คำว่า อัตตา หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวตนของตนเอง ที่มีความเที่ยงแท้ถาวรหรือเป็นอมตะ ที่สามารถสืบต่อตัวของมันเองเอาไว้ไม่ให้ดับสลายหายไปได้ อย่างที่เชื่อกันว่าจิตหรือวิญญาณของคนเรานี้เป็นอัตตา ที่จะไม่สูญหายไป เมื่อร่างกายตายก็จะยังมีจิตหรือวิญญาณที่เกิดมาได้ใหม่เหมือนเดิมเพื่อมารับผลกรรมที่ได้เคยทำไว้ก่อนตาย ซึ่งนี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า สัสสตทิฎฐิ ที่จัดเป็นความเห็นผิดอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา
แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจความหมายที่ถูกต้องของคำว่าสัสสตทิฎฐิและเชื่อ(ผิดๆ)ว่ามีอัตตากลับให้ความหมายคำว่าสัสสตทิฎฐิไปในลักษณะที่ว่า เป็นการตายแล้วจะเกิดมาได้เหมือนเดิม เช่น เมื่อเป็นคนตายไปแล้วก็จะกลับมาเกิดเป็นคนเหมือนเดิมอีกตลอดไป เป็นต้น
สัสสตทิฎฐิจะตรงข้ามกับอุจเฉททิฎฐิที่หมายถึง ความเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆเลย(ที่เรียกว่านิรัตตา) หรือเห็นว่าคนเรานั้นเมื่อทำกรรมใดแล้วก็ไม่ต้องรับผลเลย ซึ่งก็จัดว่าเป็นความเห็นผิดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนาอีกเหมือนกัน
ส่วนพุทธศาสนาที่แท้จริงจะสอนว่า มันไม่มีสิ่งที่เป็นอัตตา ส่วนสิ่งที่มีอยู่(คือจิตหรือวิญญาณของเราทุกคน)นี้จะเป็นเพียง"สิ่งปรุงแต่ง"หรือ"สังขาร"เท่านั้น ดังนั้นจึงเรียกอย่างสมมติได้ว่าเป็นตัวตนมายาหรือตัวตนชั่วคราวก็ได้ ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องการตายแล้วก็กล่าวได้ว่า มันไม่มีใครมาเกิดและไม่มีใครตาย ดังนั้นความเห็นนี้จึงไม่จัดว่าเป็นสัสสตทิฎฐิเพราะไม่มีตัวตนเกิดมาได้ใหม่และไม่เป็นอุจเฉททิฎฐิเพราะตัวตนมายานี้เมื่อทำกรรมใดแล้วก็ต้องรับผลเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังกระทำนั่นเอง ไม่ใช่ไม่ต้องรับผลใดๆเลย
สรุปถ้าเห็นว่ามีตัวตน(ที่เรียกว่าอัตตา)และตัวตนนั้นยังจะเกิดมาได้ใหม่อีกเพื่อรับผลกรรม หรือเห็นว่าตัวตนนั้นจะสูญหายไป(ที่เรียกว่านิรัตตา)เมื่อร่างกายตายแล้ว ก็จัดว่าเป็นความเห็นผิดทั้งสิ้น จะต้องเห็นว่าไม่มีใครมาเกิดและไม่มีใครตาย(ที่เรียกว่าอนัตตา) และเห็นว่าคนเราขณะที่มีชีวิตอยู่นี้เมื่อทำกรรมใดแล้วก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น(เป็นความรู้สึกสุขหรือทุกข์ไปตามกรรมที่ทำไว้)ในทันที จึงจะเป็นความเห็นที่ถูกต้องหรือสัมมาทิฎฐิที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าที่จะนำมาใช้เป็นปัญญานำในการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคเพื่อดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบัน
สัสสตทิฎฐิ หมายถึง ความเห็นว่ามีสิ่งที่เป็นอัตตา
แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจความหมายที่ถูกต้องของคำว่าสัสสตทิฎฐิและเชื่อ(ผิดๆ)ว่ามีอัตตากลับให้ความหมายคำว่าสัสสตทิฎฐิไปในลักษณะที่ว่า เป็นการตายแล้วจะเกิดมาได้เหมือนเดิม เช่น เมื่อเป็นคนตายไปแล้วก็จะกลับมาเกิดเป็นคนเหมือนเดิมอีกตลอดไป เป็นต้น
สัสสตทิฎฐิจะตรงข้ามกับอุจเฉททิฎฐิที่หมายถึง ความเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆเลย(ที่เรียกว่านิรัตตา) หรือเห็นว่าคนเรานั้นเมื่อทำกรรมใดแล้วก็ไม่ต้องรับผลเลย ซึ่งก็จัดว่าเป็นความเห็นผิดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนาอีกเหมือนกัน
ส่วนพุทธศาสนาที่แท้จริงจะสอนว่า มันไม่มีสิ่งที่เป็นอัตตา ส่วนสิ่งที่มีอยู่(คือจิตหรือวิญญาณของเราทุกคน)นี้จะเป็นเพียง"สิ่งปรุงแต่ง"หรือ"สังขาร"เท่านั้น ดังนั้นจึงเรียกอย่างสมมติได้ว่าเป็นตัวตนมายาหรือตัวตนชั่วคราวก็ได้ ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องการตายแล้วก็กล่าวได้ว่า มันไม่มีใครมาเกิดและไม่มีใครตาย ดังนั้นความเห็นนี้จึงไม่จัดว่าเป็นสัสสตทิฎฐิเพราะไม่มีตัวตนเกิดมาได้ใหม่และไม่เป็นอุจเฉททิฎฐิเพราะตัวตนมายานี้เมื่อทำกรรมใดแล้วก็ต้องรับผลเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังกระทำนั่นเอง ไม่ใช่ไม่ต้องรับผลใดๆเลย
สรุปถ้าเห็นว่ามีตัวตน(ที่เรียกว่าอัตตา)และตัวตนนั้นยังจะเกิดมาได้ใหม่อีกเพื่อรับผลกรรม หรือเห็นว่าตัวตนนั้นจะสูญหายไป(ที่เรียกว่านิรัตตา)เมื่อร่างกายตายแล้ว ก็จัดว่าเป็นความเห็นผิดทั้งสิ้น จะต้องเห็นว่าไม่มีใครมาเกิดและไม่มีใครตาย(ที่เรียกว่าอนัตตา) และเห็นว่าคนเราขณะที่มีชีวิตอยู่นี้เมื่อทำกรรมใดแล้วก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น(เป็นความรู้สึกสุขหรือทุกข์ไปตามกรรมที่ทำไว้)ในทันที จึงจะเป็นความเห็นที่ถูกต้องหรือสัมมาทิฎฐิที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าที่จะนำมาใช้เป็นปัญญานำในการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคเพื่อดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบัน