เป็นเรื่องจริงเลยครับที่ว่าแกงฮังเลไม่ง้อมะขามเปียก เท่าที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยทำหรือรู้วิธีการทำ
จะรู้ดีว่าแกงฮังเลจะปรุงเปรี้ยวด้วยน้ำมะขามเปียกเป็นส่วนใหญ่
เทศกาลออกพรรษาถือว่าเป็นเทศกาลงานบุญ ชาวพุทธจะทำอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัด
ถ้าเป็นทางเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งถิ่นของสล่าปู่ จะนิยมทำแกงฮังเลมาเป็นอันดับหนึ่ง เรียกว่า
แทบทุกบ้านเลยก็ว่าได้
สล่าปู่ทำแกงล่วงหน้า 1 วัน ด้วยเหตุอยากได้หมูสวย ๆ ถ้าไปซื้อเอาวันที่ใคร ๆ ก็ทำ หมูคงคละ ๆ
กัน ไม่ได้ดังใจแน่นอน
ครั้งนี้ทำแค่พอไปทำบุญที่วัดเท่านั้น คือแกงแค่ 1 ก.ก. ได้หมูสามชั้นล้วน ๆ ถือว่าสวยใช้ได้
หมูที่เอาแกงฮังเลได้อร่อยมาก ๆ คือสามชั้นส่วนท้อง บางทีก็เรียกกันว่า สามชั้นบาง มันจะน้อย
และถ้าแกงสุกได้ที่หนังจะนุ่มมาก กินกันลืมอ้วนทีเดียว
หั่นเป็นชิ้นใหญ่พอสมควร
น้ำพริก สล่าใช้แค่ กระเทียม หอมแดง (เยอะหน่อย) พริกแห้งเม็ดใหญ่ กะปิ โดยจะโขลกละเอียดมาก ๆ
ไม่ให้มีกาก ซึ่งจะมีผลต่อน้ำแกงตอนสุกแล้วจะเนียนสวย
เครื่องแกงวันนี้ใช้ของทางลำปาง มีคนซื้อมาฝาก อยากลองเหมือนกัน (ใครเคยใช้ตรานี้แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ)
คนคลุก หมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง
หมูแค่ 1 ก.ก. ใช้กระทะใบเล็ก ๆ ก็เอาอยู่ เอาหมูที่หมักแล้วมารวน ผัดด้วยไฟอ่อน อย่างช้าไม่ต้องรีบเร่ง จนหมูหดตัว
แล้วค่อยเติมน้ำ แกงหม้อเล็ก ๆ แค่นี้สล่าใช้ไฟอ่อนโดยใช้เวลาแกงร่วม 3 ชั่วโมง
ระหว่างนั้นก็เตรียม
แล้วก็มาไขปริศนาที่ว่าแกงฮังเลไม่ง้อมะขามเปียก แล้วทำอย่างไรเหรอ นี่ไงครับ
มันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน สมัยเด็ก ๆ เคยเห็นบ่อย ๆ ที่เขาใช้กระท้อนสด ๆ มาซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ใส่ในแกงฮังเล เพื่อปรุงรสให้เปรี้ยว หน้ากระท้อนที่ผ่านมาสล่าเอามั่ง แต่ไม่ได้ทำแกงตอนนั้น
เพียงแต่เอากระท้อนสด ๆ มาซอยตากแห้งเก็บไว้ มีโอกาสนำมาใช้วันนี้แหละครับ (อยากลอง)
ตอนแรกคิดว่าถ้าเปรี้ยวไม่พอ คงต้องเสริมด้วยน้ำมะขามเปียก กระท้อนคงแค่สร้างสีสัน พอแกงไป
นาน ๆ รสเปรี้ยวของกระท้อนออก มันให้รสชาติที่พอดีแบบว่าไม่ต้องง้อน้ำมะขามเปียก ตามที่ว่าไว้ที่
หัวกระทู้เป๊ะเลย
เปรี้ยวใช้ได้แล้ว เพียงแต่ปรุงหวานจากน้ำอ้อยกับน้ำตาลทราย ใส่หอมกระทียมแกะเปลือกและขิงซอยลงไป
แกงหม้อนี้ มีเปรียวนำ ตามด้วยหวานเค็ม กลมกล่อมกำลังเหมาะ
ส่วนเรื่องกลิ่น เป็นเครื่องแกงที่ลองทำเป็นครั้งแรก ถือว่าหอมใช้ได้ครับ ส่วนที่จะไปทำบุญรีบตักใส่หม้อ
เก็บไว้ก่อนเลย
เหลืออีกจานย่อม ๆ ส่วนนี้ก็คงให้เป็นรางวัลตัวเองละครับ
สวัสดีครับ
"แกงฮังเล" ออกพรรษาแบบว่าไม่ง้อมะขามเปียก
จะรู้ดีว่าแกงฮังเลจะปรุงเปรี้ยวด้วยน้ำมะขามเปียกเป็นส่วนใหญ่
เทศกาลออกพรรษาถือว่าเป็นเทศกาลงานบุญ ชาวพุทธจะทำอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัด
ถ้าเป็นทางเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งถิ่นของสล่าปู่ จะนิยมทำแกงฮังเลมาเป็นอันดับหนึ่ง เรียกว่า
แทบทุกบ้านเลยก็ว่าได้
สล่าปู่ทำแกงล่วงหน้า 1 วัน ด้วยเหตุอยากได้หมูสวย ๆ ถ้าไปซื้อเอาวันที่ใคร ๆ ก็ทำ หมูคงคละ ๆ
กัน ไม่ได้ดังใจแน่นอน
ครั้งนี้ทำแค่พอไปทำบุญที่วัดเท่านั้น คือแกงแค่ 1 ก.ก. ได้หมูสามชั้นล้วน ๆ ถือว่าสวยใช้ได้
หมูที่เอาแกงฮังเลได้อร่อยมาก ๆ คือสามชั้นส่วนท้อง บางทีก็เรียกกันว่า สามชั้นบาง มันจะน้อย
และถ้าแกงสุกได้ที่หนังจะนุ่มมาก กินกันลืมอ้วนทีเดียว
หั่นเป็นชิ้นใหญ่พอสมควร
น้ำพริก สล่าใช้แค่ กระเทียม หอมแดง (เยอะหน่อย) พริกแห้งเม็ดใหญ่ กะปิ โดยจะโขลกละเอียดมาก ๆ
ไม่ให้มีกาก ซึ่งจะมีผลต่อน้ำแกงตอนสุกแล้วจะเนียนสวย
เครื่องแกงวันนี้ใช้ของทางลำปาง มีคนซื้อมาฝาก อยากลองเหมือนกัน (ใครเคยใช้ตรานี้แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ)
คนคลุก หมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง
หมูแค่ 1 ก.ก. ใช้กระทะใบเล็ก ๆ ก็เอาอยู่ เอาหมูที่หมักแล้วมารวน ผัดด้วยไฟอ่อน อย่างช้าไม่ต้องรีบเร่ง จนหมูหดตัว
แล้วค่อยเติมน้ำ แกงหม้อเล็ก ๆ แค่นี้สล่าใช้ไฟอ่อนโดยใช้เวลาแกงร่วม 3 ชั่วโมง
ระหว่างนั้นก็เตรียม
แล้วก็มาไขปริศนาที่ว่าแกงฮังเลไม่ง้อมะขามเปียก แล้วทำอย่างไรเหรอ นี่ไงครับ
มันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน สมัยเด็ก ๆ เคยเห็นบ่อย ๆ ที่เขาใช้กระท้อนสด ๆ มาซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ใส่ในแกงฮังเล เพื่อปรุงรสให้เปรี้ยว หน้ากระท้อนที่ผ่านมาสล่าเอามั่ง แต่ไม่ได้ทำแกงตอนนั้น
เพียงแต่เอากระท้อนสด ๆ มาซอยตากแห้งเก็บไว้ มีโอกาสนำมาใช้วันนี้แหละครับ (อยากลอง)
ตอนแรกคิดว่าถ้าเปรี้ยวไม่พอ คงต้องเสริมด้วยน้ำมะขามเปียก กระท้อนคงแค่สร้างสีสัน พอแกงไป
นาน ๆ รสเปรี้ยวของกระท้อนออก มันให้รสชาติที่พอดีแบบว่าไม่ต้องง้อน้ำมะขามเปียก ตามที่ว่าไว้ที่
หัวกระทู้เป๊ะเลย
เปรี้ยวใช้ได้แล้ว เพียงแต่ปรุงหวานจากน้ำอ้อยกับน้ำตาลทราย ใส่หอมกระทียมแกะเปลือกและขิงซอยลงไป
แกงหม้อนี้ มีเปรียวนำ ตามด้วยหวานเค็ม กลมกล่อมกำลังเหมาะ
ส่วนเรื่องกลิ่น เป็นเครื่องแกงที่ลองทำเป็นครั้งแรก ถือว่าหอมใช้ได้ครับ ส่วนที่จะไปทำบุญรีบตักใส่หม้อ
เก็บไว้ก่อนเลย
เหลืออีกจานย่อม ๆ ส่วนนี้ก็คงให้เป็นรางวัลตัวเองละครับ
สวัสดีครับ