สรุปแว่ .. รถไฟรางคู่ คนไทยต้องการแบบใหน

1  ขนาดรางเท่าเดิม  คือ 1.2 เมตร  ซึ่งไม่ต้องปรับปรุงอะไรมาก ขนาดตัวรถและห้องโดยสารก็แคบเท่าเดิม  ความเร็ว 120  km/h เท่าเดิม
     รวมไปทั้งสามารถเชื่อมโยงกับ  มาเลเซีย กัมพูชาได้  ข้อเสีย ไม่สามารถเชื่อมโยงกับจีนได้ ไม่สามารถปรับเป็นรถไฟความเร็วสูงได้
     เพราะรัศมีวงเลี้ยวในเส้นทางเดิมมันแคบ หากพนักงานขับอยากแว๊นซ์ขึ้นมา แหกโค้งแน่นอนครับ

2  เปลี่ยนเป็นรางขนาด 1.435 เมตร  ซึ่งต้องเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด ขนาดตู้โดยสารกว้างขึ้นใหญ่ขึ้น สามารถออกแบบเป็นตู้นอนสองชั้นได้
    Top speed ได้ถึง 180 - 220  km/h อนาคตสามารถปรับให้เป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงปานกลางได้ ( 200 km/h นี่ก็เร็วขี้แตกแล้ว )
     ระบบนี้ สามารถเชื่อมโยงกับจีนได้ ( ได้ข่าวว่า จีนก็ลงทุนสร้างรางในลาว และเป็น 1.435 เมตร )
     การสร้างระบบนี้ ต้องเวณคืนที่ดินเพิ่มเติม เพราะต้องใช้พื้นที่สำหรับรัศมีวงเลี้ยวกว้างขึ้นให้สัมพันธ์กับความเร็วที่สูงขึ้น  ตู้ขบวนรถทุกตู้ต้อง
     ซื้อใหม่ป้ายแดงทั้งหมด สะอาด ใหม่ เอี่ยมอ่อง ไม่ต้องกลัวบาดทะยักจากสนิมตำเหมือนตู้ขบวนเก่า

3  เป็นราง ดูโอ ( DUO ) คือ วางรางสามเส้น ใช้ได้ทั้งรถไฟระบบเก่า ( 1.2 เมตร ) และ ระบบใหม่ ( 1.435 เมตร )  แต่ งบประมาณจะเพิ่มขึ้นจาก
    ระบบเดิมไปอีก 0.5 เท่า ซึ่งผมคิดว่ามันลักลั่นยังไงไม่รู้ โดยส่วนตัวไม่เอาแบบนี้ครับ .. แต่ นี่ก็เป็นอีกทางเลือกครับ แบบ " พบกันครึ่งทาง "



CR  http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4399


ขออนุญาติแทกห้องมอเตอร์ไซค์ เพราะผมเคยเอารถมอไซค์ขึ้นขบวนรถไฟกลับบ้าน
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
ทางรถไฟของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นขนาด 1.000 เมตร (มิเตอร์เกจ) ทั้งหมดครับ ลองดูได้ตามภาพที่แนบมาด้านล่าง



นิยามของรถไฟความเร็วสูงคือสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 km/h ในสภาวะการใช้งานปกติ ระยะห่างขั้นต่ำระหว่างสถานีอยู่ที่ประมาณ 200-300 กิโลเมตร รถไฟถึงจะสามารถทำความเร็วได้ตามที่ควรจะเป็น ทั้งนี้เป็นเรื่องของความสะดวกสบายของผดส.มากกว่าประสิทธิภาพครับ ถ้าถามว่าทำไมไม่เร่งให้ถึงความเร็ว 200 km/h ในระยะทางสั้นๆเลยล่ะ เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกถูกกระชากเวลาใช้บริการ และยังมีเรื่องของระยะเบรกอีกด้วย รถไฟที่วิ่งมาด้วยความเร็วขนาดนี้ และน้ำหนักมหาศาล ย่อมต้องใช้ระยะทางในการลดความเร็วลงเรื่อยๆ ก่อนเข้าเทียบสถานี

คามความเห็นของผมคือเป็นทางเลือกที่ 1 โดยเน้นการพัฒนาขั้นต้นไปที่ทางมาตรฐานเดิม เพื่อสร้างทางคู่ก่อน

ชี้แจงเรื่อง คำที่ใช้นะครับ คำว่า "ราง" คือ แท่งเหล็กยาวๆหนึ่งอัน ส่วน "ทาง" คือเอา "ราง" สองอันมาวางคู่กันติดตั้งบนไม้หมอนที่รองรับดินและหินบดอัดเป็นทางให้รถไฟวิ่ง ดังนั้น รถไฟที่มีทางวิ่งสวนกันได้ เรียกว่า รถไฟทางคู่ ครับ



ประเด็นก็คือ เราต้องมีรถไฟทั้งสองประเภทควบคู่กันในการพัฒนาในระยะยาวครับ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง สามารถเลือกใช้งานรถไฟทางคู่ เพื่อการเดินทางไปยังพื้นที่อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมมั่นใจว่าหากมีรถไฟทางคู่จริง รฟท.สามารถจัดการเดินรถได้ตรงเวลามากขึ้น และมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางราง โดยเฉพาะสินค้าหนัก เช่น ปูน น้ำมัน พืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวเปลือก ยางพาราอบแห้ง ไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันรายได้หลักส่วนหนึ่งของรฟท.ก็มาจากการขนส่งสินค้า

ส่วนรถไฟความเร็วสูง ใช้สำหรับการขยายความเจริญไปยังจุดเศรษฐกิจตต่างๆ ลองนึกภาพนักลงทุนและพนักงานรระดับสูงที่สามารถเดินทางติดต่อสื่อสารกันได้ในเวลารวดเร็ว ทำให้ทุกอย่างไม่จำเป็นที่จะต้องกระจุกตัวในกรุงเทพอย่างที่เป็น
ในเรื่องของการขนส่งสินค้าของรถไฟความเร็วสูง ผมไม่ทราบว่าต่างประเทศมีการดำเนินการในระบบด้วยหรือไม่ ต้องขอละไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่