สินเชื่อแบงก์ Q3/68 หดต่อเนื่อง 5 ไตรมาส-กำไรลด

ธปท.เผยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ยังหดตัวต่อเนื่องทั้งสินเชื่อ SMEs-อุปโภคบริโภค ขณะที่ NPL ภาพรวมค่อนข้างทรงตัว ผลประกอบการธนาคารลดลงตามการหดตัวสินเชื่อ-การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ด้านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยลดภาระหนี้และชะลอ NPL ลูกหนี้เปราะบางกว่า 9.4 แสนราย

นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2568 โดยระบุว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2568 ยังหดตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อน ร้อยละ -1.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคยังหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการใช้สินเชื่อลดลงและการชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น

นายสมชายกล่าวว่า การชะลอตัวของสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาไม่ลึกเท่าช่วงวิกฤตใหญ่ในอดีต แต่มีความยืดเยื้อและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยหดตัวต่อเนื่อง 5 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่แรงหนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ต่อเนื่องทั้งปีที่ผ่านมาและปีนี้ ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของลูกหนี้บางส่วน แต่ยังไม่ใช่ปัจจัยหลักในการฟื้นคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งยังขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ การส่งผ่านดอกเบี้ยจากธนาคารสู่ลูกหนี้ในรอบนี้ทำได้ดีขึ้น ช่วยหนุนสินเชื่อบ้าน รถยนต์ และสินเชื่อเพื่อการบริโภคบางประเภท

สำหรับ SME ยังคงเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งต้นทุนสินเชื่อที่สูงและขีดความสามารถในการแข่งขัน ภาครัฐและสถาบันการเงินเร่งแก้ไขผ่านมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ การสร้างกองทุนรองรับความเสี่ยง และระบบข้อมูลดิจิทัลเพื่อประเมินความเสี่ยงให้แม่นยำขึ้น ขณะที่กลไกใหม่อย่าง virtual banks จะช่วยขยายการเข้าถึงแหล่งทุนในอนาคต

ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3) โดยรวมทรงตัวจากการที่ New NPL ชะลอลง ส่งผลให้ยอดหนี้คงค้าง NPL ลดลงเหลือ 544,000 ล้านบาท แต่สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.94% ส่วนหนึ่งจากฐานสินเชื่อที่หดตัว ขณะที่สินเชื่อ Stage 2 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7.24% จากการจัดชั้นหนี้ของลูกหนี้รายใหญ่และจากบางส่วนที่ปรับชั้นขึ้นจาก NPL ธนาคารยังเดินหน้าช่วยเหลือลูกหนี้และบริหารคุณภาพหนี้อย่างต่อเนื่อง

นายสมชายกล่าวว่า แม้สัดส่วน NPL เพิ่มขึ้นในบางส่วน แต่การไหลเข้าของ NPL ใหม่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่ NPL ของลูกหนี้รายใหญ่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งจากการลดลงของความต้องการใช้สินเชื่อ ทำให้สัดส่วนเงินกู้คงค้างปรับสูงขึ้นตามเชิงสัดส่วน มากกว่าการเกิดหนี้เสียใหม่

นอกจากนี้ ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ลดลงจากปีก่อนตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากสินเชื่อหดตัวและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ทั้งจากการปรับของธนาคารเองและตามมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยยังต้องจับตาภาวะการเงินที่ตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs และครัวเรือน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ฟื้นตัวช้า

โดยผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยต่อธนาคารพาณิชย์ยังเห็นได้ชัด ทั้งแรงกดดันต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและมาร์จิ้น แม้ต้นทุนระดมทุนลดลง แต่รายได้ปล่อยกู้ก็ลดลงเช่นกัน ทำให้ผลประกอบการถูกกดดัน ตัวชี้วัดสำคัญ เช่น ROA และ ROE ลดลงแตะระดับต่ำในรอบหลายปี จากการหดตัวของสินเชื่อและการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในบางช่วง คาดว่าภาพรวมจะชัดเจนขึ้นช่วงต้นปีหน้าเมื่อเห็นผลการบริหารต้นทุนและรายได้อื่นของธนาคาร

ด้านหนี้ครัวเรือน สัดส่วนต่อ GDP ในไตรมาส 2/68 ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามการชะลอตัวของสินเชื่อครัวเรือน ขณะที่หนี้ธุรกิจต่อ GDP ลดลงจากการก่อหนี้ใหม่ที่ลดลงเป็นสำคัญ ความสามารถทำกำไรของธุรกิจส่วนใหญ่ลดลง โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกดดันจากตลาดที่อยู่อาศัยชะลอ

แม้สินเชื่อชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไตรมาส 3 อ่อนแรง และรายได้ฟื้นตัวช้า อาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนเพิ่มเติม

สำหรับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ปิดรับลงทะเบียนเมื่อ 30 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มีลูกหนี้ลงทะเบียนและมีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือรวม 9.4 แสนราย ครอบคลุมยอดหนี้รวม 620,000 ล้านบาท โดยกลุ่มใหญ่เป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” รวมลูกหนี้สินเชื่อรถ 3.1 แสนราย สินเชื่อบ้าน 2.5 แสนราย และสินเชื่อ SMEs 1.7 แสนราย รองลงมาคือมาตรการ “จ่าย ปิด จบ” จำนวน 1.6 แสนราย และ “จ่าย ตัด ต้น” 5.1 หมื่นราย

ขณะนี้สถาบันการเงินดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 6.2 แสนราย คิดเป็น 66% ของผู้มีคุณสมบัติทั้งหมด ครอบคลุมยอดหนี้ 440,000 ล้านบาท หรือ 71% ของยอดหนี้ทั้งหมด โดย ธปท. ขอให้ลูกหนี้ตอบรับการติดต่อจากสถาบันการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือดำเนินได้ครบถ้วน

มาตรการภายใต้โครงการช่วยลดภาระหนี้อย่างมีนัยสำคัญ ลูกหนี้มีค่างวดลดลง ทำให้มีสภาพคล่องเพื่อใช้จ่ายและหมุนเวียนธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการที่นำค่างวดตัดต้นเงิน ช่วยให้ปิดหนี้เร็วขึ้นกว่าเดิม 1.5-2 เท่า ลูกหนี้จำนวนมากสามารถรักษาทรัพย์สินที่จำเป็น เช่น บ้าน รถ หรือสถานประกอบการไว้ได้ นอกจากนี้ โครงการยังช่วยชะลอการเพิ่มของ NPL ของลูกหนี้เปราะบางและ SMEs โดยพบว่าลูกหนี้กว่า 80% กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ อีกทั้งยังช่วยลดจำนวนรถยึดและอัตราผลขาดทุนจากการขายรถยึดในตลาดรถยนต์มือสอง

นายสมชายกล่าวว่า มาตรการภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่าง “คนละครึ่ง” ช่วยพยุงกำลังซื้อและกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน ส่งผลบวกต่อสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค แต่จำเป็นต้องประเมินความยั่งยืนในระยะต่อไป สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แบบ “ปิดหนี้ไวไปต่อได้” ซึ่งเน้นกลุ่มลูกหนี้ไม่มีหลักประกัน ช่วยให้กลุ่มรายย่อยมีเส้นทางปิดหนี้ที่เป็นรูปธรรม ลดภาระดอกเบี้ยสะสม และช่วยให้กลับเข้าสู่ระบบการเงินได้เร็วขึ้น คาดว่าจะมีผลลด NPL ของกลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลได้อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม มาตรการภาครัฐและภาคการเงิน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย โครงการช่วยเหลือลูกหนี้ หรือระบบค้ำประกันสินเชื่อ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการชะลอความเสี่ยงและสนับสนุนการฟื้นตัวของสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยและ SME อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของระบบสินเชื่อยังขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมเป็นหลัก หากการขยายตัวยังไม่กระจายตัวและไม่ยั่งยืน คุณภาพสินเชื่ออาจฟื้นช้าและต้องพึ่งพามาตรการเพิ่มเติมต่อไป

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1922714


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่