อาทิตย์อับแสง (บทที่ 23)
“ไหงข่าวมันเยอะแยะอย่างนี้”
พีทซี่พลิกหนึ่งในสิบกว่าแฟ้มหนาที่รวบรวมข่าวประจำวันของเกษรา แล้วถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม คิ้วกรีดคมขมวดจนแทบติดเป็นเส้นต่อ โดยเฉพาะเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือสามเครื่องที่ดังอยู่พร้อมๆ กันนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเงียบเลย
“ฉันไม่รู้จะเคลียร์ข่าวให้เธอยังไง ทั้งข่าวที่เธอสนิทกับอาเสี่ย หนุ่มไฮโซ แล้วไหนจะลือกันเรื่องเธอกับณัฐ…นายแบงก์ นี่ฉันกับเหมียวเปรี้ยวก็พยายามให้ข่าวไปแล้วว่าตอนนี้เธอไม่ได้คบ คนที่คุยด้วยก็เพราะเรื่องงาน แต่นักข่าวก็ยังซัก อุ๊ย...จะดังอะไรกันนักกันหนา” ประโยคท้ายร้องดังด้วยความรำคาญ
ว่าแล้วมือใหญ่ก็กรีดกรายยื่นกดปิดเครื่องโทรศัพท์ทุกเครื่อง ทั้งของตัวเอง และของอีกสองสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันในเวลานี้
“บนอินเตอร์เน็ทก็วิจารณ์กันใหญ่” เหมียวเปรี้ยวผู้ช่วยสาวในเครื่องแต่งกายและทรงผมเปรี้ยวจี๊ดจนเป็นเอกลักษณ์เสริม
“ก็ช่างเขา” หากเจ้าตัวผู้ตกเป็นข่าวไม่สนใจ “ปล่อยให้ลือไป ขออย่ากระทบงานของฉันก็พอ”
“กลัวแต่ว่าสินค้าที่พี่เกดเป็นพรีเซนต์เตอร์อยู่เขาจะมองในแง่ลบค่ะ บางเจ้าเขาไม่ชอบข่าวเสียๆ กลัวว่าจะโดนดึงโฆษณาออก”
“ก็แค่ข่าวลือ…ช่างประไร อยากดึงออกก็แล้วแต่” เกษรายักไหล่
“ว่าแต่ข่าวกับณัฐนี่ลือมาพักใหญ่ แถมมีภาพเธอกับเขาไปกินข้าวกันด้วย” พีทซี่ชี้รูปในแฟ้ม แววตาที่จ้องมองอีกฝ่ายคาดคั้น “ไปสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแค่ดูการลงทุนให้เธอ”
“เขาเชิญฉันกินข้าว เพราะฉันเป็นลูกค้าเขา”
“ฉันก็เป็นลูกค้าทีมคุณภู แถมลูกค้ารายใหญ่เสียด้วย แล้วไหนจะเด็กๆ ของฉันอีกเป็นโหล ไม่เห็นคุณภูเชิญแบบสองต่อสอง ทุกทีก็มีคุณธิ หรือไม่ก็น้องๆ ในทีมไปด้วย เฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีนั่งประจันหน้าใต้แสงเทียงแบบเธอ” พีทซี่ตั้งข้อสังเกต
“ไม่รู้ซิ” อีกครั้งที่เกษรายักไหล่ ไม่ใส่ใจ “คุยเรื่องงานก็สนิทกันไปเองได้”
“แต่เธอกับคุณภูก็สนิทกันนะ” พีทซี่เน้นหนักคำว่า…สนิท “นี่ ฉันถามจริงๆ เถอะ ฉันงงกับเธอจริงจริ๊ง ตอนแรกก็เห็นเจาะจง มุ่งมั่นลงทุนเปิดบัญชีกับธนาคารแอลทัสเพื่อวีนคุณภู จากนั้นเธอกับเขาก็สงบศึกคุยกันดี เป็นเพื่อนบ้านกัน เป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมอยู่ๆ เธอถึงยอมย้ายทีมดูแล แถมมาแนะนำให้ฉันย้ายอีก”
“เธอน่าจะย้ายนะ เพราะอาจได้ไปกินข้าวสองต่อสองกับคุณณัฐก็ได้”
“โอย…ไม่ไหว” ท่าทางสยดสยองของพีทซี่เรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสาวทั้งสองคน แต่จะมีเพียงเหมียวเปรี้ยวที่พยักหน้าเห็นด้วย “ฉันฟังคุณณัฐไม่รู้เรื่อง อธิบายอะไรก็ไม่รู้ บางทีตอบไม่ตรงคำถาม เหมือนในหัวของเขาคิดอะไรตลอดเวลา มันแปลกๆ และยิ่งชอบโยนความผิดให้คุณภูด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่ชอบ”
และเพราะว่าเป็นเช่นนั้น ต่อให้ณัฐและหัวหน้าฝ่าย หรือใครผู้ใดในธนาคารเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้ย้ายทีมดูแลบัญชี แต่พีทซี่ก็นั่งยัน นอนยัน เอาเท้ายันว่าไม่ย้าย ถึงขั้นขู่กลับด้วยซ้ำว่า ถ้ายังมีใครเซ้าซี้ เธอไม่เพียงแต่จะปิดทุกบัญชี แต่จะร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ่ที่เมืองนอกเลยทีเดียวเชียว
“พวกเธอคิดมากไป” นางเอกสาวมองคนสนิททั้งสอง “คุณณัฐเขาก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ อาจเพราะว่างานยุ่งต้องดูแลหลายเรื่อง หลายผลิตภัณฑ์ และทีมก็ใหญ่ด้วย”
“คุณภูก็เช่นกันย่ะ ดูเยอะแยะไปหมด แถมคนในทีมก็น้อยกว่าคุณณัฐ” พีทซี่แย้ง ไม่ยอมง่ายๆ
“ความถนัดต่างกันมัง” และเกษราก็ยังไม่ยอมลดละ
“ต่างจ้า...ต่าง ต่างมากเลย” เสียงสะบัดดักคอเพื่อนสนิท “เธอถอดความอคติออกจากใจบ้างนะ จะได้เห็นว่ามันต่างกันยังไง ต่างขนาดว่าคุณยายยังจำเขาได้เลย...”
เมื่อพูดถึงตรงนั้น พีทซี่ก็พลันหยุดรู้สึกตัว
เพราะเรื่องเกษรากับภูเก็ต…สนิทพอที่เขาจะแวะไปบ้านของนางเอกสาวได้นั้น ไม่มีใครอื่นรู้ แม้แต่เหมียวเปรี้ยวผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยของเกษราก็ไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งบัดนี้
และเมื่อเป็นเช่นนั้นปากของหญิงสาวผู้ช่วยอ้าค้างนาน จนพีทซี่ต้องดันให้มันหุบ
คนรอบตัวของนางเอกสาวย่อมรู้ว่า คุณยายของเธอเป็นโรคอัลไซเมอร์ ให้เหมียวเปรี้ยวไปที่บ้านกี่ครั้ง หรือแม้แต่พีทซี่ คุณยายก็ไม่เคยจำ ไม่เคยพูดถึง
แต่...ภูเก็ต
“ของเขาแรง...” เหมียวเปรี้ยวเปรย หน้าตามึนงง
“แกอย่าปากมากนะนังเหมียวเปรี้ยว” ผู้จัดการดาราคนดันเน้นเสียงหนัก “เรื่องนี้ซีเรียส์ ถ้าเป็นข่าวออกไป...”
“คุณภูของเธอเสนอหน้ามาเองนะ ฉันไม่เคยเชิญเขามา” เกษรารีบอ้าง
“แหม…จะยังไงก็ช่างเถอะ เธอลองเชิญอีตาณัฐไปซิ ฉันจะดูว่าคุณยายกับคุณป้าจะว่ายังไง” พีทซี่แนะราวว่าเป็นเรื่องสนุก “แต่ฉันพนันได้เลย...สู้คุณภูของฉันไม่ได้หร๊อก”
“แล้วถ้าสู้ได้...” นั่นคือการท้ากลายๆ
“จะพาคุณณัฐไป...บ้าน?”
เสียงดังขึ้นพร้อมกันนั้นตกใจ
เพราะว่าไม่เคยมีใครเลย...ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหนก็ตามที่เกษราจะพากลับ...บ้าน
ตอนนั้นกับภูเก็ต อาจเพราะว่าหญิงสาวอยากจะแกล้ง
“เอาจริงหรือเกด” พีทซี่ต้องถามจริงจัง
“ก็ทำไมล่ะ...เขาไม่ดีตรงไหน” นางเอกสาวยิ้มกว้างจนตาหยี “หรือว่าเพราะเขาไม่ใช่คุณภูของเธอ”
“ก็เพราะเขาไม่ใช่น่ะซิ”
“ไม่เจ้าชู้ ชีกอ โรคจิต เหมือนอีตาภูเก็ต” เกษราหยิบยกข้อเสียเยอะแยะเพียงเพราะต้องการเอาชนะ และเธอต้องชนะ
ดังนั้นในช่วงบ่ายของวันเสาร์ถัดมา ณัฐ...จึงกลับมาที่บ้านแปดริ้วกับเธอ
ทว่าเมื่อรถสปอร์ตคันใหม่เอี่ยมของเธอที่มีณัฐเป็นผู้ขับแล่นผ่านประตูรั้วทึบของบ้าน เกษราก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถยุโรปคันเก่าคุ้นตาจอดอยู่
เพราะความตกใจ...เธอจึงไม่เห็นอาการบึ้งตึงของณัฐผู้ที่บัดนี้กำพวงมาลัยแน่น
อาการประหลาดใจนั่นเห็นชัดได้จากใบหน้าของคุณมัลลิกาเช่นกัน ครามายืนรออยู่ตรงเฉลียงทางเข้าบ้าน
“ใครเหรอหนูปีบ” เสียงที่ถามหลานสาว...สงสัย ไม่มั่นใจ
“เพื่อนค่ะ” คำตอบสั้นนัก ราบเรียบเหลือเกิน
“คุณภูเก็ตอยู่ข้างใน”
หากเกษราเพียงพยักหน้ารับรู้กับคำบอกของผู้เป็นป้า จากนั้นเธอจึงแนะนำ “ณัฐค่ะ”
คำบอกสั้น ไม่ได้ขยายใจความแม้ว่าสายตาของผู้เป็นป้าจะมองมาด้วยคำถามมากมาย
เกษราเห็นว่าคุณมัลลิการับไหว้ณัฐ
แต่ก็เท่านั้น เพราะในตอนนี้สายตาของเธอกำลังมองหาว่า...อีตาภูเก็ตอยู่ไหนกันนะ
มาทำไม!
“โอย...คุณยายท่องเร็วเกิน ผมจดไม่ทัน” เสียงทุ้มโอดครวญดังลั่นมาจากมุมไหนสักแห่งของชั้นล่าง “แล้ว...นี่สะกดยังไง...”
เกษราไม่รีรอฟังให้จบ ร่างระหงปรี่ไปทางต้นเสียงทันที
ห้องนอนชั้นล่างของผู้เป็นยายเปิดไฟสว่างจ้า ฉายให้เห็นทุกสิ่งสรรพข้างในชัดเจน ตัวห้องที่เธอคุ้นเคย แล้วยังหญิงชราร่างบางที่นั่งพิงหมอนหน้ารองอยู่บนเตียง
สิ่งเดียวที่แปลกประหลาด ไม่คุ้นเคย ก็คงเป็น...อีตาภูเก็ต!
แล้วไหนจะน้ำเสียงสนุกชวนหัวของเขาที่เธอไม่ได้ยินมาหลายเดือน พักหลังเธอเริ่มคุ้นกับเสียงห่างเหินเป็นทางการของเขา โดยที่ไม่มีเคล้าเพียงนิดของคนที่เธอคุ้นเคย
ทว่าบัดนี้เสียงที่สนทนากับยายของเธอ แฝงรอยเป็นกันเอง ฟังรื่นหูยิ่งนัก
ร่างสูงนั่งจนเกือบเป็นการชันเข่าบนม้านั่งเตี้ยที่คงไม่ได้ทำให้เขาสบายกายสักเท่าไร แล้วไหนบนตักจะมีกระดาษปึกใหญ่อีก
“เธออยู่ชั้นไหนแล้ว ถึงสะกดไม่ได้” เสียงเฉียบของอดีตครูใหญ่ซักคนที่อยู่ข้างเตียง
“ได้ครับ...ได้ ก็ผมอยู่ชั้น 31 นี่ครับ แต่แค่ไม่แน่ใจ” เสียงอึกอักบอก ก่อนร่างสูงจะขยับกายเพียงนิด “ผมตกภาษาไทยครับ”
“เถียงคำไม่ตกฟาก”
การดุจากหญิงชราทำให้คนที่แอบมองอยู่ต้องพยายามกลั้นยิ้ม
“แล้วนี่ เธอจดอะไรไปบ้าง ไหนดูซิ ถูกไหม” หญิงชรายื่นมือกระดกนิ้วขอดู ราวพยายามจับผิด
“ถูกซิคร้าบบบ...คุณยายครับ” คนถูกสอบนั่งยัน “ไม่ต้องดูหรอกครับ แสงไม่พอ ไม่ดีต่อสายตา”
แสง...พอ และชัดเสมอ เพียงแต่ว่าคนกะล่อนที่สะกดผิดจนเต็มหน้ากระดาษกลัวจะถูก...จับได้
“ท่องให้ฉันฟังซิ”
“ท่องอีกแล้วเหรอจ๊ะ...ยายจ๋า” คราวจะอ้อน...เพราะไม่อยากทำ เสียงก็พลันหวานจ๊ะจ๋า จนคนที่แอบมองรู้สึกถึงการบีบเบาๆในความรู้สึก “ยายจ๋า ภูเก็ตคอแห้งแล้วนา”
“ท่องอีกที จะได้รู้ว่าถูกไหม”
“อูย...มันครั้งที่แปดสิบในสิบห้านาทีแล้วนะจ๊ะ”
“ครั้งที่ร้อยก็ต้องท่อง” เสียงสั่งชัดเจนสมกับความเก๋าของอดีตครู
และเมื่อนั้นคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังประตูห้องจึงปล่อยยิ้มกว้าง...อีตาภูเก็ต กะล่อนไม่ออก เถียงไม่ได้
สายหยุดหยุดเร่เสน่ห์หา รักพารักมั่นพันไว้
หยุดหนีหยุดที่ดวงใจ หยุดไว้นวลอนงค์องค์เดียว
เสียงสำเนียงท่องของ...อีตาภูเก็ตตะกุกตะกักไม่เป็นจังหวะเพราะพริ้งอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ขัดใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่าเกษรา...ทน มองภาพตรงหน้า
สายสวาทปักแน่นแม่นนัก หลอมรักหลอมใจไม่เหลียว
หยุดหลีกหยุดที่น้องจริงเชียว หยุดเที่ยวหนีหายคลายครา
“ครา...สะกดถูกไหม”
“ถูกครับ” คำตอบทันควัน แม้ว่าเจ้าตัวไม่แน่ใจนัก
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มออดอ้อนฉาบเสน่ห์งดงาม ทำให้หญิงชราหัวเราะ
“พ่อหนุ่มยิ้มสวย”
“เพราะผมยิ้มให้คุณยายครับ” คำตอบของเขาสวยเช่นทุกๆ ครั้ง
และคงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่จะรู้ว่าจริงใจแค่ไหน ทว่าเสียงห้วนตวัดขึ้นตัดบททันที
“สวยแต่รูปหรือเปล่า...แต่ใจ...”
เกษราหยุดเพียงเท่านั้น ทำเสียงในลำคอเล็กน้อย แล้วแทรกตัวนั่งลงบนข้างเตียงกั้นระหว่างเขากับผู้เป็นยายของเธอ อ้อมแขนโอบกระชับร่างเล็กของหญิงชราแน่น แต่ก็ยังเห็นสีหน้าของเขา…
ตกใจ…ไม่คาดคิด แล้วก็พลันกลบทุกอย่างไปหมดสิ้นด้วยรอยยิ้มของนายแบงก์รูปงาม
“ไปเข้าค่ายสามวัน นี่คิดถึงยายขนาดนี้เชียวหรือหนูปีบ” นั่นคือสิ่งที่หญิงชราจำได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน
“มันหลายปี...”
เกษราเตรียมค้านด้วยความจริงเช่นทุกเคย เพียงแต่ว่าครั้งนี้เสียงของเธอถูกลบด้วยเสียงทุ้มของ...เขา
“สามวันของคุณยายนี่มันเท่ากับสองคืนเชียวนา หนูปีบเคยไปไหนไกลๆ เสียที่ไหนกันจ๊ะ”
คำบอกนั่นทำให้เกษราหันควับกลับมา ทว่า...อีตาภูเก็ตไม่สนใจ
“เอ...ยายจ๋า สายหยุดนี่เป็นยังไงครับ หอมเหมือนดอกปีบหรือเปล่า”
คำถามแม้มีให้กับหญิงชรา แต่ดวงหน้าละมุนแซมดวงตาวาววับกลับทอดเป็นประกายมายังหญิงสาวที่นั่งหน้าบึ้งนั่งอยู่ที่ริมขอบเตียง
มือใหญ่เอื้อมมาแตะ…ลูบเบาๆ บนมือนุ่มของหญิงสาว
“ผมก็อยากเป็นศัตรูถาวรนะ...หนูปีบ แต่หลายเดือนมานี่ ผมได้คิด และรู้ว่าผมทำไม่ได้ แล้วคุณล่ะ...ทำได้หรือเปล่า”
คำถามไม่ได้รับคำตอบ
ไม่มีแม้แต่การรับรู้จากอีกฝ่าย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ภูเก็ตท้อใจเท่ากับเสียงห้วนจากด้านหลัง
เขาพลันละมือออกทันที แต่คงไม่ไวเท่า...เกษรา
“มิหน้าคุณเกษราถึงไม่พอใจกับธนาคารของผมนัก เพราะมีพนักงานที่ทำตัวเกินขอบเขตนี่เอง”
“ผมรู้ถึงขอบเขตของผมดี” ร่างสูงสะบัดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งเตี้ย “รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด...”
“แล้วมาทำไม คุณไม่ได้ดูบัญชีของคุณเกดแล้ว”
“ผม...” ชายหนุ่มหันเหลือบมองไปทางนางเอกสาว เห็นว่าเธอเบี่ยงเองหน้าไปอีกด้าน “มาในฐานะเพื่อน”
“ก็ไม่ควร”
“คุณอาจจะเห็นว่าไม่ควร แต่ผมไม่เห็นด้วย ขอตัวนะครับ”
ดวงหน้าเคร่ง ดวงตาปรากฏรอยผิดหวังมองปราดเดียวยังเกษรา
การมองเร็ว ไม่ทิ้งร่อยรอยอะไรอย่างอื่นไว้ พอๆ กับการที่เขาลุกขึ้นเดินออกไป โดยไม่ทิ้งคำร่ำลาให้หญิงสาวได้รับรู้
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 23) โดย มานัส
“ไหงข่าวมันเยอะแยะอย่างนี้”
พีทซี่พลิกหนึ่งในสิบกว่าแฟ้มหนาที่รวบรวมข่าวประจำวันของเกษรา แล้วถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม คิ้วกรีดคมขมวดจนแทบติดเป็นเส้นต่อ โดยเฉพาะเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือสามเครื่องที่ดังอยู่พร้อมๆ กันนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเงียบเลย
“ฉันไม่รู้จะเคลียร์ข่าวให้เธอยังไง ทั้งข่าวที่เธอสนิทกับอาเสี่ย หนุ่มไฮโซ แล้วไหนจะลือกันเรื่องเธอกับณัฐ…นายแบงก์ นี่ฉันกับเหมียวเปรี้ยวก็พยายามให้ข่าวไปแล้วว่าตอนนี้เธอไม่ได้คบ คนที่คุยด้วยก็เพราะเรื่องงาน แต่นักข่าวก็ยังซัก อุ๊ย...จะดังอะไรกันนักกันหนา” ประโยคท้ายร้องดังด้วยความรำคาญ
ว่าแล้วมือใหญ่ก็กรีดกรายยื่นกดปิดเครื่องโทรศัพท์ทุกเครื่อง ทั้งของตัวเอง และของอีกสองสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันในเวลานี้
“บนอินเตอร์เน็ทก็วิจารณ์กันใหญ่” เหมียวเปรี้ยวผู้ช่วยสาวในเครื่องแต่งกายและทรงผมเปรี้ยวจี๊ดจนเป็นเอกลักษณ์เสริม
“ก็ช่างเขา” หากเจ้าตัวผู้ตกเป็นข่าวไม่สนใจ “ปล่อยให้ลือไป ขออย่ากระทบงานของฉันก็พอ”
“กลัวแต่ว่าสินค้าที่พี่เกดเป็นพรีเซนต์เตอร์อยู่เขาจะมองในแง่ลบค่ะ บางเจ้าเขาไม่ชอบข่าวเสียๆ กลัวว่าจะโดนดึงโฆษณาออก”
“ก็แค่ข่าวลือ…ช่างประไร อยากดึงออกก็แล้วแต่” เกษรายักไหล่
“ว่าแต่ข่าวกับณัฐนี่ลือมาพักใหญ่ แถมมีภาพเธอกับเขาไปกินข้าวกันด้วย” พีทซี่ชี้รูปในแฟ้ม แววตาที่จ้องมองอีกฝ่ายคาดคั้น “ไปสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแค่ดูการลงทุนให้เธอ”
“เขาเชิญฉันกินข้าว เพราะฉันเป็นลูกค้าเขา”
“ฉันก็เป็นลูกค้าทีมคุณภู แถมลูกค้ารายใหญ่เสียด้วย แล้วไหนจะเด็กๆ ของฉันอีกเป็นโหล ไม่เห็นคุณภูเชิญแบบสองต่อสอง ทุกทีก็มีคุณธิ หรือไม่ก็น้องๆ ในทีมไปด้วย เฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีนั่งประจันหน้าใต้แสงเทียงแบบเธอ” พีทซี่ตั้งข้อสังเกต
“ไม่รู้ซิ” อีกครั้งที่เกษรายักไหล่ ไม่ใส่ใจ “คุยเรื่องงานก็สนิทกันไปเองได้”
“แต่เธอกับคุณภูก็สนิทกันนะ” พีทซี่เน้นหนักคำว่า…สนิท “นี่ ฉันถามจริงๆ เถอะ ฉันงงกับเธอจริงจริ๊ง ตอนแรกก็เห็นเจาะจง มุ่งมั่นลงทุนเปิดบัญชีกับธนาคารแอลทัสเพื่อวีนคุณภู จากนั้นเธอกับเขาก็สงบศึกคุยกันดี เป็นเพื่อนบ้านกัน เป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมอยู่ๆ เธอถึงยอมย้ายทีมดูแล แถมมาแนะนำให้ฉันย้ายอีก”
“เธอน่าจะย้ายนะ เพราะอาจได้ไปกินข้าวสองต่อสองกับคุณณัฐก็ได้”
“โอย…ไม่ไหว” ท่าทางสยดสยองของพีทซี่เรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสาวทั้งสองคน แต่จะมีเพียงเหมียวเปรี้ยวที่พยักหน้าเห็นด้วย “ฉันฟังคุณณัฐไม่รู้เรื่อง อธิบายอะไรก็ไม่รู้ บางทีตอบไม่ตรงคำถาม เหมือนในหัวของเขาคิดอะไรตลอดเวลา มันแปลกๆ และยิ่งชอบโยนความผิดให้คุณภูด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่ชอบ”
และเพราะว่าเป็นเช่นนั้น ต่อให้ณัฐและหัวหน้าฝ่าย หรือใครผู้ใดในธนาคารเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้ย้ายทีมดูแลบัญชี แต่พีทซี่ก็นั่งยัน นอนยัน เอาเท้ายันว่าไม่ย้าย ถึงขั้นขู่กลับด้วยซ้ำว่า ถ้ายังมีใครเซ้าซี้ เธอไม่เพียงแต่จะปิดทุกบัญชี แต่จะร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ่ที่เมืองนอกเลยทีเดียวเชียว
“พวกเธอคิดมากไป” นางเอกสาวมองคนสนิททั้งสอง “คุณณัฐเขาก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ อาจเพราะว่างานยุ่งต้องดูแลหลายเรื่อง หลายผลิตภัณฑ์ และทีมก็ใหญ่ด้วย”
“คุณภูก็เช่นกันย่ะ ดูเยอะแยะไปหมด แถมคนในทีมก็น้อยกว่าคุณณัฐ” พีทซี่แย้ง ไม่ยอมง่ายๆ
“ความถนัดต่างกันมัง” และเกษราก็ยังไม่ยอมลดละ
“ต่างจ้า...ต่าง ต่างมากเลย” เสียงสะบัดดักคอเพื่อนสนิท “เธอถอดความอคติออกจากใจบ้างนะ จะได้เห็นว่ามันต่างกันยังไง ต่างขนาดว่าคุณยายยังจำเขาได้เลย...”
เมื่อพูดถึงตรงนั้น พีทซี่ก็พลันหยุดรู้สึกตัว
เพราะเรื่องเกษรากับภูเก็ต…สนิทพอที่เขาจะแวะไปบ้านของนางเอกสาวได้นั้น ไม่มีใครอื่นรู้ แม้แต่เหมียวเปรี้ยวผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยของเกษราก็ไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งบัดนี้
และเมื่อเป็นเช่นนั้นปากของหญิงสาวผู้ช่วยอ้าค้างนาน จนพีทซี่ต้องดันให้มันหุบ
คนรอบตัวของนางเอกสาวย่อมรู้ว่า คุณยายของเธอเป็นโรคอัลไซเมอร์ ให้เหมียวเปรี้ยวไปที่บ้านกี่ครั้ง หรือแม้แต่พีทซี่ คุณยายก็ไม่เคยจำ ไม่เคยพูดถึง
แต่...ภูเก็ต
“ของเขาแรง...” เหมียวเปรี้ยวเปรย หน้าตามึนงง
“แกอย่าปากมากนะนังเหมียวเปรี้ยว” ผู้จัดการดาราคนดันเน้นเสียงหนัก “เรื่องนี้ซีเรียส์ ถ้าเป็นข่าวออกไป...”
“คุณภูของเธอเสนอหน้ามาเองนะ ฉันไม่เคยเชิญเขามา” เกษรารีบอ้าง
“แหม…จะยังไงก็ช่างเถอะ เธอลองเชิญอีตาณัฐไปซิ ฉันจะดูว่าคุณยายกับคุณป้าจะว่ายังไง” พีทซี่แนะราวว่าเป็นเรื่องสนุก “แต่ฉันพนันได้เลย...สู้คุณภูของฉันไม่ได้หร๊อก”
“แล้วถ้าสู้ได้...” นั่นคือการท้ากลายๆ
“จะพาคุณณัฐไป...บ้าน?”
เสียงดังขึ้นพร้อมกันนั้นตกใจ
เพราะว่าไม่เคยมีใครเลย...ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหนก็ตามที่เกษราจะพากลับ...บ้าน
ตอนนั้นกับภูเก็ต อาจเพราะว่าหญิงสาวอยากจะแกล้ง
“เอาจริงหรือเกด” พีทซี่ต้องถามจริงจัง
“ก็ทำไมล่ะ...เขาไม่ดีตรงไหน” นางเอกสาวยิ้มกว้างจนตาหยี “หรือว่าเพราะเขาไม่ใช่คุณภูของเธอ”
“ก็เพราะเขาไม่ใช่น่ะซิ”
“ไม่เจ้าชู้ ชีกอ โรคจิต เหมือนอีตาภูเก็ต” เกษราหยิบยกข้อเสียเยอะแยะเพียงเพราะต้องการเอาชนะ และเธอต้องชนะ
ดังนั้นในช่วงบ่ายของวันเสาร์ถัดมา ณัฐ...จึงกลับมาที่บ้านแปดริ้วกับเธอ
ทว่าเมื่อรถสปอร์ตคันใหม่เอี่ยมของเธอที่มีณัฐเป็นผู้ขับแล่นผ่านประตูรั้วทึบของบ้าน เกษราก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถยุโรปคันเก่าคุ้นตาจอดอยู่
เพราะความตกใจ...เธอจึงไม่เห็นอาการบึ้งตึงของณัฐผู้ที่บัดนี้กำพวงมาลัยแน่น
อาการประหลาดใจนั่นเห็นชัดได้จากใบหน้าของคุณมัลลิกาเช่นกัน ครามายืนรออยู่ตรงเฉลียงทางเข้าบ้าน
“ใครเหรอหนูปีบ” เสียงที่ถามหลานสาว...สงสัย ไม่มั่นใจ
“เพื่อนค่ะ” คำตอบสั้นนัก ราบเรียบเหลือเกิน
“คุณภูเก็ตอยู่ข้างใน”
หากเกษราเพียงพยักหน้ารับรู้กับคำบอกของผู้เป็นป้า จากนั้นเธอจึงแนะนำ “ณัฐค่ะ”
คำบอกสั้น ไม่ได้ขยายใจความแม้ว่าสายตาของผู้เป็นป้าจะมองมาด้วยคำถามมากมาย
เกษราเห็นว่าคุณมัลลิการับไหว้ณัฐ
แต่ก็เท่านั้น เพราะในตอนนี้สายตาของเธอกำลังมองหาว่า...อีตาภูเก็ตอยู่ไหนกันนะ
มาทำไม!
“โอย...คุณยายท่องเร็วเกิน ผมจดไม่ทัน” เสียงทุ้มโอดครวญดังลั่นมาจากมุมไหนสักแห่งของชั้นล่าง “แล้ว...นี่สะกดยังไง...”
เกษราไม่รีรอฟังให้จบ ร่างระหงปรี่ไปทางต้นเสียงทันที
ห้องนอนชั้นล่างของผู้เป็นยายเปิดไฟสว่างจ้า ฉายให้เห็นทุกสิ่งสรรพข้างในชัดเจน ตัวห้องที่เธอคุ้นเคย แล้วยังหญิงชราร่างบางที่นั่งพิงหมอนหน้ารองอยู่บนเตียง
สิ่งเดียวที่แปลกประหลาด ไม่คุ้นเคย ก็คงเป็น...อีตาภูเก็ต!
แล้วไหนจะน้ำเสียงสนุกชวนหัวของเขาที่เธอไม่ได้ยินมาหลายเดือน พักหลังเธอเริ่มคุ้นกับเสียงห่างเหินเป็นทางการของเขา โดยที่ไม่มีเคล้าเพียงนิดของคนที่เธอคุ้นเคย
ทว่าบัดนี้เสียงที่สนทนากับยายของเธอ แฝงรอยเป็นกันเอง ฟังรื่นหูยิ่งนัก
ร่างสูงนั่งจนเกือบเป็นการชันเข่าบนม้านั่งเตี้ยที่คงไม่ได้ทำให้เขาสบายกายสักเท่าไร แล้วไหนบนตักจะมีกระดาษปึกใหญ่อีก
“เธออยู่ชั้นไหนแล้ว ถึงสะกดไม่ได้” เสียงเฉียบของอดีตครูใหญ่ซักคนที่อยู่ข้างเตียง
“ได้ครับ...ได้ ก็ผมอยู่ชั้น 31 นี่ครับ แต่แค่ไม่แน่ใจ” เสียงอึกอักบอก ก่อนร่างสูงจะขยับกายเพียงนิด “ผมตกภาษาไทยครับ”
“เถียงคำไม่ตกฟาก”
การดุจากหญิงชราทำให้คนที่แอบมองอยู่ต้องพยายามกลั้นยิ้ม
“แล้วนี่ เธอจดอะไรไปบ้าง ไหนดูซิ ถูกไหม” หญิงชรายื่นมือกระดกนิ้วขอดู ราวพยายามจับผิด
“ถูกซิคร้าบบบ...คุณยายครับ” คนถูกสอบนั่งยัน “ไม่ต้องดูหรอกครับ แสงไม่พอ ไม่ดีต่อสายตา”
แสง...พอ และชัดเสมอ เพียงแต่ว่าคนกะล่อนที่สะกดผิดจนเต็มหน้ากระดาษกลัวจะถูก...จับได้
“ท่องให้ฉันฟังซิ”
“ท่องอีกแล้วเหรอจ๊ะ...ยายจ๋า” คราวจะอ้อน...เพราะไม่อยากทำ เสียงก็พลันหวานจ๊ะจ๋า จนคนที่แอบมองรู้สึกถึงการบีบเบาๆในความรู้สึก “ยายจ๋า ภูเก็ตคอแห้งแล้วนา”
“ท่องอีกที จะได้รู้ว่าถูกไหม”
“อูย...มันครั้งที่แปดสิบในสิบห้านาทีแล้วนะจ๊ะ”
“ครั้งที่ร้อยก็ต้องท่อง” เสียงสั่งชัดเจนสมกับความเก๋าของอดีตครู
และเมื่อนั้นคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังประตูห้องจึงปล่อยยิ้มกว้าง...อีตาภูเก็ต กะล่อนไม่ออก เถียงไม่ได้
สายหยุดหยุดเร่เสน่ห์หา รักพารักมั่นพันไว้
หยุดหนีหยุดที่ดวงใจ หยุดไว้นวลอนงค์องค์เดียว
เสียงสำเนียงท่องของ...อีตาภูเก็ตตะกุกตะกักไม่เป็นจังหวะเพราะพริ้งอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ขัดใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่าเกษรา...ทน มองภาพตรงหน้า
สายสวาทปักแน่นแม่นนัก หลอมรักหลอมใจไม่เหลียว
หยุดหลีกหยุดที่น้องจริงเชียว หยุดเที่ยวหนีหายคลายครา
“ครา...สะกดถูกไหม”
“ถูกครับ” คำตอบทันควัน แม้ว่าเจ้าตัวไม่แน่ใจนัก
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มออดอ้อนฉาบเสน่ห์งดงาม ทำให้หญิงชราหัวเราะ
“พ่อหนุ่มยิ้มสวย”
“เพราะผมยิ้มให้คุณยายครับ” คำตอบของเขาสวยเช่นทุกๆ ครั้ง
และคงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่จะรู้ว่าจริงใจแค่ไหน ทว่าเสียงห้วนตวัดขึ้นตัดบททันที
“สวยแต่รูปหรือเปล่า...แต่ใจ...”
เกษราหยุดเพียงเท่านั้น ทำเสียงในลำคอเล็กน้อย แล้วแทรกตัวนั่งลงบนข้างเตียงกั้นระหว่างเขากับผู้เป็นยายของเธอ อ้อมแขนโอบกระชับร่างเล็กของหญิงชราแน่น แต่ก็ยังเห็นสีหน้าของเขา…
ตกใจ…ไม่คาดคิด แล้วก็พลันกลบทุกอย่างไปหมดสิ้นด้วยรอยยิ้มของนายแบงก์รูปงาม
“ไปเข้าค่ายสามวัน นี่คิดถึงยายขนาดนี้เชียวหรือหนูปีบ” นั่นคือสิ่งที่หญิงชราจำได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน
“มันหลายปี...”
เกษราเตรียมค้านด้วยความจริงเช่นทุกเคย เพียงแต่ว่าครั้งนี้เสียงของเธอถูกลบด้วยเสียงทุ้มของ...เขา
“สามวันของคุณยายนี่มันเท่ากับสองคืนเชียวนา หนูปีบเคยไปไหนไกลๆ เสียที่ไหนกันจ๊ะ”
คำบอกนั่นทำให้เกษราหันควับกลับมา ทว่า...อีตาภูเก็ตไม่สนใจ
“เอ...ยายจ๋า สายหยุดนี่เป็นยังไงครับ หอมเหมือนดอกปีบหรือเปล่า”
คำถามแม้มีให้กับหญิงชรา แต่ดวงหน้าละมุนแซมดวงตาวาววับกลับทอดเป็นประกายมายังหญิงสาวที่นั่งหน้าบึ้งนั่งอยู่ที่ริมขอบเตียง
มือใหญ่เอื้อมมาแตะ…ลูบเบาๆ บนมือนุ่มของหญิงสาว
“ผมก็อยากเป็นศัตรูถาวรนะ...หนูปีบ แต่หลายเดือนมานี่ ผมได้คิด และรู้ว่าผมทำไม่ได้ แล้วคุณล่ะ...ทำได้หรือเปล่า”
คำถามไม่ได้รับคำตอบ
ไม่มีแม้แต่การรับรู้จากอีกฝ่าย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ภูเก็ตท้อใจเท่ากับเสียงห้วนจากด้านหลัง
เขาพลันละมือออกทันที แต่คงไม่ไวเท่า...เกษรา
“มิหน้าคุณเกษราถึงไม่พอใจกับธนาคารของผมนัก เพราะมีพนักงานที่ทำตัวเกินขอบเขตนี่เอง”
“ผมรู้ถึงขอบเขตของผมดี” ร่างสูงสะบัดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งเตี้ย “รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด...”
“แล้วมาทำไม คุณไม่ได้ดูบัญชีของคุณเกดแล้ว”
“ผม...” ชายหนุ่มหันเหลือบมองไปทางนางเอกสาว เห็นว่าเธอเบี่ยงเองหน้าไปอีกด้าน “มาในฐานะเพื่อน”
“ก็ไม่ควร”
“คุณอาจจะเห็นว่าไม่ควร แต่ผมไม่เห็นด้วย ขอตัวนะครับ”
ดวงหน้าเคร่ง ดวงตาปรากฏรอยผิดหวังมองปราดเดียวยังเกษรา
การมองเร็ว ไม่ทิ้งร่อยรอยอะไรอย่างอื่นไว้ พอๆ กับการที่เขาลุกขึ้นเดินออกไป โดยไม่ทิ้งคำร่ำลาให้หญิงสาวได้รับรู้
(ต่อ)