ขอคุยกันในตอนที่ชื่อว่า กว่าจะยอมรัก แอบคาดหวังในใจว่าคงได้ยินความพยายาม การต่อสู้เพื่อความรัก และสุดท้ายผลที่ได้ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พอไปรับสายจริงๆ กลายเป็นอีกแบบ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความรักที่อยากได้ก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น บางเรื่องคาดไม่ถึงว่าตอนจบมันลงเอยแบบนี้ได้ยังไง
ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ความแตกต่างของศาสนาคือปัญหาหลักในความรักของเขาค่ะ ตัวเขาเองเป็นอิสลาม แฟนเป็นพุทธ ความเชื่อเรื่องของการเมืองและศาสนา ถ้าเห็นต่างยังไงก็ยาก พ่อแม่ผู้ชายไม่เอาเลย ไม่ยอมรับ ปัญหาเลยไปหนักที่คนกลาง แฟนก็รักแต่ไม่อยากปักใจมาก จะให้เลิกก็ยาก เพราะเธอก็ดีแสนดี ผิดตรงที่คนละศาสนาเท่านั้น ผู้หญิงพยายามยื้อต่อไป ฝ่ายชายก็ให้กำลังใจพร้อมจะต่อสู้ไปด้วยกัน อนาคตไม่เห็น ก็แค่ “อยู่” และ “เป็น” ให้ดีที่สุดในปัจจุบัน รักไปเหนื่อยไป เพราะคบกันแบบบอกใครไม่ได้ พ่อแม่ฝ่ายผู้หญิงเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ลูกรักใครพ่อแม่รักด้วย พิธีต่างๆ ที่เป็นช่องว่างระหว่าง 2 ศาสนา ก็ไม่เป็นไร พยายามมองข้ามๆ ไปได้ เพื่อลูกและคนที่ลูกรัก
พอฝ่ายหญิงถาม เรื่องอนาคตว่าจะเอายังไง เขาก็ได้แต่เงียบ ไม่พูด ไม่อธิบาย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่มันควรเป็น นานๆ เข้าก็เริ่มถอดใจ ลองใช้วิธีไปคุยไปคบคนอื่นดูบ้าง เผื่อจะเจอทางสว่างในชีวิต ซึ่งคิดผิดที่สุด ยิ่งคุยเขากลับยิ่งรู้ว่าคนที่มีค่าที่สุดในชีวิต ก็คือผู้ชายที่เขาต่อสู้เพื่อจะได้อยู่คู่กับเขานั่นแหละ แต่โชคไม่ได้เข้าข้างค่ะ ในที่สุดแฟนจับได้ว่าเขาเปิดโอกาสให้ผู้ชายอื่น แฟนเขาโกรธและเสียใจมาก ร้องไห้เสียงดังแบบไม่เกรงใจใคร พ่อแม่ยอมรับผู้หญิงของเขาไม่ได้ก็กดดันมากพอแล้ว ยังเจอปัญหาคนรักนอกใจ สุดท้ายแฟนเขาขอเลิก
ความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับทั้ง 2 คนไม่ต่างกัน เขาพยายามสารพัดที่จะขอคืนดี ขอเริ่มต้นใหม่ ขอโอกาสที่จะเดินข้างๆ กันต่อไป ไม่ว่าปัญหาที่เจอจะหนักแค่ไหนก็ตาม พยายามสัญญานั่นนี่ เพื่อจะให้ได้อีกคนกลับมา ผู้ชายไม่ยอมค่ะ ยังคงยืนยันว่าหัวใจของเขาไม่พร้อมจะกลับไปเจ็บในเรื่องเดิมๆ แต่นั่นแหละคนเรารักกัน อยู่ตรงไหนก็รัก แยกกันไปยังไงก็รัก ผ่านไปไม่นาน สองคนก็ตัดสินใจลองกลับมาคบกันใหม่ บนเงื่อนไขและคำสัญญาที่ฝ่ายหญิงได้ให้ไว้ ทั้งๆที่ไม่เคยมองความจริงเลยว่าตนเองจะทำได้เช่นนั้นรึป่าว และพยายามแก้ไขปัญหาที่เคยละเลยความรู้สึกของกันและกัน พยายามสร้างวันใหม่ๆ ให้ดี เพื่อลบเลือนอดีตที่เจ็บปวดของคนสองคน ไม่ว่าพ่อแม่จะว่ายังไง เขาและเธอยืนยันจะทำให้ท่านเห็นว่า เราเลือกกันแล้ว
8 ปีกว่าๆ ที่บ้านของเขาเริ่มจะเห็นใจ และพอรับได้ว่า ต่างกันเรื่องของศาสนาใช่ว่าจะรักกันไม่ได้ ผู้หญิงเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมที่บ้านเขามากขึ้น มีกิจกรรมอะไรก็ร่วมทำกับเขา เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ได้ยังไง
เขาอยู่กับคำถามเดิม ๆ ที่แสนเจ็บปวด เพราะไม่รู้ว่า "เขาสองคนจะมีอนาคตร่วมกันหรือไม่" เมื่อไหร่ที่คนเราเริ่มมองหา "ความมั่นคง" ในชีวิต การเริ่มต้นมองหาจากคนใกล้ตัว เช่น คนรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมมันช่าง "กดดัน" และ "เจ็บปวด" เหลือเกิน ทุกครั้งที่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้ กลับเป็นประเด็นที่ทำให้คนสองคน "ทะเลาะ" กันได้ทุกที
ทั้งที่เขาปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันมาอย่างยาวนาน จนอายุเริ่มมากขึ้นทุกที. นานพอที่น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าระหว่างเขาทั้ง สองคงจะไม่มองใครคนไหนอีก คิดว่า "จะหยุดที่คนนี้" แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้เลย ในขณะที่อีกคนเริ่มคิดถึงเรื่องเป้าหมายในอนาคต เริ่มอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง เช่น อยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีงานแต่งงาน แต่อีกคนกลับ "ยังไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย" ทั้งๆที่อายุเริ่มมากขึ้นทุกวัน
บางครั้งก็คิดให้เหตุผลว่า "คบกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" ยังจะต้องการอะไรอีก บางทีก็บอกว่า "ไม่พร้อม" ทั้ง ๆ ที่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เหมือนดูพร้อมมาตั้งนานแล้ว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เรื่องของความรักที่ส่งผลต่อชีวิตจริงของเขาทั้งสอง ล้วนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน บทบาทของครอบครัวก็มีผลในการตัดสินใจ อีกทั้งเรื่องต่างศาสนาที่ดูเหมือนจะลงเอยได้ยากแต่การจะตัดสินใจ "รัก" หรือ "ไม่รัก" คนคนหนึ่ง จากประสบการณ์ของคนอื่น ๆ อาจไม่ถูกเสมอไป เพราะคนเรามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน คิดต่างกัน ไม่มีใครจะทำตามแบบใครแล้วจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
รักแท้...ที่บางคนค้นเจอ อาจใช้เวลาไม่นานก็ได้เจอ แต่กับบางคน...จำเป็นต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต เพื่อจะแน่ใจว่าใครคือคนที่อยากอยู่ร่วมกันมากที่สุด คู่รักบางคู่ ไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงาน แต่ก็อยู่กันแก่เฒ่า นี่ก็เรียกว่า "รักแท้" ได้เหมือนกัน
คิดเสมอว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องถามตัวเองว่า...รักคนนี้แล้วเรามีความสุขหรือเปล่า? ถ้าคำตอบคือ "ใช่" รักเขาแล้วมีความสุข ก็ไม่สำคัญหรอกว่า...รักแล้วจะมีอนาคตข้างหน้าร่วมกันอีกไหม เพราะความสุขที่เกิดขึ้นกับเราทุกวัน จะให้คำตอบกับเราเองว่าอนาคตของเราจะเป็นเช่นไร เมื่อวันที่เขาและเราพร้อม เมื่อนั้นคำตอบที่ถูกต้องจะเดินมาหาเราเอง "ขอแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ"
ก่อนทุกอย่างจะลงเอย สัญญาณอันตรายก็คล้ายๆ จะดังขึ้นมาอีก โทรไปเขาไม่ค่อยรับสาย ติดต่อไม่ได้ เรื่องเล็กๆน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปหมด ทะเลาะกันบ่อยขึ้น และต่างคนต่างเงียบ พ่อแม่เองก็ไม่เข้าใจลูกชายว่า หลังๆ ทำไมมีงานไปไหนไม่ค่อยบอก. วันหนึ่งได้ปักหลักรอว่าเขาจะโทรมา วันก็แล้ว 2 อาทิตย์ก็แล้ว ในที่สุดบ่ายของวันหนึ่งน้องคนนั้นก็ได้โทรไปหาเขาแต่เขากลับไม่รับสาย เขาเลยส่งข้อความไปทางเฟสทางไลน์ ทุกทางเพื่อติดต่อกันอีกครั้ง และถึงกับช๊อคเลยทีเดียว กับข้อความที่ตอบมาว่า "พอเถอะ พอซักที เราไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่มีทางที่เราสองคนจะเป็นไปได้อีกแล้ว. ขอร้องเถอะ ขอชีวิตเขาคืน อย่าทำลายกันอีกเลย" น้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงเขาจะพยายามง้องอนเท่าไหร่ ยื้อเท่าไหร่ก็ไม่มีผลกลับกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่มีค่าเสียนี่กระไร คงดูน่าสมเพศเลยทีเดียว
สุดท้ายแฟนน้องเขาก็รับสารภาพว่า ตอนที่ห่างไปช่วงที่จับได้ว่ามีคนอื่น เขาหมดรักเธอไปตั้งแต่วันนั้น ที่ผ่านมาแค่สงสารเธอ เท่านั้น และตอนนี้เขาก็มีคนใหม่ไปแล้ว.
ฟังแล้วคอตกเลยค่ะ รักแท้นึกว่าจะแพ้ครอบครัว ยังเอาชนะมาได้ สุดท้ายนี่คืออะไร กว่าจะสู้กันมาได้ ตั้ง 9 ปี กว่าจะเป็นคนที่เขาพาเข้าหาครอบครัวได้อย่างสบายใจ สุดท้ายความไม่หนักแน่นของหัวใจก็พาเขาไปอยู่ดี
เหมือนที่เขาคุยกันบ่อยๆ ค่ะ เวลามีปัญหาให้แก้ที่ปัญหา อย่าแก้ด้วยการเพิ่มจำนวนคน เธอไม่ชัดเจน ไม่บอกฉันว่าอนาคตเอายังไง เธอไม่สื่อสาร ก็ต้องถาม ต้องให้ได้คำตอบนั้น ถ้าสู้ไม่ไหวก็เลิกกันไป ค่อยคบคนใหม่ก็ไม่ช้า พอเราหาคนใหม่ เขาได้โอกาสเดินจากไป สุดท้ายต่างคนต่างมีทางเลือกใหม่ ลืมไปว่าวันที่เราต่อสู้กันมามันยากแค่ไหน
ต้องถือซะว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อกัน แค่ช่วงเวลาสั้นๆ จบจากนั้นก็ต่างคนต่างไป รักแท้ๆ ไม่น่าแพ้อะไร โจทย์อื่นจะยากแค่ไหน มันเทียบไม่ได้เลยกับการเอาชนะความไม่มั่นคงของหัวใจตัวเอง
การดูแลจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง มันแสนยากเหลือเกิน เป็นเหมือนกันไหม
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ความแตกต่างของศาสนาคือปัญหาหลักในความรักของเขาค่ะ ตัวเขาเองเป็นอิสลาม แฟนเป็นพุทธ ความเชื่อเรื่องของการเมืองและศาสนา ถ้าเห็นต่างยังไงก็ยาก พ่อแม่ผู้ชายไม่เอาเลย ไม่ยอมรับ ปัญหาเลยไปหนักที่คนกลาง แฟนก็รักแต่ไม่อยากปักใจมาก จะให้เลิกก็ยาก เพราะเธอก็ดีแสนดี ผิดตรงที่คนละศาสนาเท่านั้น ผู้หญิงพยายามยื้อต่อไป ฝ่ายชายก็ให้กำลังใจพร้อมจะต่อสู้ไปด้วยกัน อนาคตไม่เห็น ก็แค่ “อยู่” และ “เป็น” ให้ดีที่สุดในปัจจุบัน รักไปเหนื่อยไป เพราะคบกันแบบบอกใครไม่ได้ พ่อแม่ฝ่ายผู้หญิงเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ลูกรักใครพ่อแม่รักด้วย พิธีต่างๆ ที่เป็นช่องว่างระหว่าง 2 ศาสนา ก็ไม่เป็นไร พยายามมองข้ามๆ ไปได้ เพื่อลูกและคนที่ลูกรัก
พอฝ่ายหญิงถาม เรื่องอนาคตว่าจะเอายังไง เขาก็ได้แต่เงียบ ไม่พูด ไม่อธิบาย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่มันควรเป็น นานๆ เข้าก็เริ่มถอดใจ ลองใช้วิธีไปคุยไปคบคนอื่นดูบ้าง เผื่อจะเจอทางสว่างในชีวิต ซึ่งคิดผิดที่สุด ยิ่งคุยเขากลับยิ่งรู้ว่าคนที่มีค่าที่สุดในชีวิต ก็คือผู้ชายที่เขาต่อสู้เพื่อจะได้อยู่คู่กับเขานั่นแหละ แต่โชคไม่ได้เข้าข้างค่ะ ในที่สุดแฟนจับได้ว่าเขาเปิดโอกาสให้ผู้ชายอื่น แฟนเขาโกรธและเสียใจมาก ร้องไห้เสียงดังแบบไม่เกรงใจใคร พ่อแม่ยอมรับผู้หญิงของเขาไม่ได้ก็กดดันมากพอแล้ว ยังเจอปัญหาคนรักนอกใจ สุดท้ายแฟนเขาขอเลิก
ความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับทั้ง 2 คนไม่ต่างกัน เขาพยายามสารพัดที่จะขอคืนดี ขอเริ่มต้นใหม่ ขอโอกาสที่จะเดินข้างๆ กันต่อไป ไม่ว่าปัญหาที่เจอจะหนักแค่ไหนก็ตาม พยายามสัญญานั่นนี่ เพื่อจะให้ได้อีกคนกลับมา ผู้ชายไม่ยอมค่ะ ยังคงยืนยันว่าหัวใจของเขาไม่พร้อมจะกลับไปเจ็บในเรื่องเดิมๆ แต่นั่นแหละคนเรารักกัน อยู่ตรงไหนก็รัก แยกกันไปยังไงก็รัก ผ่านไปไม่นาน สองคนก็ตัดสินใจลองกลับมาคบกันใหม่ บนเงื่อนไขและคำสัญญาที่ฝ่ายหญิงได้ให้ไว้ ทั้งๆที่ไม่เคยมองความจริงเลยว่าตนเองจะทำได้เช่นนั้นรึป่าว และพยายามแก้ไขปัญหาที่เคยละเลยความรู้สึกของกันและกัน พยายามสร้างวันใหม่ๆ ให้ดี เพื่อลบเลือนอดีตที่เจ็บปวดของคนสองคน ไม่ว่าพ่อแม่จะว่ายังไง เขาและเธอยืนยันจะทำให้ท่านเห็นว่า เราเลือกกันแล้ว
8 ปีกว่าๆ ที่บ้านของเขาเริ่มจะเห็นใจ และพอรับได้ว่า ต่างกันเรื่องของศาสนาใช่ว่าจะรักกันไม่ได้ ผู้หญิงเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมที่บ้านเขามากขึ้น มีกิจกรรมอะไรก็ร่วมทำกับเขา เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ได้ยังไง
เขาอยู่กับคำถามเดิม ๆ ที่แสนเจ็บปวด เพราะไม่รู้ว่า "เขาสองคนจะมีอนาคตร่วมกันหรือไม่" เมื่อไหร่ที่คนเราเริ่มมองหา "ความมั่นคง" ในชีวิต การเริ่มต้นมองหาจากคนใกล้ตัว เช่น คนรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมมันช่าง "กดดัน" และ "เจ็บปวด" เหลือเกิน ทุกครั้งที่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้ กลับเป็นประเด็นที่ทำให้คนสองคน "ทะเลาะ" กันได้ทุกที
ทั้งที่เขาปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันมาอย่างยาวนาน จนอายุเริ่มมากขึ้นทุกที. นานพอที่น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าระหว่างเขาทั้ง สองคงจะไม่มองใครคนไหนอีก คิดว่า "จะหยุดที่คนนี้" แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้เลย ในขณะที่อีกคนเริ่มคิดถึงเรื่องเป้าหมายในอนาคต เริ่มอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง เช่น อยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีงานแต่งงาน แต่อีกคนกลับ "ยังไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย" ทั้งๆที่อายุเริ่มมากขึ้นทุกวัน
บางครั้งก็คิดให้เหตุผลว่า "คบกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" ยังจะต้องการอะไรอีก บางทีก็บอกว่า "ไม่พร้อม" ทั้ง ๆ ที่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เหมือนดูพร้อมมาตั้งนานแล้ว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เรื่องของความรักที่ส่งผลต่อชีวิตจริงของเขาทั้งสอง ล้วนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน บทบาทของครอบครัวก็มีผลในการตัดสินใจ อีกทั้งเรื่องต่างศาสนาที่ดูเหมือนจะลงเอยได้ยากแต่การจะตัดสินใจ "รัก" หรือ "ไม่รัก" คนคนหนึ่ง จากประสบการณ์ของคนอื่น ๆ อาจไม่ถูกเสมอไป เพราะคนเรามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน คิดต่างกัน ไม่มีใครจะทำตามแบบใครแล้วจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
รักแท้...ที่บางคนค้นเจอ อาจใช้เวลาไม่นานก็ได้เจอ แต่กับบางคน...จำเป็นต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต เพื่อจะแน่ใจว่าใครคือคนที่อยากอยู่ร่วมกันมากที่สุด คู่รักบางคู่ ไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงาน แต่ก็อยู่กันแก่เฒ่า นี่ก็เรียกว่า "รักแท้" ได้เหมือนกัน
คิดเสมอว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องถามตัวเองว่า...รักคนนี้แล้วเรามีความสุขหรือเปล่า? ถ้าคำตอบคือ "ใช่" รักเขาแล้วมีความสุข ก็ไม่สำคัญหรอกว่า...รักแล้วจะมีอนาคตข้างหน้าร่วมกันอีกไหม เพราะความสุขที่เกิดขึ้นกับเราทุกวัน จะให้คำตอบกับเราเองว่าอนาคตของเราจะเป็นเช่นไร เมื่อวันที่เขาและเราพร้อม เมื่อนั้นคำตอบที่ถูกต้องจะเดินมาหาเราเอง "ขอแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ"
ก่อนทุกอย่างจะลงเอย สัญญาณอันตรายก็คล้ายๆ จะดังขึ้นมาอีก โทรไปเขาไม่ค่อยรับสาย ติดต่อไม่ได้ เรื่องเล็กๆน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปหมด ทะเลาะกันบ่อยขึ้น และต่างคนต่างเงียบ พ่อแม่เองก็ไม่เข้าใจลูกชายว่า หลังๆ ทำไมมีงานไปไหนไม่ค่อยบอก. วันหนึ่งได้ปักหลักรอว่าเขาจะโทรมา วันก็แล้ว 2 อาทิตย์ก็แล้ว ในที่สุดบ่ายของวันหนึ่งน้องคนนั้นก็ได้โทรไปหาเขาแต่เขากลับไม่รับสาย เขาเลยส่งข้อความไปทางเฟสทางไลน์ ทุกทางเพื่อติดต่อกันอีกครั้ง และถึงกับช๊อคเลยทีเดียว กับข้อความที่ตอบมาว่า "พอเถอะ พอซักที เราไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่มีทางที่เราสองคนจะเป็นไปได้อีกแล้ว. ขอร้องเถอะ ขอชีวิตเขาคืน อย่าทำลายกันอีกเลย" น้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงเขาจะพยายามง้องอนเท่าไหร่ ยื้อเท่าไหร่ก็ไม่มีผลกลับกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่มีค่าเสียนี่กระไร คงดูน่าสมเพศเลยทีเดียว
สุดท้ายแฟนน้องเขาก็รับสารภาพว่า ตอนที่ห่างไปช่วงที่จับได้ว่ามีคนอื่น เขาหมดรักเธอไปตั้งแต่วันนั้น ที่ผ่านมาแค่สงสารเธอ เท่านั้น และตอนนี้เขาก็มีคนใหม่ไปแล้ว.
ฟังแล้วคอตกเลยค่ะ รักแท้นึกว่าจะแพ้ครอบครัว ยังเอาชนะมาได้ สุดท้ายนี่คืออะไร กว่าจะสู้กันมาได้ ตั้ง 9 ปี กว่าจะเป็นคนที่เขาพาเข้าหาครอบครัวได้อย่างสบายใจ สุดท้ายความไม่หนักแน่นของหัวใจก็พาเขาไปอยู่ดี
เหมือนที่เขาคุยกันบ่อยๆ ค่ะ เวลามีปัญหาให้แก้ที่ปัญหา อย่าแก้ด้วยการเพิ่มจำนวนคน เธอไม่ชัดเจน ไม่บอกฉันว่าอนาคตเอายังไง เธอไม่สื่อสาร ก็ต้องถาม ต้องให้ได้คำตอบนั้น ถ้าสู้ไม่ไหวก็เลิกกันไป ค่อยคบคนใหม่ก็ไม่ช้า พอเราหาคนใหม่ เขาได้โอกาสเดินจากไป สุดท้ายต่างคนต่างมีทางเลือกใหม่ ลืมไปว่าวันที่เราต่อสู้กันมามันยากแค่ไหน
ต้องถือซะว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อกัน แค่ช่วงเวลาสั้นๆ จบจากนั้นก็ต่างคนต่างไป รักแท้ๆ ไม่น่าแพ้อะไร โจทย์อื่นจะยากแค่ไหน มันเทียบไม่ได้เลยกับการเอาชนะความไม่มั่นคงของหัวใจตัวเอง