุยกับ Supp. แทนหลายครั้ง ทั้งต่อราคา ถามข้อมูล ขอ offer นู่นนี่นั่น
ซึ่งผมเองก็เต็มใจนะ อะไรที่เป็นการ Contact และต่อราคาเพื่อให้บริษัทได้ประโยชน์เนี่ย ผมไม่ขัดเลย
แต่ในขณะเดียวกันก็สั่งแก้ Design ไม่รู้จบ ทั้งที่บรีฟกันชัดเจนแล้ว และอีกหลายอย่างที่ผมไม่อยากจำเพราะมีแต่ความรู้สึกแย่ๆ
พอทำไม่ทัน (เพราะต้องทำอย่างอื่นควบคู่กันไปตามใจแก) ก็โดนตำหนิแบบ
"ทำอะไรอยู่ ทำไม่ถึงไม่ทัน นี่ผ่านมาสามวันแล้ว คงไม่ได้ทำเรื่องส่วนตัวด้วยนะ ทำแต่งานหลักจริงรึเปล่า"
.
.
.
เฮ้ยย !! ทำไมพูดแบบนี้ งานดีไซน์นะครับจะคั้นเอาออกมาแบบลวกๆ
โอเค....ผมเลยลองทำแมร่งแบบลวกๆ คุณก็บอกอีกว่า "ทำแบบนี้ผมทำเองก็ได้"
ผมทำให้คุณทุกอย่าง นี่ยังไม่พอใจอีกหรือ <-- เกิดคำถามขึ้นมาในใจ พร้อมความน้อยเนื้อต่ำใจ
.
.
.
ยอมรับครับว่า การเป็นลูกเถ้าแก่ของเขานั้น ทุกอย่างรัดตัวไปหมด เขาต้องการคนแบ่งเบา
และผมก็ประเมินตัวเองแล้วว่าทำได้ดีมากๆ จนบริษัทได้กำไรจากงานที่ผมดีไซน์เป็นหลายล้านต่อปี
แต่ความสุขในการทำงานของผมต่างจากเขาครับ
ถ้าทุกอย่างต้องขัดแน่นไปหมดแบบนั้นจนไม่มีเวลาว่างหันไปทำอย่างอื่น
ผมคงไร้ความสุขในการทำงาน ไร้แรงผลักดันในการสร้างสรรค์งาน
เขาจะทำแบบนั้นก็ทำไป แต่ไม่ใช่ผมที่ต้องทำด้วย (เขาเคยพูดว่าทำแล้วเป็น KPI)
ทุกวันนี้บอกเลย ทำงานอย่างไร้ความสุขครับ
เวลาก็หาย ต้องแยกกันอยู่กับลูกเมีย ได้เจอกันทีก็วันเสาร์ค่ำ วันอาทิตย์ค่ำต้องกลับมาอยู่ที่หออีกแล้ว
ไม่มีใจที่จะทำที่นี่แล้ว รวมถึงงานด้านนี้อีกต่อไป
อยากออกไปทำร้านข้าวข้างมหาลัยแบบเพิงๆ ห่วยๆ ให้รู้แล้วรู้รอด
อย่างน้อยเวลาทำอาหารผมก็รู้สึกมีความสุขกว่าจับคอมทำกราฟฟิก