ศาสนาพราหมณ์จะสอนเรื่องว่า จิต (หรือวิญญาณ) ที่เป็นตัวเรานี้เป็นอัตตา (อัตตาน้อย) คือตัวตนอมตะ ที่ไม่มีวันดับหายไป คือจะมีอยู่ตลอดเวลาแม้ร่างกายจะตาย แต่จิตนี้ก็จะสามารถล่องลอยออกจากร่างกายไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้เรื่อยไป จนกว่าจิตนี้จะบริสุทธิ์จากกิเลส จิตนี้ก็จะไปรวมกับอัตตาใหญ่ (ปรมอัตตา) อยู่ชั่วนิรันดร ซึ่งนี่เป็นความเชื่อที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เรื่องเทวดา นางฟ้า เป็นต้นขึ้นมา และความเชื่อนี้ก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
ชาวพุทธบางคนที่ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนามาก่อนเลย (เช่นชาวบ้านทั่วไป) ก็จะยังมีความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณของเรานี้จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ ซึ่งมันก็จะตรงกับความเชื่อเรื่องจิตหรือวิญญาณเป็นอัตตาของพราหมณ์นั่นเอง (เช่น ยังเชื่อว่า ผี หรือ เทวดา มีจริง)
ส่วนชาวพุทธที่ศึกษาคำสอนของพุทธศาสนามาแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำสอนเรื่องอนัตตาของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง เพราะไปศึกษาคำสอนที่ปลอมปนจากพราหมณ์ ก็จะเอาคำสอนเรื่องอัตตาของพราหมณ์มาประยุกติใหม่ จึงทำให้เข้าใจผิดไปว่า เมื่อร่างกายตาย แต่ถ้าจิต (ที่เป็นตัวเรา) นี้ยังมีอวิชชา (หรือกิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือวิบากกรรม) อยู่ แม้จิตจะดับไปพร้อมกับร่างกาย แต่อวิชชานี้จะไม่ดับไปตามร่างกายกับจิต คือมันจะออกไปสร้างจิตที่เป็นตัวเราขึ้นมาได้ใหม่ในร่างกายใหม่ได้เรื่อยไป จนกว่าจิตนี้จะบริสุทธิ์จากอวิชชา จิตนี้จึงจะดับไปพร้อมกับร่างกาย (คือไม่เกิดอีก)
ซึ่งนี่ก็คือการเอาอวิชชามาเป็นตัวเราแทนอัตตานั่นเอง คือถึงแม้จะบอกว่า มันไม่มีตัวเรา แต่กลับมีอวิชชามาสร้างตัวเราขึ้นมาได้เรื่อยไปแทน (เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงกับอัตตาของพราหมณ์) ซึ่งมันก็เป็นความเชื่อที่ไม่ต่างอะไรกับอัตตาของพราหมณ์เลย เพราะมันก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาสืบต่อไว้ได้ใหม่เรื่อยไปเหมือนอัตตาของพรหามณ์นั่นเอง
ส่วนคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าจะสอนว่า จิตหรือวิญญาณของเรานี้เป็น อนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนอย่างที่พราหมณ์สอน คือมันเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งที่ธรรมชาตินำเอาธาตุตามธรรมชาติมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นตัวเรานี้ขึ้นมา เมื่อเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่งนั้นดับหายไป จิตหรือวิญญาณนี้ก็ย่อมที่จะดับหายตามไปด้วยทันที ซึ่งตัวเราตามสมมตินี้เมื่อทำความดีก็จะได้รับผลเป็นความสุขใจ อิ่มใจทันที เมื่อทำความชั่วก็จะได้รับผลเป็นความร้อนใจ ไม่สบายใจทันที ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลใดๆเลยอย่างที่บางลัทธิในสมัยพุทธกาลสอน และก็ไม่ใช่ว่าจะไปรับเอาต่อเมื่อตายไปแล้วอย่างที่พราหมณ์สอน
ชาวพุทธไม่ที่เข้าใจคำสอนเรื่องอนัตตาของพระพุทธเจ้า ก็จะเอาอวิชชามาเป็นอัตตา
ชาวพุทธบางคนที่ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนามาก่อนเลย (เช่นชาวบ้านทั่วไป) ก็จะยังมีความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณของเรานี้จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ ซึ่งมันก็จะตรงกับความเชื่อเรื่องจิตหรือวิญญาณเป็นอัตตาของพราหมณ์นั่นเอง (เช่น ยังเชื่อว่า ผี หรือ เทวดา มีจริง)
ส่วนชาวพุทธที่ศึกษาคำสอนของพุทธศาสนามาแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำสอนเรื่องอนัตตาของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง เพราะไปศึกษาคำสอนที่ปลอมปนจากพราหมณ์ ก็จะเอาคำสอนเรื่องอัตตาของพราหมณ์มาประยุกติใหม่ จึงทำให้เข้าใจผิดไปว่า เมื่อร่างกายตาย แต่ถ้าจิต (ที่เป็นตัวเรา) นี้ยังมีอวิชชา (หรือกิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือวิบากกรรม) อยู่ แม้จิตจะดับไปพร้อมกับร่างกาย แต่อวิชชานี้จะไม่ดับไปตามร่างกายกับจิต คือมันจะออกไปสร้างจิตที่เป็นตัวเราขึ้นมาได้ใหม่ในร่างกายใหม่ได้เรื่อยไป จนกว่าจิตนี้จะบริสุทธิ์จากอวิชชา จิตนี้จึงจะดับไปพร้อมกับร่างกาย (คือไม่เกิดอีก)
ซึ่งนี่ก็คือการเอาอวิชชามาเป็นตัวเราแทนอัตตานั่นเอง คือถึงแม้จะบอกว่า มันไม่มีตัวเรา แต่กลับมีอวิชชามาสร้างตัวเราขึ้นมาได้เรื่อยไปแทน (เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงกับอัตตาของพราหมณ์) ซึ่งมันก็เป็นความเชื่อที่ไม่ต่างอะไรกับอัตตาของพราหมณ์เลย เพราะมันก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาสืบต่อไว้ได้ใหม่เรื่อยไปเหมือนอัตตาของพรหามณ์นั่นเอง
ส่วนคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าจะสอนว่า จิตหรือวิญญาณของเรานี้เป็น อนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนอย่างที่พราหมณ์สอน คือมันเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งที่ธรรมชาตินำเอาธาตุตามธรรมชาติมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นตัวเรานี้ขึ้นมา เมื่อเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่งนั้นดับหายไป จิตหรือวิญญาณนี้ก็ย่อมที่จะดับหายตามไปด้วยทันที ซึ่งตัวเราตามสมมตินี้เมื่อทำความดีก็จะได้รับผลเป็นความสุขใจ อิ่มใจทันที เมื่อทำความชั่วก็จะได้รับผลเป็นความร้อนใจ ไม่สบายใจทันที ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลใดๆเลยอย่างที่บางลัทธิในสมัยพุทธกาลสอน และก็ไม่ใช่ว่าจะไปรับเอาต่อเมื่อตายไปแล้วอย่างที่พราหมณ์สอน