การชะลอตัวของการใช้จ่ายในการบริโภคสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

กระทู้สนทนา
การชะลอตัวของการใช้จ่ายในการบริโภคสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

คอลัมนิสต์ผู้ทรงคุณวุฒิ    - บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสีพิมพ์บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี

   โดยปกติการใช้จ่ายในการบริโภคของภาคครัวเรือนในระบบเศรษฐกิจ เป็นรายจ่ายที่ไม่ค่อยมีการผันแปรขึ้นๆลงๆสูงมากนัก กล่าวคือในภาวะที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง รายจ่ายในการบริโภคก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ปกติไม่มาก และเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวการใช้จ่ายในการบริโภคก็จะชะลอตัวลงไม่มากเช่นกัน ดังนั้น การใช้จ่ายในการบริโภคจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ให้ผันผวนมาก
    ในอดีตที่ผ่านมา มีไม่บ่อยครั้งนักที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้การใช้จ่ายในการบริโภคของครัวเรือนเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ยกเว้นว่าจะเกิดวิกฤติที่ช็อกระบบเศรษฐกิจอย่างมาก เช่น กรณีของสหรัฐฯ เมื่อเผชิญวิกฤติน้ำมันครั้งที่ 1 ในปี 2516-2517 ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้ความมั่งคั่ง (Wealth) ของผู้บริโภคลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัวสูง เศรษฐกิจหดตัว การว่างงานสูงขึ้น  การบริโภคจึงหดตัวอย่างมาก และเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกันอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติ Sub-prime ในปี 2551-2552  เกิดการพังทลายของตลาดหุ้นสหรัฐฯและราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างมาก ประกอบกับครัวเรือนมีภาระหนี้สูงและอัตราการว่างงานที่สูง ปัญหาเศรษฐกิจจึงขยายตัว ส่งผลให้การบริโภคของสหรัฐฯหดตัวอย่างรุนแรง  จากประสบการณ์ในอดีตแสดงว่าการใช้จ่ายในการบริโภคของครัวเรือนจะเผชิญความผันแปรขึ้นลงสูงๆ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติและรุนแรงมากๆ เท่านั้น

    แม้ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์ด้านการใช้จ่ายในการบริโภคของภาคครัวเรือนไทยจะไม่มีปัญหารุนแรงเหมือนดังที่กล่าวข้างต้น  แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้คาดว่าการบริโภคของไทยจะชะลอตัวอีกหลายปีในอนาคต โดยมาจาก 2 ปัจจัยคือ หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นอย่างมาก และรายได้เกษตรกรที่ตกลง
    ภาวะหนี้ภาคครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 56% ของมูลค่าเศรษฐกิจ (GDP) ในต้นปี 2555 เพิ่มเป็น 83% ต่อ GDP เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจาก (1) การปรับเปลี่ยนนโยบายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ (2) การเริ่มมีสถาบันการเงินเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะมาเปิดตัวในประเทศไทย และ (3) นโยบายภาครัฐโดยเฉพาะนโยบายรถคันแรก
    ภายหลังวิกฤติการเงินปี 2540/2541 ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายสินเชื่อ จากที่เคยเน้นแต่สินเชื่อธุรกิจมาเป็นการปล่อยสินเชื่อเพื่อการบริโภคมากขึ้น เนื่องจากระดับการลงทุนรวมของประเทศที่เคยอยู่สูงถึงกว่า 40% ของ GDP เมื่อก่อนเกิดวิกฤติปี 2540/2541 ปรับตัวลดลงเหลือเพียงกว่า 20%ของ GDP เมื่อภายหลังวิกฤติ ทั้งนี้การลงทุนรวมที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากการลดลงของการลงทุนภาคเอกชน ผลที่ตามมาคือธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพื่อการลงทุนแก่ภาคธุรกิจได้ลดลงกว่าเมื่อก่อนวิกฤติ นอกจากนี้สินเชื่อเพื่อการบริโภคยังมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อธุรกิจทำให้มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงกว่าและอัตรากำไรสูงกว่า ธนาคารพาณิชย์จึงโน้มเอียงในการปล่อยสินเชื่อบุคคล หรือสินเชื่อเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยอดสินเชื่อคงค้างของธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนสินเชื่อบุคคลทุกประเภทสูงกว่าสินเชื่อธุรกิจ
    ขณะเดียวกันภายหลังวิกฤติการเงินปี 2540/2541 ได้มีสถาบันการเงินจากต่างประเทศที่มีความชำนาญเฉพาะด้านเข้ามาประกอบการในประเทศไทย โดยสถาบันการเงินประเภทนี้ มุ่งเน้นการให้สินเชื่อบุคคลโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยที่โดยปกติไม่ได้เป็นลูกค้าสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ผลก็คือหนี้ครัวเรือนของประชาชนที่มีรายได้น้อยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุดนโยบายภาครัฐโดยเฉพาะมาตรการลดภาษีรถคันแรก จูงใจให้ครัวเรือนเร่งกู้เงินมาเพื่อซื้อรถยนต์ ทำให้หนี้ครัวเรือนเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
    การเพิ่มขึ้นของมูลหนี้ ทำให้ครัวเรือนมีภาระต้องผ่อนชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงขึ้น ปัจจุบัน ภาระในการชำระหนี้ (รวมดอกเบี้ยและเงินต้น) ของครัวเรือนสูงถึงประมาณ 1 ใน 4 ของรายได้ และสัดส่วนนี้ ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ครัวเรือนต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ประเด็นสำคัญ คือ ภาระหนี้ของครัวเรือนไทยนั้นสูงมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยประมาณว่า ณ ระดับหนี้ภาคครัวเรือนโดยรวมที่ 83% ของ GDP จะเทียบเท่ากับหนี้ต่อรายได้ ที่ประมาณ 135-140% ของรายได้ครัวเรือน (เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลรายได้ครัวเรือนหรือรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง ปี 2556 และ 2557 จึงคำนวณรายได้ครัวเรือนเท่ากับประมาณ 60% ของ GDP)  ซึ่งเป็นระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่าสหรัฐฯที่อยู่ระดับ 132% ของรายได้ เมื่อก่อนวิกฤติ Sub-prime
    นอกจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว รายได้เกษตรกรก็ลดลงด้วยจากการลดลงของราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญคือ ยางพารา มัน ปาล์มน้ำมัน และข้าว แม้ว่าสัดส่วนของภาคเกษตรกรรมจะเป็นเพียงประมาณร้อยละ 10 ของ GDP แต่แรงงานถึงร้อยละ 40 ของแรงงานทั้งหมดอยู่ในภาคเกษตร  จึงทำให้ผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด การที่สินค้าเกษตรกรรม 3 ประเภทแรกราคาตกต่ำโดยเฉพาะยางพารา เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผลมาจากการแตกของเศรษฐกิจฟองสบู่และการลดลงของแรงงานที่เป็นปัญหาโครงสร้าง ที่ต้องใช้เวลากว่าที่เศรษฐกิจจีนจะกลับมาขยายตัวสูงเหมือนเดิม ดังนั้นจึงคาดว่ามีแนวโน้มที่ราคาสินค้าเกษตรทั้ง 3 จะอยู่ในระดับต่ำอีกหลายปี สำหรับข้าวนั้น ราคาที่ตกลงมาจากการยกเลิกมาตรการจำนำข้าวและผลผลิตจำนวนมากในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว จึงคาดว่าราคาจะกระเตื้องขึ้นได้ในไม่นาน  ทว่าโดยรวมแล้ว จากการที่ราคาสินค้าเกษตรหลักๆ 3 รายการจะอยู่ในระดับต่ำอีกหลายปี จึงคาดได้ว่ารายได้เกษตรกรโดยรวมจะยังอยู่ในแนวโน้มลง
    โดยภาพรวมแล้ว  การที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง บวกกับรายได้เกษตรกรจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องหลายปี ทำให้ผมคาดว่าการใช้จ่ายในการบริโภคของภาคครัวเรือนจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำต่อไปอีกหลายปี ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเมื่อความมั่นใจผู้บริโภคฟื้นตัวหลังรัฐประหาร แต่การบริโภคของครัวเรือนไทยไม่ฟื้นตัวตามในขนาดเดียวกัน  ประเด็นที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น คือ เมื่อการชะลอตัวของการใช้จ่ายในการบริโภคเกิดขึ้นพร้อมกับการชะลอตัวของการส่งออกที่เป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ยุโรป และจีนที่เกิดจากปัญหาโครงสร้าง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเช่นกันกว่าที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเหล่านี้จะกลับมาอยู่ในเส้นทางขยายตัวของตนเองเหมือนเดิม  เนื่องจากทั้งการบริโภคและการส่งออกต่างก็เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และทั้งคู่ต่างก็กำลังเผชิญความท้าทายที่เหนี่ยวรั้งการขยายตัว ดังนั้นเราต้องทำใจว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพอีกหลายปี

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,998 วันที่  6 - 8 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2557
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่