แนวเรื่อง : ระทึกขวัญ/สยองขวัญ
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)
บทที่ 3 : จิ๊กซอว์แห่งปริศนา
ท่ามกลางความเงียบภายในห้องน้ำสีขาว ซึ่งเงียบจนมนต์ยังได้ยินแม้แต่เสียงของลมหายใจของตัวเอง มันกำลังเร่งจังหวะถี่รัวขึ้น สอดคล้องกับอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นทุกที เขามองลอดผ่านรอยแง้มบานประตูซึ่งกำลังเปิดอ้าออกทีละนิดด้วยความเงียบเท่าที่จะทำได้
ภายในห้องไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องตกแต่งมากมายนัก มีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้าไม้ใบใหญ่ โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งเป็นที่สถิตของเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเดอะ และเตียงไม้เก่าหลังหนึ่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติตกทอดมาจากเจ้าของห้องคนก่อนทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นมันก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มนต์ไม่พบเห็นสิ่งปรกติใดเลยในห้อง... ราวกับเรื่องที่ผ่านมากลายเป็นแค่การทึกทักเอาเอง ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่แวบแรก เพราะเมื่อกวาดตามาจนถึงอีกด้าน เด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งสุดตัว รู้สึกเสียววาบตั้งแต่ท้องน้อยขึ้นมาจนถึงต้นคอ เพราะบัดนี้เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้อง... อย่างที่ควรจะเป็น
แสงจากโคมไฟสีส้มที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนงานใต้หน้าต่าง เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง พลางโยกตัว ข้างหน้าที หลังที สลับไปมา พร้อมกับเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาต่อเนื่องของเตียงไม้หลังเก่าคร่ำครึ
มนต์อ้าปากค้าง ม่านตาดำขยายกว้าง เมื่อได้เห็นภาพสุดสยองตรงหน้า ความพรั่นพรึงเข้าแทรกกลางระหว่างสติสัมปชัญญะ และการควบคุมสั่งการของร่างกาย ให้คล้ายดั่งถูกสะกดไปชั่วครู่ เด็กหนุ่มเจ้าของห้องหยุดนิ่ง ทัศนประสาท จับจ้องดูเงาร่างนั้นนั่งโยกตัวไปมาประหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกก็ไม่ปาน หยาดเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นทั่วใบหน้า หัวใจสั่นไหวไม่เป็นจังหวะจะโคน
วินาทีต่อมาเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเตียงไม้หยุดกึกลง ความเงียบแทรกตัวเข้าแทนที่ มนต์กลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ดวงตาจับจ้องไปยังร่างนั้น รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
โดยไร้ซึ่งสัญญาณใด หล่อนหันขวับมาทางเขาในทันทีที่เสียงไม้ลั่นหยุดลง ใบหน้ามืดดำเพราะไม่ได้ถูกแสงจากโคมไฟที่อยู่ทางด้านหลังตกกระทบ มันช่างฉุดดึงความกลัวของเด็กหนุ่มให้พุ่งพล่าน
มนต์ถึงกับลืมตัวผงะถอยหลัง ชนโครมเข้ากับอ่างล้างหน้า มือซึ่งเคยจับลูกบิดประตูไว้ถูกปล่อยออก ประตูห้องน้ำอันเคยเป็นเหมือนที่หลบซ่อนตัวกำลังเปิดอ้ากว้างขึ้น
เด็กหนุ่มได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ... สมองไม่สามารถสั่งการให้คว้าประตูไว้ได้ทัน
“โครม!” ประตูห้องน้ำกระแทกเข้ากับฝาผนังอย่างแรง เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง วินาทีนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองหล่นวูบลงสู่เบื้องล่าง แก้วหูอื้ออึงไปหมด
แสงไฟจากหลอดนีออนในห้องน้ำสาดส่องกระทบลงบนร่างของหญิงสาว เผยให้เห็นใบหน้าอันขาวโพลน เปลือกตาของเธอเบิกกว้าง พร้อมกับที่ริมฝีปากเผยอขึ้นอย่างสั่นเครือ ใบหน้าของหล่อนปริร่อนแล้วแตกออก ประหนึ่งอสุรกายอันน่ากลัวซึ่งคืบคลานขึ้นมาจากห้วงนรกอเวจี
...ไม่ใช่เนื้อหนังของมนุษย์
ร่างกายเปลือยเปล่าของมนต์กำลังออกอาการสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด แต่หาใช่เพราะความหนาวเย็นจากละอองน้ำที่ประพรมอยู่ทั่วร่างกายไม่ มันเกิดจากความหวาดหวั่นพรั่นพรึงซึ่งกำลังเกาะกินจิตใจต่างหาก สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มแทบจะแตกซ่านกระเซ็นไป พร้อมกับหลุดคำอุทานออกจากปากด้วยความตกใจ
เพียงไม่กี่วินาทีของเวลาแห่งการเผชิญหน้ากับความสยดสยอง สำหรับเขามันยาวนานเหมือนเป็นชั่วโมง จนมนต์สามารถมองเห็นได้ถึงใบหน้าขาวโพลนที่แห้งกรังกำลังแตกออก ราวกับผนังปูนร่อนตัว แผงเนื้อบริเวณหน้าอกของเขาหาได้กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะของการหายใจไม่ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับก้อนมวลอากาศจุกแน่นอยู่ที่อก มนต์เองกำลังเจอเข้ากับอาการที่เรียก ‘ลืมหายใจ’
ราวกับถูกสะกด ดวงตาซึ่งเบิกโพลงทั้งคู่ของเด็กหนุ่มทำได้เพียงจับจ้องไปที่ใบหน้าของมัน ริมฝีปากของอมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเผยอกว้างจนแทบจะฉีกออก ชั่วเวลาเดียวกับเสี้ยววินาทีที่ความพรั่นพรึงไม่ได้อวดโฉมแค่เพียงให้ประจักษ์แก่ทัศนประสาทอีกต่อไป
“กรี๊ด..............................!” เสียงกรีดร้องอันโหยหวนเสียดตัวผ่านความเงียบเข้าทะลวงโสตประสาทของเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
วินาทีนั้น ร่างกายเปล่าเปลือยของผู้เฝ้าดูเหตุการณ์กลับพุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อซึ่งทะลักทลายออกจากรูขุมขน ผสานเข้ากับความเย็นของละอองน้ำบนร่างกาย มนต์ขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกเย็นไปทั่วแผ่นหลังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่ใช่แค่เพียงความหนาวเย็นแบบที่รู้สึกอยู่บนผิวหนังกำพร้า แต่มันเสียดแทงเข้าไปทุกมัดเนื้อในร่างกาย จนทำให้อวัยวะทุกส่วนสัดแข็งเกร็ง และหยุดการทำงาน สติสัมปชัญญะแตกซ่านกระเซ็นไป
ร่างของเด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไร้การควบคุม... เป็นได้เพียงแค่เหยื่อซึ่งไร้ทางขัดขืนเท่านั้น
ทันใดนั้น ร่างของหญิงสาวปริศนาที่เคยตั้งตรงอยู่บนเตียง กลับเอนตัวทิ้งดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างแทบจะในทันทีที่เสียงหวีดร้องสิ้นสุดลง ประหนึ่งซากศพซึ่งถูกจับโยนทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ความเงียบแผ่ซ่านเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องราวกับแสงตะวันที่ถูกเมฆาสีนิลบดบัง
เหมือนภวังค์ได้ถูกคลายสะกด สติของมนต์หวนย้อนกลับเข้ามาหาอีกครั้ง ร่างนั้นได้หายไปแล้วทางอีกด้านของเตียง...ที่ซึ่งสายตาของเด็กหนุ่มไม่อาจจะมองเห็นได้จากมุมนี้
นักประพันธ์วัยรุ่นถลันออกจากห้องน้ำแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัว เขาเก้าเท้าทีละนิดเดินย่ำไปบนพื้นกระเบื้องอันเย็นเยือกของห้องอย่างหวาดระแวง
ในขณะเข้าใกล้เตียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดของเด็กหนุ่มยังคงคำนึงถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมไม่ได้ แม้จะมีสติ แต่ไม่ใช่ความกลัวจะถูกขับไล่ออกไปได้หมดสิ้น มนต์ยังคงหายใจไม่เป็นจังหวะ ประสานกันกับหัวใจที่ยังคงเต้นเร่าอย่างรวดเร็วภายใต้เนื้อหนังของร่างกายส่วนบน
คล้ายกับตัวละครซึ่งถูกกำหนดบทบาทให้เล่นไปตามสริปต์ ที่วางไว้ สมองสั่งการให้เขาเยื้องย่างย้ายร่างกายตัวเองเข้าไปให้ถึงที่เกิดเหตุ... ที่ที่หญิงสาวลึกลับหายตัวไป
มนต์ได้แต่ปรารถนาให้ภาพที่เขาจะเห็นคือความว่างเปล่า คาดหวังให้เรื่องทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคิดไปเอง แต่... ชีวิตก็เหมือนกับละครตลก มันมักจะมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
อีกครั้งที่ภาพเบื้องหน้าทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มแทบจะหยุดเต้น ร่างของหญิงสาวเมื่อสักครู่นอนกองอยู่ที่พื้น ผมยาวดำสนิทของเธอแผ่กว้างไปตามพื้นห้อง ใบหน้าถูกปกคลุมอยู่ใต้เรือนผมนั้นเช่นกัน มนต์ได้แต่ข่มความรู้สึกกลัวไว้ให้ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุด
“เอาวะ เอาไงเอากัน” เด็กหนุ่มคิดปลอบขวัญตัวเองอยู่ในใจก่อนจะยื่นมือสั่นเทาไปปัดเอาเส้นผมสีดำเหล่านั้นออกจากใบหน้าของหญิงสาวปริศนา
ดวงหน้าของเธอค่อย ๆ ถูกเผยให้เห็นทีละน้อยตามรอยแหวกของเส้น เขาไม่ได้ตาฝาดไป มันขาวโพลน แห้งกรัง และแตกร่อนออกจริง ๆ
แต่ก็นั่นแหละ เรื่องไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นเสมอ
“พี่ฟ้า!” มนต์อุทานโพล่งออกมา เมื่อได้ประจักษ์แก่สายตาถึงตัวจริงของหญิงสาวปริศนาที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นราวกับตุ๊กตาซึ่งถูกเด็กเล่นอย่างทิ้งขว้าง เด็กหนุ่มปรี่ตัวเข้าไปประคองร่างอรชรอ้อนแอ้นของสาวผู้สูงวัยกว่าไว้ในอ้อมแขนข้างซ้าย ใบหน้าสวยงามปานนางแบบของหญิงสาว ยิ่งมองเธอก็ยิ่งเหมือนเจ้าหญิงผู้กำลังรอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาวมามอบจุมพิตแสนพิเศษ ปลุกให้ตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนาน ถึงแม้ตอนนี้มันจะถูกปกคลุมอยู่ใต้มาส์ค พอกหน้าสีขาวจั๊วก็ตามที
แต่เสียใจด้วย มนต์ไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าชายรูปงามทรงเสน่ห์ในนิทานแม้เพียงน้อย ก็แค่เด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาเท่านั้น
เขาตบหน้าหญิงสาวทีหนึ่งอย่างแผ่วเบา หวังจะกระตุ้นความรู้สึกที่หลบซ่อนอยู่ในภวังค์ของเธอให้ตื่นขึ้น ด้วยอารามของคนที่ยังคงตกใจอยู่ไม่หาย
มันได้ผล เปลือกตาของฟ้าสั่นเล็กน้อยพร้อมกับยกตัวเองขึ้นทีละนิด
เมื่อมนต์เริ่มเห็นดวงตาของหญิงสาวกรอกไปมา เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ จนถึงกับลืมตัวถอนหายใจออกมาเสียงดัง “เฮ้อ ...”
‘ฟ้า’ หญิงสาวที่กำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยน ภายในอ้อมแขนอันอบอุ่นของเด็กหนุ่มค่อย ๆ ปรับโฟกัสสายตาของตัวเอง จากภาพเลือนรางซึ่งอยู่ตรงหน้า แปรเปลี่ยนเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ หล่อนมองเห็นใบหน้า และดวงตาอ่อนโยนฉาบฉายด้วยความห่วงใยของมนต์ ซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างไม่กระพริบ ก่อนจะรวบรวมกำลังประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง ดวงตากรอกซ้ายขวาไปมาเหมือนกับลังทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น... ช่วงเวลาก่อนสติของเธอจะเลือนหายไป
“พี่ฟ้าเป็นอย่างไรบ้างครับ” เสียงของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าดังขึ้น เรียกร้องความสนใจให้หญิงสาวหันไปมองอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนเองก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมาเต็มที่ หญิงสาวมองไปยังใบหน้าของมนต์ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาเรื่อยจนถึง...
“ว้าย! พระเจ้าช่วยกล้วยเปียก!” หล่อนโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความตกใจให้แก่มนต์ได้ไม่น้อย จนเขาถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวหลับตาปี๋ สะบัดหน้าไปอีกทางอย่างรวดเร็ว พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดบังใบหน้าด้วยอารามเขินอาย ทิ้งให้มนต์ไว้เพียงความฉงนงงงวย
“มนต์ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป!”
ทันที่เสียงนั้นส่งผ่านจากโสตประสาทสู่สมอง มนต์ก้มตัวลงมองสรรพาร่างกายของตัวเองทันที “เฮ้ย!” แล้วเด็กหนุ่มก็เข้าใจได้ในบัดดล ‘กล้วยเปียก’จริง ๆ ด้วย
มนต์ปรี่นำพาร่างกายเปล่าเปลือยของตนถลาไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาห่มคลุมอย่างเร่งรีบ จนเสียงวิ่งดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เพียงแค่ทำให้เขาต้องลืมตัว... ลืมหายใจ... แต่มันยังทำให้เขาลืมที่จะใส่เสื้อผ้าอีกด้วย เด็กหนุ่มได้แต่คิดแล้วก็อาย ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวขึ้น
“พี่มาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” มนต์ พูดอย่างเอียงอาย พลางหยิบเสื้อผ้าออกมาใส่ ปิดกั้นศิลปะแห่งสรีระที่ธรรมชาติได้เสกสร้างรังสรรค์ไว้ให้เป็นภาชนะสำหรับบรรจุจิตวิญญาณของมนุษย์
“มี ๆ พี่มาเรื่องหมู่บ้านเงาจันทร์” เด็กหนุ่มหันขวับไปทางหญิงสาวแทบจะในทันทีที่สิ้นสียงของเธอ
...สิ้นเสียงของชื่อ ‘หมู่บ้านเงาจันทร์’
“เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้พี่ฟ้าพูดว่าอะไรนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้น ระคนกับความสงสัยทันทีที่สิ้นเสียงของคู่สนทนา ถ้อยคำซึ่งเขาเปล่งออกมานั้นมันเร็วเสียจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
หญิงสาวเองก็รู้สึกพิศวงไปกับท่าทางของมนต์ด้วยเช่นกัน
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น พี่พูดว่า... พี่จะมาพูดกับมนต์เรื่องหมู่บ้านเงาจันทร์ไง”
มนต์จ้องมองตอบเข้าไปในแววตาของหญิงสาว จนเหมือนกับพยายามจะทะลุทะลวงเข้าไปล้วงกระชากเอาคำตอบออกมาให้ได้
...คำตอบ ของคำถามที่คาใจเขามาตลอดทั้งคืน... แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับจากหญิงสาวมีเพียงท่าที่ที่เงียบงันเท่านั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
หมู่บ้านเงาจันทร์ (Village of lunar's shadow) - ตอนที่ 3 จิ๊กซอว์แห่งปริศนา [mystery-thiller]
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)
ท่ามกลางความเงียบภายในห้องน้ำสีขาว ซึ่งเงียบจนมนต์ยังได้ยินแม้แต่เสียงของลมหายใจของตัวเอง มันกำลังเร่งจังหวะถี่รัวขึ้น สอดคล้องกับอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นทุกที เขามองลอดผ่านรอยแง้มบานประตูซึ่งกำลังเปิดอ้าออกทีละนิดด้วยความเงียบเท่าที่จะทำได้
ภายในห้องไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องตกแต่งมากมายนัก มีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้าไม้ใบใหญ่ โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งเป็นที่สถิตของเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเดอะ และเตียงไม้เก่าหลังหนึ่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติตกทอดมาจากเจ้าของห้องคนก่อนทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นมันก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มนต์ไม่พบเห็นสิ่งปรกติใดเลยในห้อง... ราวกับเรื่องที่ผ่านมากลายเป็นแค่การทึกทักเอาเอง ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่แวบแรก เพราะเมื่อกวาดตามาจนถึงอีกด้าน เด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งสุดตัว รู้สึกเสียววาบตั้งแต่ท้องน้อยขึ้นมาจนถึงต้นคอ เพราะบัดนี้เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้อง... อย่างที่ควรจะเป็น
แสงจากโคมไฟสีส้มที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนงานใต้หน้าต่าง เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง พลางโยกตัว ข้างหน้าที หลังที สลับไปมา พร้อมกับเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาต่อเนื่องของเตียงไม้หลังเก่าคร่ำครึ
มนต์อ้าปากค้าง ม่านตาดำขยายกว้าง เมื่อได้เห็นภาพสุดสยองตรงหน้า ความพรั่นพรึงเข้าแทรกกลางระหว่างสติสัมปชัญญะ และการควบคุมสั่งการของร่างกาย ให้คล้ายดั่งถูกสะกดไปชั่วครู่ เด็กหนุ่มเจ้าของห้องหยุดนิ่ง ทัศนประสาท จับจ้องดูเงาร่างนั้นนั่งโยกตัวไปมาประหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกก็ไม่ปาน หยาดเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นทั่วใบหน้า หัวใจสั่นไหวไม่เป็นจังหวะจะโคน
วินาทีต่อมาเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเตียงไม้หยุดกึกลง ความเงียบแทรกตัวเข้าแทนที่ มนต์กลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ดวงตาจับจ้องไปยังร่างนั้น รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
โดยไร้ซึ่งสัญญาณใด หล่อนหันขวับมาทางเขาในทันทีที่เสียงไม้ลั่นหยุดลง ใบหน้ามืดดำเพราะไม่ได้ถูกแสงจากโคมไฟที่อยู่ทางด้านหลังตกกระทบ มันช่างฉุดดึงความกลัวของเด็กหนุ่มให้พุ่งพล่าน
มนต์ถึงกับลืมตัวผงะถอยหลัง ชนโครมเข้ากับอ่างล้างหน้า มือซึ่งเคยจับลูกบิดประตูไว้ถูกปล่อยออก ประตูห้องน้ำอันเคยเป็นเหมือนที่หลบซ่อนตัวกำลังเปิดอ้ากว้างขึ้น
เด็กหนุ่มได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ... สมองไม่สามารถสั่งการให้คว้าประตูไว้ได้ทัน
“โครม!” ประตูห้องน้ำกระแทกเข้ากับฝาผนังอย่างแรง เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง วินาทีนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองหล่นวูบลงสู่เบื้องล่าง แก้วหูอื้ออึงไปหมด
แสงไฟจากหลอดนีออนในห้องน้ำสาดส่องกระทบลงบนร่างของหญิงสาว เผยให้เห็นใบหน้าอันขาวโพลน เปลือกตาของเธอเบิกกว้าง พร้อมกับที่ริมฝีปากเผยอขึ้นอย่างสั่นเครือ ใบหน้าของหล่อนปริร่อนแล้วแตกออก ประหนึ่งอสุรกายอันน่ากลัวซึ่งคืบคลานขึ้นมาจากห้วงนรกอเวจี
...ไม่ใช่เนื้อหนังของมนุษย์
ร่างกายเปลือยเปล่าของมนต์กำลังออกอาการสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด แต่หาใช่เพราะความหนาวเย็นจากละอองน้ำที่ประพรมอยู่ทั่วร่างกายไม่ มันเกิดจากความหวาดหวั่นพรั่นพรึงซึ่งกำลังเกาะกินจิตใจต่างหาก สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มแทบจะแตกซ่านกระเซ็นไป พร้อมกับหลุดคำอุทานออกจากปากด้วยความตกใจ
เพียงไม่กี่วินาทีของเวลาแห่งการเผชิญหน้ากับความสยดสยอง สำหรับเขามันยาวนานเหมือนเป็นชั่วโมง จนมนต์สามารถมองเห็นได้ถึงใบหน้าขาวโพลนที่แห้งกรังกำลังแตกออก ราวกับผนังปูนร่อนตัว แผงเนื้อบริเวณหน้าอกของเขาหาได้กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะของการหายใจไม่ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับก้อนมวลอากาศจุกแน่นอยู่ที่อก มนต์เองกำลังเจอเข้ากับอาการที่เรียก ‘ลืมหายใจ’
ราวกับถูกสะกด ดวงตาซึ่งเบิกโพลงทั้งคู่ของเด็กหนุ่มทำได้เพียงจับจ้องไปที่ใบหน้าของมัน ริมฝีปากของอมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเผยอกว้างจนแทบจะฉีกออก ชั่วเวลาเดียวกับเสี้ยววินาทีที่ความพรั่นพรึงไม่ได้อวดโฉมแค่เพียงให้ประจักษ์แก่ทัศนประสาทอีกต่อไป
“กรี๊ด..............................!” เสียงกรีดร้องอันโหยหวนเสียดตัวผ่านความเงียบเข้าทะลวงโสตประสาทของเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
วินาทีนั้น ร่างกายเปล่าเปลือยของผู้เฝ้าดูเหตุการณ์กลับพุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อซึ่งทะลักทลายออกจากรูขุมขน ผสานเข้ากับความเย็นของละอองน้ำบนร่างกาย มนต์ขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกเย็นไปทั่วแผ่นหลังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่ใช่แค่เพียงความหนาวเย็นแบบที่รู้สึกอยู่บนผิวหนังกำพร้า แต่มันเสียดแทงเข้าไปทุกมัดเนื้อในร่างกาย จนทำให้อวัยวะทุกส่วนสัดแข็งเกร็ง และหยุดการทำงาน สติสัมปชัญญะแตกซ่านกระเซ็นไป
ร่างของเด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไร้การควบคุม... เป็นได้เพียงแค่เหยื่อซึ่งไร้ทางขัดขืนเท่านั้น
ทันใดนั้น ร่างของหญิงสาวปริศนาที่เคยตั้งตรงอยู่บนเตียง กลับเอนตัวทิ้งดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างแทบจะในทันทีที่เสียงหวีดร้องสิ้นสุดลง ประหนึ่งซากศพซึ่งถูกจับโยนทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ความเงียบแผ่ซ่านเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องราวกับแสงตะวันที่ถูกเมฆาสีนิลบดบัง
เหมือนภวังค์ได้ถูกคลายสะกด สติของมนต์หวนย้อนกลับเข้ามาหาอีกครั้ง ร่างนั้นได้หายไปแล้วทางอีกด้านของเตียง...ที่ซึ่งสายตาของเด็กหนุ่มไม่อาจจะมองเห็นได้จากมุมนี้
นักประพันธ์วัยรุ่นถลันออกจากห้องน้ำแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัว เขาเก้าเท้าทีละนิดเดินย่ำไปบนพื้นกระเบื้องอันเย็นเยือกของห้องอย่างหวาดระแวง
ในขณะเข้าใกล้เตียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดของเด็กหนุ่มยังคงคำนึงถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมไม่ได้ แม้จะมีสติ แต่ไม่ใช่ความกลัวจะถูกขับไล่ออกไปได้หมดสิ้น มนต์ยังคงหายใจไม่เป็นจังหวะ ประสานกันกับหัวใจที่ยังคงเต้นเร่าอย่างรวดเร็วภายใต้เนื้อหนังของร่างกายส่วนบน
คล้ายกับตัวละครซึ่งถูกกำหนดบทบาทให้เล่นไปตามสริปต์ ที่วางไว้ สมองสั่งการให้เขาเยื้องย่างย้ายร่างกายตัวเองเข้าไปให้ถึงที่เกิดเหตุ... ที่ที่หญิงสาวลึกลับหายตัวไป
มนต์ได้แต่ปรารถนาให้ภาพที่เขาจะเห็นคือความว่างเปล่า คาดหวังให้เรื่องทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคิดไปเอง แต่... ชีวิตก็เหมือนกับละครตลก มันมักจะมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
อีกครั้งที่ภาพเบื้องหน้าทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มแทบจะหยุดเต้น ร่างของหญิงสาวเมื่อสักครู่นอนกองอยู่ที่พื้น ผมยาวดำสนิทของเธอแผ่กว้างไปตามพื้นห้อง ใบหน้าถูกปกคลุมอยู่ใต้เรือนผมนั้นเช่นกัน มนต์ได้แต่ข่มความรู้สึกกลัวไว้ให้ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุด
“เอาวะ เอาไงเอากัน” เด็กหนุ่มคิดปลอบขวัญตัวเองอยู่ในใจก่อนจะยื่นมือสั่นเทาไปปัดเอาเส้นผมสีดำเหล่านั้นออกจากใบหน้าของหญิงสาวปริศนา
ดวงหน้าของเธอค่อย ๆ ถูกเผยให้เห็นทีละน้อยตามรอยแหวกของเส้น เขาไม่ได้ตาฝาดไป มันขาวโพลน แห้งกรัง และแตกร่อนออกจริง ๆ
แต่ก็นั่นแหละ เรื่องไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นเสมอ
“พี่ฟ้า!” มนต์อุทานโพล่งออกมา เมื่อได้ประจักษ์แก่สายตาถึงตัวจริงของหญิงสาวปริศนาที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นราวกับตุ๊กตาซึ่งถูกเด็กเล่นอย่างทิ้งขว้าง เด็กหนุ่มปรี่ตัวเข้าไปประคองร่างอรชรอ้อนแอ้นของสาวผู้สูงวัยกว่าไว้ในอ้อมแขนข้างซ้าย ใบหน้าสวยงามปานนางแบบของหญิงสาว ยิ่งมองเธอก็ยิ่งเหมือนเจ้าหญิงผู้กำลังรอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาวมามอบจุมพิตแสนพิเศษ ปลุกให้ตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนาน ถึงแม้ตอนนี้มันจะถูกปกคลุมอยู่ใต้มาส์ค พอกหน้าสีขาวจั๊วก็ตามที
แต่เสียใจด้วย มนต์ไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าชายรูปงามทรงเสน่ห์ในนิทานแม้เพียงน้อย ก็แค่เด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาเท่านั้น
เขาตบหน้าหญิงสาวทีหนึ่งอย่างแผ่วเบา หวังจะกระตุ้นความรู้สึกที่หลบซ่อนอยู่ในภวังค์ของเธอให้ตื่นขึ้น ด้วยอารามของคนที่ยังคงตกใจอยู่ไม่หาย
มันได้ผล เปลือกตาของฟ้าสั่นเล็กน้อยพร้อมกับยกตัวเองขึ้นทีละนิด
เมื่อมนต์เริ่มเห็นดวงตาของหญิงสาวกรอกไปมา เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ จนถึงกับลืมตัวถอนหายใจออกมาเสียงดัง “เฮ้อ ...”
‘ฟ้า’ หญิงสาวที่กำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยน ภายในอ้อมแขนอันอบอุ่นของเด็กหนุ่มค่อย ๆ ปรับโฟกัสสายตาของตัวเอง จากภาพเลือนรางซึ่งอยู่ตรงหน้า แปรเปลี่ยนเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ หล่อนมองเห็นใบหน้า และดวงตาอ่อนโยนฉาบฉายด้วยความห่วงใยของมนต์ ซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างไม่กระพริบ ก่อนจะรวบรวมกำลังประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง ดวงตากรอกซ้ายขวาไปมาเหมือนกับลังทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น... ช่วงเวลาก่อนสติของเธอจะเลือนหายไป
“พี่ฟ้าเป็นอย่างไรบ้างครับ” เสียงของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าดังขึ้น เรียกร้องความสนใจให้หญิงสาวหันไปมองอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนเองก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมาเต็มที่ หญิงสาวมองไปยังใบหน้าของมนต์ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาเรื่อยจนถึง...
“ว้าย! พระเจ้าช่วยกล้วยเปียก!” หล่อนโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความตกใจให้แก่มนต์ได้ไม่น้อย จนเขาถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวหลับตาปี๋ สะบัดหน้าไปอีกทางอย่างรวดเร็ว พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดบังใบหน้าด้วยอารามเขินอาย ทิ้งให้มนต์ไว้เพียงความฉงนงงงวย
“มนต์ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป!”
ทันที่เสียงนั้นส่งผ่านจากโสตประสาทสู่สมอง มนต์ก้มตัวลงมองสรรพาร่างกายของตัวเองทันที “เฮ้ย!” แล้วเด็กหนุ่มก็เข้าใจได้ในบัดดล ‘กล้วยเปียก’จริง ๆ ด้วย
มนต์ปรี่นำพาร่างกายเปล่าเปลือยของตนถลาไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาห่มคลุมอย่างเร่งรีบ จนเสียงวิ่งดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เพียงแค่ทำให้เขาต้องลืมตัว... ลืมหายใจ... แต่มันยังทำให้เขาลืมที่จะใส่เสื้อผ้าอีกด้วย เด็กหนุ่มได้แต่คิดแล้วก็อาย ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวขึ้น
“พี่มาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” มนต์ พูดอย่างเอียงอาย พลางหยิบเสื้อผ้าออกมาใส่ ปิดกั้นศิลปะแห่งสรีระที่ธรรมชาติได้เสกสร้างรังสรรค์ไว้ให้เป็นภาชนะสำหรับบรรจุจิตวิญญาณของมนุษย์
“มี ๆ พี่มาเรื่องหมู่บ้านเงาจันทร์” เด็กหนุ่มหันขวับไปทางหญิงสาวแทบจะในทันทีที่สิ้นสียงของเธอ
...สิ้นเสียงของชื่อ ‘หมู่บ้านเงาจันทร์’
“เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้พี่ฟ้าพูดว่าอะไรนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้น ระคนกับความสงสัยทันทีที่สิ้นเสียงของคู่สนทนา ถ้อยคำซึ่งเขาเปล่งออกมานั้นมันเร็วเสียจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
หญิงสาวเองก็รู้สึกพิศวงไปกับท่าทางของมนต์ด้วยเช่นกัน
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น พี่พูดว่า... พี่จะมาพูดกับมนต์เรื่องหมู่บ้านเงาจันทร์ไง”
มนต์จ้องมองตอบเข้าไปในแววตาของหญิงสาว จนเหมือนกับพยายามจะทะลุทะลวงเข้าไปล้วงกระชากเอาคำตอบออกมาให้ได้
...คำตอบ ของคำถามที่คาใจเขามาตลอดทั้งคืน... แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับจากหญิงสาวมีเพียงท่าที่ที่เงียบงันเท่านั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป