ถ้าเห็นว่ามีตัวตนถาวร ก็เป็นพวกสัสสตทิฎฐิ ถ้าเห็นว่าไม่มีตัวตนเลย ก็เป็นพวกอุจเฉททิฎฐิ

ความเห็นที่ผิด ๒ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นก็สรุปง่ายๆว่า

ถ้าเห็นว่ามีตัวตนถาวร (อมตะ) อยู่ในชีวิต (ขันธ์ ๕) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้วเพื่อไปเกิดใหม่เพื่อรับผลจากการกระทำในชาตินี้ได้ หรือมีตัวตนเกิดมาใหม่แล้วยังเป็นตัวตนเดิมได้เรื่อยไป ก็จัดเป็นความเห็นผิดพวกสัสสตทิฎฐิ คือความเห็นว่ามีการสื่บต่อ (เรียกอีกอย่างว่าอัตตา)

ส่วนความเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆเลยในชีวิต(ขันธ์ ๕) ดังนั้นการกระทำของชีวิตจึงไม่มีผลใดๆ ก็จัดเป็นพวกอุจเฉททิฎฐิ คือความเห็นว่าขาดสูญ(เรียกอีกอย่างว่านิรัตตา)

ความเห็นทั้งสองนี้จัดเป็นความเห็นผิดทั้งสิ้น แต่ความเห็นว่า ในชีวิตของเรานี้(หรือในขันธ์ ๕) นี้ มันก็มีการปรุงแต่งให้เกิดตัวตนขึ้นมาอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่เป็นตัวตนชั่วคราวหรือมีตัวตนเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น (เรียกอีกอย่างว่า อนัตตา) ซึ่งตัวตนนี้ก็สามารถทำกรรมและรับผลของกรรมได้เหมือนตัวตนถาวร แต่เป็นการทำกรรมและรับผลกรรมในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่ข้ามภพข้ามชาติอย่างพวกสัสสตทิฎฐิ

ดังนั้นความเห็นนี้จึงไม่จัดว่าเป็นพวกอุจเฉททิฎฐิเพราะยังมีตัวตนอยู่ และตัวตนนี้ก็ยังทำกรรมและรับผลกรรมได้  รวมทั้งก็ไม่ใช่สัสสตทิฎฐิ เพราะไม่ใช่ตัวตนถาวหรือเป็นอมตะ ชนิดข้ามภพข้ามชาติอย่างพราหมณ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่