ความเห็น (ความเห็นก็คือ ความเชื่อ ความเข้าใจ) ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นความเห็นผิดมี ๒ ประการ คือ (๑) ความเห็นว่า มีตัวตนอมตะ (อัตตา) และ (๒) ความเห็นว่า ไม่มีตัวตนใดๆเลย (นิรัตตา)
ความเห็นว่ามีตัวตนอมตะนั้นก็คือ ความเชื่อว่าจิตใจ (หรือวิญญาณ) ของเรานี้เป็นตัวตนที่แท้จริงหรือเป็นอมตะ ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ เพื่อไปเกิดใหม่และรับผลกรรมที่ได้ทำไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ อันทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดที่ต้องไปรับผลเอาเมื่อตายไปแล้ว เป็นต้น ตามความความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งความเห็นนี้ก็มีผลดีตรงที่ทำให้คนที่เชื่อไม่ทำความชั่วเพราะกลัวตกนรก และอยากทำความดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์ อันส่งผลทำให้สังคมสงบสุขได้ แต่มีผลเสียตรงที่ความเชื่อนี้ไม่ใช่ปัญญาสำหรับนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า
ส่วนความเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆเลยนั้น เป็นความเชื่อของบางลัทธิในสมัยพุทธกาล ที่เชื่อว่า “ชีวิตของมนุษย์และสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้ ไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย เพราะมันเป็นเพียงธาตุมาประกอบกันขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้จึงไม่มีผลใดๆเลย คือทำดีก็ไม่มีผลดี ทำชั่วก็ไม่มีผลชั่ว อันทำให้เกิดความเห็นว่า พ่อ-แม่ไม่มี ผู้มีพระคุณไม่มี เป็นต้น รวมทั้งเชื่อว่าชีวิตของเรานี้จะดับสูญไปเมื่อร่างกายตาย ดังนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ควรแสวงหาความสุขให้เต็มอิ่ม เพราะเมื่อตายไปแล้วก็จะไม่ได้เกิดมาเสพความสุขได้อีกแล้ว” ซึ่งความเห็นนี้มีผลเสียตรงที่คนที่เชื่อจะไม่ชอบทำความดี เพราะเชื่อว่าไม่มีผลดี และไม่กลัวการทำความชั่วเพราะเชื่อว่าไม่ต้องรับโทษ จึงส่งผลทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวาย
ความเห็นทั้งสองนี้พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นความเห็นผิด คือเป็นความเห็นที่สุดโต่งไปในทาง มี กับ ไม่มี ซึ่งเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และเมื่อเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง จึงไม่ใช่ปัญญาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้
ส่วนความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่เป็นปัญญาสำหรับนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นก็คือ ความเห็นที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเห็นผิดทั้งสอง คือเป็นความเห็นว่า ชีวิตของเรา (คือร่างกายกับจิตใจ) นี้มันก็มีตัวตนอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนใดๆเลยเหมือนพวกนิรัตตา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตัวตนอมตะเหมือนพวกอัตตา คือชีวิตของเรานี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเป็นตัวตนเพียงชั่วคราวเท่านั้น จึงเรียกว่าเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา) ซึ่งตัวตนชั่วคราวนี้เมื่อทำกรรมใดลงไปแล้วจะต้องได้รับผลเสมอ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องผลใดๆเลยอย่างพวกนิรัตตา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปรับเอาต่อเมื่อตายไปแล้วอย่างพวกอัตตา โดยผลที่ได้รับก็คือความรู้สึกของจิตใจ ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทำกรรมใดลงไป (คือทำดีก็สุขใจ ทำชั่วก็ทุกข์ใจ)
ส่วนเรื่องภายหลังจากการตายแล้วนั้น พุทธศาสนาจะไม่สอนว่ามีตัวตนไปเกิดหรือดับสูญ เพราะเมื่อจิตหรือวิญญาณของเรานี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีตัวตนมาเกิด หรือไปเกิด หรือดับสูญ คือเรียกว่า “มันสูญมาตั้งแต่ยังไม่ตาย” นั่นเอง จึงทำให้ไม่จัดว่าเป็นพวกตายแล้วเกิดอย่างพวกอัตตา หรือตายแล้วสูญอย่างพวกนิรัตตา
ระวังความเห็นผิด ๒ อย่าง
ความเห็นว่ามีตัวตนอมตะนั้นก็คือ ความเชื่อว่าจิตใจ (หรือวิญญาณ) ของเรานี้เป็นตัวตนที่แท้จริงหรือเป็นอมตะ ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ เพื่อไปเกิดใหม่และรับผลกรรมที่ได้ทำไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ อันทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดที่ต้องไปรับผลเอาเมื่อตายไปแล้ว เป็นต้น ตามความความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งความเห็นนี้ก็มีผลดีตรงที่ทำให้คนที่เชื่อไม่ทำความชั่วเพราะกลัวตกนรก และอยากทำความดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์ อันส่งผลทำให้สังคมสงบสุขได้ แต่มีผลเสียตรงที่ความเชื่อนี้ไม่ใช่ปัญญาสำหรับนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า
ส่วนความเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆเลยนั้น เป็นความเชื่อของบางลัทธิในสมัยพุทธกาล ที่เชื่อว่า “ชีวิตของมนุษย์และสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้ ไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย เพราะมันเป็นเพียงธาตุมาประกอบกันขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้จึงไม่มีผลใดๆเลย คือทำดีก็ไม่มีผลดี ทำชั่วก็ไม่มีผลชั่ว อันทำให้เกิดความเห็นว่า พ่อ-แม่ไม่มี ผู้มีพระคุณไม่มี เป็นต้น รวมทั้งเชื่อว่าชีวิตของเรานี้จะดับสูญไปเมื่อร่างกายตาย ดังนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ควรแสวงหาความสุขให้เต็มอิ่ม เพราะเมื่อตายไปแล้วก็จะไม่ได้เกิดมาเสพความสุขได้อีกแล้ว” ซึ่งความเห็นนี้มีผลเสียตรงที่คนที่เชื่อจะไม่ชอบทำความดี เพราะเชื่อว่าไม่มีผลดี และไม่กลัวการทำความชั่วเพราะเชื่อว่าไม่ต้องรับโทษ จึงส่งผลทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวาย
ความเห็นทั้งสองนี้พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นความเห็นผิด คือเป็นความเห็นที่สุดโต่งไปในทาง มี กับ ไม่มี ซึ่งเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และเมื่อเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง จึงไม่ใช่ปัญญาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้
ส่วนความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่เป็นปัญญาสำหรับนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นก็คือ ความเห็นที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเห็นผิดทั้งสอง คือเป็นความเห็นว่า ชีวิตของเรา (คือร่างกายกับจิตใจ) นี้มันก็มีตัวตนอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนใดๆเลยเหมือนพวกนิรัตตา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตัวตนอมตะเหมือนพวกอัตตา คือชีวิตของเรานี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเป็นตัวตนเพียงชั่วคราวเท่านั้น จึงเรียกว่าเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา) ซึ่งตัวตนชั่วคราวนี้เมื่อทำกรรมใดลงไปแล้วจะต้องได้รับผลเสมอ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องผลใดๆเลยอย่างพวกนิรัตตา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปรับเอาต่อเมื่อตายไปแล้วอย่างพวกอัตตา โดยผลที่ได้รับก็คือความรู้สึกของจิตใจ ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทำกรรมใดลงไป (คือทำดีก็สุขใจ ทำชั่วก็ทุกข์ใจ)
ส่วนเรื่องภายหลังจากการตายแล้วนั้น พุทธศาสนาจะไม่สอนว่ามีตัวตนไปเกิดหรือดับสูญ เพราะเมื่อจิตหรือวิญญาณของเรานี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีตัวตนมาเกิด หรือไปเกิด หรือดับสูญ คือเรียกว่า “มันสูญมาตั้งแต่ยังไม่ตาย” นั่นเอง จึงทำให้ไม่จัดว่าเป็นพวกตายแล้วเกิดอย่างพวกอัตตา หรือตายแล้วสูญอย่างพวกนิรัตตา