เรารู้จักกับแฟนมาตั้งแต่ม.ต้นค่ะ เป็นเพื่อนกันมาเกือบ 6-7 ปี ก่อนจะเริ่มคบกันจริงจัง
พอได้คบกัน เรารู้เลยว่า “คนนี้แหละ” คือคนที่อยากใช้ชีวิตด้วยไปจนแก่
เขาเป็นคนดีมาก เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราตลอด ไม่เคยหายไปในวันที่เราลำบาก
ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไร เขาจะคอยฟัง คอยแนะนำ คอยแก้ไปด้วยกัน
และแม้เราจะเป็นฝ่ายผิด เขาก็ยังอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่เคยทอดทิ้งเลย
ตอนเราเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาก็ช่วยแบ่งเบาโดยไม่ลังเล
เขาดูแลครอบครัวเราด้วยความเต็มใจ แม่เราป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ เขาก็เป็นคนพาไปหาหมอ หรือนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนเรา ทั้งที่ตัวเองก็เหนื่อย บางวันแม่ไปทำงาน เขาก็ไปขับรถไปรับให้ แม้จะต้องขับวนไปคนละฝั่งเมืองกับที่ทำงานของเขาเอง
เราเรียนภาคพิเศษวันอาทิตย์ เขาก็ไปส่งทุกอาทิตย์
ไม่เคยให้เราต้องเดินทางคนเดียวเลย (ยกเว้นไปทำงานที่เราขับรถไปเอง)
เรื่องเล็ก ๆ เขาก็ใส่ใจ อย่างเวลานั่งเล่นโทรศัพท์กันสองคน ถ้าเราเงียบหรือวางโทรศัพท์ เขาก็วางแล้วหันมาหาเราเสมอ
เราอยู่ด้วยกันมา 2 ปีค่ะ
แต่เราไม่ได้อยู่บ้านที่เราซื้อเองนะคะ อยู่บ้านของเราที่มีพ่อแม่พี่น้องเราอยู่ด้วย
ซึ่ง…พ่อแม่ของเรารับรู้ทุกอย่าง และท่าน “ไม่เคยกีดกัน” เลย
ท่านบอกเสมอว่า ถ้าเรามีความสุข ถ้าผู้ชายคนนี้ดี ดูแลเราได้ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง
แฟนเรามีงานมั่นคง เป็นข้าราชการ มีการศึกษา และเป็นคนมีน้ำใจมาก
พ่อแม่เรารักเขาเหมือนลูก และท่านก็เข้าใจแม้เขาจะต่างศาสนา
เวลาทานอาหารที่บ้าน พ่อแม่เราก็ช่วยจัดอาหารที่แฟนเราทานได้
ถ้ามื้อไหนไม่สะดวก เราก็ออกไปกินกันเองสองคน ไม่มีใครว่าอะไรเลยค่ะ
เรื่องเข้าศาสนา พ่อแม่เราก็เข้าใจ ไม่เคยห้าม ให้เราได้เลือกทางของตัวเอง
ท่านแค่ขอว่า ถ้าจะเข้าศาสนา ขอให้มาจากความศรัทธาจริง ๆ
⸻
ปัญหาเริ่มจาก…แม่ของแฟนไม่รู้ว่าเราย้ายมาอยู่ด้วยกัน
ครอบครัวแฟนเป็นอิสลามค่ะ พ่อแม่เขาแยกทางกัน พ่อเป็นพุทธที่แต่งเข้าอิสลาม
แต่สุดท้ายแยกทางเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตตามหลักศาสนาได้
ทำให้แม่แฟน “ค่อนข้างมีอคติ” กับคนต่างศาสนา แม่แฟนจึงขอแยกตัวไปอยู่คนเดียวที่บ้านต่างจังหวัด
ตอนเริ่มคบกัน มีแค่พ่อของแฟนที่รับรู้และเปิดใจ
จนวันหนึ่ง ป้าข้างบ้าน (เป็นพี่สาวแม่เขา) ไปบอกแม่แฟนว่าแฟนเราอยู่กับเราที่บ้าน (ซึ่งวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราไปบ้านแฟนเพราะไปหาพ่อแฟนค่ะ)
แม่เขาทักมาด่าแฟนเราทันที ว่าทำไมไม่รอให้ถึงอายุ 30 ก่อน ค่อยคบใคร ค่อยแต่ง
กลัวผู้หญิงหวังจับลูกชาย เพราะลูกชายมีงานมั่นคง เป็นข้าราชการ
แต่แฟนเราก็ปกป้องเราทันที อธิบายกับแม่เต็มที่ว่าเราดีแค่ไหน ตั้งใจจริงแค่ไหน
แต่เรารู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้แม่แฟนและแฟนต้องทะเลาะกัน เลย “ขอไปหาแม่แฟนด้วยตัวเอง” เพื่อแนะนำตัวและพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ผลก็คือ…แม่แฟนดูโอเคกับเราขึ้นมากค่ะ
เรานึกว่าเรื่องทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว
⸻
แต่สุดท้าย แม่แฟนเพิ่งมารู้ว่าลูกชายมาอยู่บ้านผู้หญิง และ “ไม่โอเคอย่างหนัก”
แม่แฟนถามแฟนเราตรง ๆ และแฟนเราก็ยอมรับ
แม่แฟนเลยยืนกรานทันทีว่า “จะต้องจัดพิธีแต่งแบบอิสลาม (นิกะห์) โดยเร็วที่สุด”
รูปแบบที่แม่ต้องการคือ
• ค่าสินสอด 125 บาท + กุรอาน 1 เล่ม
• ไม่ต้องจัดงาน ไม่ต้องเชิญญาติ เพราะสิ้นเปลือง
• แค่ถูกหลักศาสนา ก็พอ
เรายังไม่เคยได้พูดเลยว่าเรารู้สึกยังไง พร้อมหรือยัง
และมันเหมือน…ความฝันของเรากับแฟน ที่เคยวางแผนงานแต่งด้วยกัน มันกำลังถูกตัดทิ้งหมดเลย
⸻
เราสองคนร้องไห้แทบทุกคืน เพราะ…
แฟนเราเสียใจมาก เขาบอกว่า “จะต้องแต่งงานแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
เขาเคยบอกว่า ไม่ว่าหนูจะอยากเข้าศาสนาเมื่อไหร่ เขาจะไม่กดดันเลย
จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ แต่อยากให้เราทำด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ
⸻
สำหรับเรา…
• เราไม่ได้ปฏิเสธศาสนาอิสลาม ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้และศึกษาด้วยความตั้งใจ และคิดว่าเร็วสุดในปีหน้า เราอยากลองใช้ชีวิตแบบอิสลามจริง ๆ และรับศาสนาอย่างเต็มใจ
• แต่เราไม่อยากให้การเข้าศาสนาและแต่งงาน มาจาก “แรงกดดัน” ว่าต้องทำตอนนี้
• เราอยากมีงานแต่งที่มีความหมาย มีคนที่รักมาแสดงความยินดี
• เราเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เป็นหลานสาวคนเดียวของย่า ผู้ใหญ่ฝั่งเราจึงถือเรื่อง “สินสอด” และ “งานแต่งที่เป็นหน้าเป็นตา” ด้วย
• พ่อแม่เราไม่ได้รังเกียจศาสนาแฟน แต่ก็อยากให้เรามีคุณค่าในวันสำคัญของชีวิต
⸻
เราควรทำยังไงดีคะ?
ตอนนี้เรารู้สึกว่าถ้าตัดสินใจอะไรผิดไป อาจเสียใจไปตลอดชีวิต
เรารักแฟนมาก อยากแต่งกับเขาจริง ๆ แต่ก็อยากแต่ง “ด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยความจำยอม”
ใครเคยเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กัน แนะนำหรือแชร์มุมมองได้นะคะ
เรายินดีฟังทุกความเห็นจริง ๆ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ 🙏
แฟนเป็นคนดีมาก แต่ครอบครัวเขาอยากให้แต่งงานแบบศาสนาอิสลามโดยเร็ว
พอได้คบกัน เรารู้เลยว่า “คนนี้แหละ” คือคนที่อยากใช้ชีวิตด้วยไปจนแก่
เขาเป็นคนดีมาก เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราตลอด ไม่เคยหายไปในวันที่เราลำบาก
ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไร เขาจะคอยฟัง คอยแนะนำ คอยแก้ไปด้วยกัน
และแม้เราจะเป็นฝ่ายผิด เขาก็ยังอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่เคยทอดทิ้งเลย
ตอนเราเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาก็ช่วยแบ่งเบาโดยไม่ลังเล
เขาดูแลครอบครัวเราด้วยความเต็มใจ แม่เราป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ เขาก็เป็นคนพาไปหาหมอ หรือนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนเรา ทั้งที่ตัวเองก็เหนื่อย บางวันแม่ไปทำงาน เขาก็ไปขับรถไปรับให้ แม้จะต้องขับวนไปคนละฝั่งเมืองกับที่ทำงานของเขาเอง
เราเรียนภาคพิเศษวันอาทิตย์ เขาก็ไปส่งทุกอาทิตย์
ไม่เคยให้เราต้องเดินทางคนเดียวเลย (ยกเว้นไปทำงานที่เราขับรถไปเอง)
เรื่องเล็ก ๆ เขาก็ใส่ใจ อย่างเวลานั่งเล่นโทรศัพท์กันสองคน ถ้าเราเงียบหรือวางโทรศัพท์ เขาก็วางแล้วหันมาหาเราเสมอ
เราอยู่ด้วยกันมา 2 ปีค่ะ
แต่เราไม่ได้อยู่บ้านที่เราซื้อเองนะคะ อยู่บ้านของเราที่มีพ่อแม่พี่น้องเราอยู่ด้วย
ซึ่ง…พ่อแม่ของเรารับรู้ทุกอย่าง และท่าน “ไม่เคยกีดกัน” เลย
ท่านบอกเสมอว่า ถ้าเรามีความสุข ถ้าผู้ชายคนนี้ดี ดูแลเราได้ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง
แฟนเรามีงานมั่นคง เป็นข้าราชการ มีการศึกษา และเป็นคนมีน้ำใจมาก
พ่อแม่เรารักเขาเหมือนลูก และท่านก็เข้าใจแม้เขาจะต่างศาสนา
เวลาทานอาหารที่บ้าน พ่อแม่เราก็ช่วยจัดอาหารที่แฟนเราทานได้
ถ้ามื้อไหนไม่สะดวก เราก็ออกไปกินกันเองสองคน ไม่มีใครว่าอะไรเลยค่ะ
เรื่องเข้าศาสนา พ่อแม่เราก็เข้าใจ ไม่เคยห้าม ให้เราได้เลือกทางของตัวเอง
ท่านแค่ขอว่า ถ้าจะเข้าศาสนา ขอให้มาจากความศรัทธาจริง ๆ
⸻
ปัญหาเริ่มจาก…แม่ของแฟนไม่รู้ว่าเราย้ายมาอยู่ด้วยกัน
ครอบครัวแฟนเป็นอิสลามค่ะ พ่อแม่เขาแยกทางกัน พ่อเป็นพุทธที่แต่งเข้าอิสลาม
แต่สุดท้ายแยกทางเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตตามหลักศาสนาได้
ทำให้แม่แฟน “ค่อนข้างมีอคติ” กับคนต่างศาสนา แม่แฟนจึงขอแยกตัวไปอยู่คนเดียวที่บ้านต่างจังหวัด
ตอนเริ่มคบกัน มีแค่พ่อของแฟนที่รับรู้และเปิดใจ
จนวันหนึ่ง ป้าข้างบ้าน (เป็นพี่สาวแม่เขา) ไปบอกแม่แฟนว่าแฟนเราอยู่กับเราที่บ้าน (ซึ่งวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราไปบ้านแฟนเพราะไปหาพ่อแฟนค่ะ)
แม่เขาทักมาด่าแฟนเราทันที ว่าทำไมไม่รอให้ถึงอายุ 30 ก่อน ค่อยคบใคร ค่อยแต่ง
กลัวผู้หญิงหวังจับลูกชาย เพราะลูกชายมีงานมั่นคง เป็นข้าราชการ
แต่แฟนเราก็ปกป้องเราทันที อธิบายกับแม่เต็มที่ว่าเราดีแค่ไหน ตั้งใจจริงแค่ไหน
แต่เรารู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้แม่แฟนและแฟนต้องทะเลาะกัน เลย “ขอไปหาแม่แฟนด้วยตัวเอง” เพื่อแนะนำตัวและพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ผลก็คือ…แม่แฟนดูโอเคกับเราขึ้นมากค่ะ
เรานึกว่าเรื่องทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว
⸻
แต่สุดท้าย แม่แฟนเพิ่งมารู้ว่าลูกชายมาอยู่บ้านผู้หญิง และ “ไม่โอเคอย่างหนัก”
แม่แฟนถามแฟนเราตรง ๆ และแฟนเราก็ยอมรับ
แม่แฟนเลยยืนกรานทันทีว่า “จะต้องจัดพิธีแต่งแบบอิสลาม (นิกะห์) โดยเร็วที่สุด”
รูปแบบที่แม่ต้องการคือ
• ค่าสินสอด 125 บาท + กุรอาน 1 เล่ม
• ไม่ต้องจัดงาน ไม่ต้องเชิญญาติ เพราะสิ้นเปลือง
• แค่ถูกหลักศาสนา ก็พอ
เรายังไม่เคยได้พูดเลยว่าเรารู้สึกยังไง พร้อมหรือยัง
และมันเหมือน…ความฝันของเรากับแฟน ที่เคยวางแผนงานแต่งด้วยกัน มันกำลังถูกตัดทิ้งหมดเลย
⸻
เราสองคนร้องไห้แทบทุกคืน เพราะ…
แฟนเราเสียใจมาก เขาบอกว่า “จะต้องแต่งงานแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
เขาเคยบอกว่า ไม่ว่าหนูจะอยากเข้าศาสนาเมื่อไหร่ เขาจะไม่กดดันเลย
จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ แต่อยากให้เราทำด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ
⸻
สำหรับเรา…
• เราไม่ได้ปฏิเสธศาสนาอิสลาม ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้และศึกษาด้วยความตั้งใจ และคิดว่าเร็วสุดในปีหน้า เราอยากลองใช้ชีวิตแบบอิสลามจริง ๆ และรับศาสนาอย่างเต็มใจ
• แต่เราไม่อยากให้การเข้าศาสนาและแต่งงาน มาจาก “แรงกดดัน” ว่าต้องทำตอนนี้
• เราอยากมีงานแต่งที่มีความหมาย มีคนที่รักมาแสดงความยินดี
• เราเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เป็นหลานสาวคนเดียวของย่า ผู้ใหญ่ฝั่งเราจึงถือเรื่อง “สินสอด” และ “งานแต่งที่เป็นหน้าเป็นตา” ด้วย
• พ่อแม่เราไม่ได้รังเกียจศาสนาแฟน แต่ก็อยากให้เรามีคุณค่าในวันสำคัญของชีวิต
⸻
เราควรทำยังไงดีคะ?
ตอนนี้เรารู้สึกว่าถ้าตัดสินใจอะไรผิดไป อาจเสียใจไปตลอดชีวิต
เรารักแฟนมาก อยากแต่งกับเขาจริง ๆ แต่ก็อยากแต่ง “ด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยความจำยอม”
ใครเคยเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กัน แนะนำหรือแชร์มุมมองได้นะคะ
เรายินดีฟังทุกความเห็นจริง ๆ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ 🙏