อาทิตย์อับแสง (บทที่ 8)
มาด…ของชายหนุ่มรูปร่างสูงล่ำสันในกางเกงสีเทาเข้มเสื้อเชิ๊ตทำงานแขนยาวจากผ้าเนื้อดี และเน็คไทที่ดูเหมาะ ทำให้เขาเป็นที่สนใจยิ่งนักสำหรับผู้หญิงหลายคนที่ได้เห็น
และวันนี้อีกเช่นกันที่มีเสียงกระซิบกระซาบ หัวเราะเคอะเขินของบรรดาหญิงสาวที่อยู่ในลิฟต์ หลังจากคนที่เป็นที่ต้องตาเดินออกไปแล้ว
“คุณภูเก็ตหล่อแบบไม่เกรงใจใครเล้ย…” แล้วยังต่อด้วย “วันนี้มีการแอบไม่โกนหนวดอีก แต่ก็ดูดี๊ดี”
เสียงกรี๊ดกร๊าดซุบซิบยังคงมี จนกระทั่งใครบางคนเตือน “เสียดายที่นังแฟนของคุณภูเก็ตขี้หึง แถมแรงยังกะอะไร”
“ก็คุณภูเก็ตหล่ออย่างนี้ เป็นใครใครก็หึง”
“ไม่หึงซิแปลกคุณภูเก็ตทั้งหน้าตาดี การศึกษาฐานะดี ซ้ำคารมก็ดีด้วย สมแล้วที่เป็นเทพบุตรของสำนักงานใหญ่”
คำบอกนั่นเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนในกลุ่ม โดยไม่มีใครใส่ใจว่าผู้ชายอีกคนที่อยู่ในลิฟต์จะมีทีท่าอย่างไร
รอยยิ้มแสยะเพียงมุมปากของผู้ชายในชุดสูทผูกไทเต็มยศคนนั้น…ไม่มีใครเห็น
ไม่ต่างจากแววตาดุดันที่ปรากฏความไม่พอใจยิ่งยวดของเขา…ที่ไม่มีใครสักคนสนใจ
ไม่แม้กระทั่งจะมีผู้ใดสังเกตว่ามือขวาที่กำแฟ้มดำแน่นมีรอยแผลเป็นกรีดยาวตั้งแต่กลางหลังของมือ เลื้อยหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ
และไม่มีใครเห็นว่า ผู้ชายคนนั้นเดินออกจากลิฟต์ที่ชั้นใดของอาคารสำนักงานใหญ่
การสาวเท้าก้าวเดินของเขาลงหนักเพื่อกลบอาการกระเผลกเล็กน้อย รองเท้าหนังสีดำผูกเชือกเรียบร้อยขัดเป็นเงางาม มือซ้ายผลักบานประตูกระจกเปิดเข้าไปด้านในนั้นพลันผ่อนแรงเมื่อรู้สึกตัว
ผลัก...แรงไป
แต่ถึงกระนั้น คางเหลี่ยมก็ยังตึงเครียดเพราะกรามที่ขบแน่น ทำให้ดวงตาลึกดูแรงกล้าจริงจัง
“มารับตำแหน่ง” เสียงห้าวระบุชัดเจนถึงการมา ให้พนักงานที่อยู่อีกฟากโต๊ะรับรู้
“ที่จะเริ่มงานวันนี้ใช่ไหมคะ ชื่ออะไรคะ”
“ณัฐ” การบอกชื่อนั้นชัดเจน พอๆ กับการบอกนามสกุลของตน
“รอสักครูนะคะ”
การรอเพียงครู่ กลับกลายเป็นชั่วโมงกว่า แต่ณัฐก็ยังใจเย็นพอที่จะรอ
รอคุยกับผู้เป็นหัวหน้าฝ่าย แล้วไหนต้องรอ...ดาวเด่นของฝ่าย ที่เขารู้ว่าเข้ามาถึงที่ทำงานแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขึ้นมาที่ออฟฟิศ
“ณัฐจะมาร่วมงานกับเรา” คำแนะนำผู้ที่เริ่มทำงานวันแรกในอีกสองชั่วโมงต่อมานั้นกระชับห้วนๆ พอๆ กับที่ อีเจ๊ ประกาศ “จะมาเป็นหัวหน้าทีมบี”
หัวหน้าฝ่ายยังบรรยายถึงประสบการณ์ของผู้จะเป็นหัวหน้าทีมบี รวมถึงสาธยายประสบการณ์ทำงานไม่ว่าจะที่ฟอล์ริด้า ปารีส มอนเตรนิโกร และมาเลย์เซีย
การยิ้มรับทักทายจากบรรดาคนในฝ่ายต่างเปี่ยมด้วยมิตรไมตรี โดยไม่มีใครสังเกตเห็นไรฟันที่ขบแน่นของชายหนุ่มผู้เพิ่งเริ่มงานเป็นวันแรก
ทุกคนสนใจผู้มาใหม่ที่ดูดีพร้อมไม่ต่างจากดาวเด่นคนปัจจุบัน
แต่ทุกคนก็รู้ ใคร...ก็เทียบภูเก็ตได้ยาก
ดาวเด่นของฝ่าย
เทพบุตรของสำนักงานใหญ่ มีผลงานเข้าเป้า มีลูกค้า หลง คารมมานักต่อนัก
เพียงแต่ว่าก็มีบางคนที่สังเกต
“ไอ้รูปหล่อ…แกเจอแฝดแล้ว” สาธิณีเย้าเพื่อนสนิทผู้เป็นหัวหน้าทีม “หัวหน้าใหม่ของทีมโน้นล่อสูททอม ฟอร์ด เหมือนแกเด๊ะ รองเท้ากุชชี่ แถมนาฬิกา Patek Philip ปากกามอนต์บลางค์ แต่ท่ากระเป๋าจะหนักกว่าแกเยอะ”
“กระเป๋าหนักไม่ว่า ทำงานให้หนักก็แล้วกัน” คนถูกแหย่ไม่ใส่ใจมากกว่าการเงยหน้ายิ้มกว้าง แล้วก้มดูเอกสารที่ถืออยู่ในมือ “ทีมโน้นยอดตกมาเยอะ ฉันไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วว่ะ”
“ก็แต่ก่อนเขาขาดหัวนี่หว่า” คนพูดและคนฟังย่อมรู้ว่าหัวที่ขาดคือหัวหน้าผู้นำทีม
“ตอนนี้มีแล้ว ถ้าไม่เพิ่มยอด ไม่ใช่แค่เขา แต่เราทุกคนในฝ่ายก็จะหัวขาด” คำบอกนั่นราวสนทนาปรกติด้วยเรื่องไม่จริงจัง
“แกก็น่าจะควบรวม คุมมันทั้งสองทีม”
“แล้วเขี่ยอีเจ๊ทิ้งเหรอ” ภูเก็ตหันไปยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่เอาว่ะ…ไม่มีความคิดที่จะเลื่อยขาเก้าอี้ของอีเจ๊ หรือเธออยากทำ”
และแม้เขาไม่เคยคิด ‘เลื่อยขาเก้าอี้ของใคร’ แต่ความรู้สึกที่ได้รับจากผู้ร่วมงานคนใหม่กำลังบอกว่า ไม่แน่เขาอาจจะโดนเองในวันข้างหน้า
ในตอนแรกภูเก็ตคิดว่าตัวเองคิดระแวงไป เพียงเพราะผู้มาใหม่…เนี๊ยบในการแต่งตัว และมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับเขา แต่ที่ไม่เหมือนอย่างชัดเจนก็คือความเป็นมิตรที่มีให้เขา หรือหลายๆ คนในฝ่าย
ณัฐไม่สนใจใคร
ไม่ให้ความสนิทสนมกับใคร แม้กระทั่งคนในทีมตัวเอง
และแม้ภูเก็ตจะหยิบยื่นมิตรไมตรีให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้รับการตอบสนอง จนวันที่เลี้ยงต้อนรับผู้มาใหม่ในอีกอาทิตย์ต่อมา เขาต้องถามเพราะความสงสัย
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
“คุณไม่รู้จักผมแน่ๆ” คำตอบคลุมเครือ เสียงมีแววหยันที่เจ้าตัวพยายามกลบ ก่อนที่จะต่อด้วย “แต่ชื่อของคุณ ผมรู้จักก่อนที่จะเริ่มงาน”
“ผู้ดูแลลูกค้ารายใหญ่ รวยรูป รวยคารม” ใครในฝ่ายเสริมด้วยความขบขัน “ใครๆ ก็รู้จัก”
“จนถูกแบงก์คู่แข่งรุมซื้อตัว” สาธิณีเล่าในความจริงที่รู้กัน และรู้ว่าคนโดน ‘ซื้อ’ นั้นปฏิเสธไปแล้ว
เพราะภูเก็ตก็ประกาศกร้าว…ไม่ขอเป็นบ่าวหลายนาย
และถึงแม้เขาจะเป็นเป้าสนทนาที่คนส่วนใหญ่ในโต๊ะให้ความสนใจมากกว่าผู้ร่วมงานคนใหม่ แต่ภูเก็ตก็ยังพยายามดึงการสนทนาเพื่อให้คนมาใหม่มีส่วนร่วม เพียงแต่ไม่สำเร็จ เพราะณัฐก็ยังคงวางหน้าเฉยเย็นชา ไม่สนใจคำถามของใคร
“สั่งวิสกี้ผสมออนเดอะร๊อคดีกว่ามั๊งครับ เรานั่งข้างนอกในคืนที่อากาศร้อนด้วย” ภูเก็ตอุตส่าห์เตือนเมื่อได้ยินอีกฝ่ายสั่ง Single Malt สก็อต เพรียวๆ
“ผมอยากดื่ม” ณัฐยิ้มเพียงนิดเพื่อไม่ให้คำตอบของเขาห้วนเกินไป “ขวดนี้ผมจ่ายเอง”
“ขอโทษ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ภูเก็ตรีบบอก เกรงอีกฝ่ายเข้าใจผิด แล้วมองคนที่ยกแก้ววิสกี้ชั้นดีขึ้นมาจิบ
สายตาของชายหนุ่มเหลือบเห็นรอยแผลเป็นยาวที่ไล่จากกึ่งกลางหลังมือแล้วหายไปในแขนเสื้อ ทำให้ต้องถาม
“แผลนั่น…”
เขาเห็นแล้วถึงการชะงักของณัฐ สีหน้าบึ้งตึงบ่งบอกชัดว่าไม่พอใจ กรามขบแน่น ดูไม่เป็นมิตรเลย เพียงแต่เสียงเมื่อบอกกลับกลบอาการก่อนหน้าไปเกือบหมด
“ก็แผลธรรมดา” ทีท่ายักไหล่ไม่แยแส “ตอนอยู่นิวยอร์คผมเคยไปช่วยผู้หญิงคนนึงไว้ เลยโดนหางเลขไปด้วย”
คำบอกของณัฐเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาวๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ มีเพียงภูเก็ตที่ประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้
“เคยอยู่นิวยอร์ค? บังเอิญจังเลย ผมก็เคยอยู่นั่นเหมือนกัน”
“คงไม่ทันกันหรอก และผมก็อยู่ไม่นาน”
“แฝดแกจริงๆ ไอ้ภูเก็ตเอ๋ย” สาธิณีที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมากระซิบ “เคยอยู่นิวยอร์ค แถมคอไฮคลาสแบบเดียวกัน ล่อ Single Malt ซะด้วย”
“ไม่เหมือนหรอก” คนตอบย่อมรู้ คนๆ นั้นไม่รู้จักกาละเทสะ ไม่มีความเป็นมิตร ทว่าเมื่อตอบเพื่อน ภูเก็ตกลับบอกว่า “เขาคงมีตังค์จริงๆ ไม่บ่จี๊อย่างฉัน มีนามสกุลใหญ่ แต่มีแค่ตัวเท่านั้นเอง”
แสงวาบจากแฟลชกล้องรัวเร็วไม่หยุดยั้ง บรรดาคนที่ถูกถ่ายโดยเฉพาะพระนางที่เป็นตัวเด่นต่างยิ้มสู้ด้วยความเคยชิน เมื่อถ่ายเซ็ตหนึ่งแล้วก็ต้องมีเซ็ตต่อไปสำหรับการฟิตติ้งของละครเรื่องใหม่ การถ่ายรูปนั้นทั้งถ่ายเดี่ยว ถ่ายคู่ และถ่ายกลุ่ม
การจัดฉากจัดมุม ดูวุ่นวาย แต่ภาพที่ถูกถ่ายออกมา...สวย
“พี่เกดต้องไปถ่ายที่เปียโนด้วยนะคะ” เหมียวเปรี้ยวบอกนางเอกสาว ก่อนจะนำผู้เป็นนายจ้างไปที่เปียโนตัวใหญ่
การวางนิ้วบนคีย์ขาวและดำนั้นดูเป็นธรรมชาติสำหรับดาราสาวที่มีประสบการณ์อยู่หน้ากล้องเกือบสิบปี และเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว นางเอกสาวก็แถมด้วยการบรรเลงเพลงง่ายๆ ที่ได้เรียนมาตลอดสามสี่อาทิตย์
เพลงนั้นแสนง่ายจนนักข่าวไม่รู้สึกตื่นเต้น จะมีแต่บรรดาแฟนคลับของเธอที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดชื่นชม
พลันความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปที่ดาราสาวตัวรองคนหนึ่งที่นั่งลงหน้าเปียโนทันทีที่นางเอกสาวลุกออกไป
เพลงที่เล่นติดขัดเล็กน้อย กระท่อนกระแท่นบ้าง หากก็แสดงถึงความพยายามของผู้เล่น และเพลงนั้นถ้าเล่นได้ถูกคีย์ตรงจังหวะก็คงไพเราะน่าฟัง
และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ทั้งเสียงเพลงและคนบรรเลงก็เรียกความสนใจได้ เพราะแม้แต่ดาราดังอย่างเกษราต้องหันมอง
“ชื่อเพลงอะไร” คำถามของนักข่าวมีให้กับดาราตัวรองทันทีที่เธอเล่นจบ
“Moon River” การลากเสียงปรับสำเนียงเต็มไปด้วยด้วยจริต “เหมาะสำหรับละครเรื่องนี้ค่ะ เพราะนางเอกใช้ชีวิตแบบสาวสังคม แต่ไม่มีเพื่อนร่วมทาง เสียดายที่จอยซ์ไม่ได้เป็นนางเอก”
ความสนใจของนักข่าวและทีมงานนั้นพุ่งไปที่นักแสดงตัวประกอบดาวรุ่ง จนเกษรารู้สึกว่ารอบข้างเหลือแต่แฟนคลับของเธอเท่านั้น
หญิงสาวส่ายศีรษะเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ
จะเอาอะไรมากมายกับวงการมายา แต่อีตาภูเก็ตก็เถอะ…ถ้าไม่เล่นตัว ยอมสอนเพลงนั้นให้ ป่านนี้เธอคงขึ้นไปเล่นเพลงนี้เพื่อโต้กับนักแสดงโนเนมนั่น
“เย็นนี้เถอะ…จะตื้อให้ตายกันไปข้างเลย” เกษรามาดหมายเช่นนั้น
เพียงแต่ว่ากำหนดการโชว์ตัวให้กับสินค้าที่เธอเป็นพรีเซ็นต์เตอร์ทำให้ความคิดที่จะระรานผู้เช่าห้องนั้นหายไป จนกระทั่งอีกสองวันต่อมีที่พีทซี่วิ่งหน้าตาตื่นมาหาถึงสถานที่ถ่ายแบบ
ท่าทางของผู้จัดการส่วนตัวดูตลกแกมน่ารัก จนดาราดังต้องหัวเราะขบขัน ลืมความเหน็ดเหนื่อยของการทำงานตลอดทั้งเช้าไปจนหมดสิ้น
เพียงแต่ว่าคำบอกของพีทซี่พลันทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวต้องพลันหายไป
“นังเอ๋ อรจิราที่แท้เป็นญาติของคุณภู” การบอกรวดเร็วจนเจ้าตัวแทบไม่ได้หายใจ หากก็ไม่ลืมที่จะเรียกชื่อของ คู่กรณีอย่างสนิทสนม “ตอนแรกฉันก็ว่านามสกุลคุณภูฟังดูคุ้นๆ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแหละ พ่อของนังเอ๋ที่ชื่ออนุสรณ์เป็นอาของคุณภู”
“มิน่า” แววเสียงของหญิงสาวมีแววเครียดแค้น “อีตาภูเก็ตถึงกวนประสาทฉันนัก ไม่ยอมย้ายออกจากคอนโด คงจะร่วมมือกันแกล้งฉันให้ฉันสติแตก ไม่ได้แล้วต้องให้อีตานั่นออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ยอมให้อยู่ที่ห้องของฉันเด็ดขาด”
“แต่เขายังมีสัญญาอยู่นะ” พีทซี่เตือน “จะไล่ออกไปอย่างนี้เขาคงฟ้องร้องแน่ๆ อีกอย่างเธอเองก็ไม่ควรจะเป็นข่าวให้มากกว่านี้ ผู้ใหญ่ที่ช่องเขาไม่อยากให้เธอเป็นข่าวฉาวอีก”
“ช่าง! ฉันยอมเสียเงิน เอาเงินฟาดหัวให้มันออกไป แต่อีตาภูเก็ตต้องไม่อยู่ที่ห้องของฉัน”
“คุณภูเป็นหลานของพ่อยัยเอ๋นะ เขาก็ต้องมีเงิน เธอจะใช้เศษเงินไปฟาดหัวเขาคงไม่ได้ผลหรอก ย่าของคุณภูรวยจะตาย วันๆ ก็นั่งกินเงินดอกเบี้ยจากค่าที่ดินที่ให้เช่าเป็น ล้านๆ”
“ฉันไม่อยากเจอคนพวกนั้นนะพีทซี่ ทำไมฉันต้องมาเจอด้วย” เสียงของหญิงสาวสั่นด้วยความโมโหแกมอึดอัดใจ
“ถ้าเธอทนไม่ไหวจิรงๆ ก็กลับมาอยู่กับฉันก่อน เอาไว้ให้คุณภูย้ายออกไป จากนั้นเธอก็ค่อยจัดการเรื่องอะไรต่อมิอะไร”
“กว่าเขาจะไป ฉันก็คงอกแตกตายก่อนพอดี”
“เหอะน่า ทนๆ เอาหน่อย” ผู้เป็นเพื่อนพยายามปลอบ
“พีทซี่” เกษราหลิ่วตามอง “รู้สึกว่าเธอจะเข้าข้างฝ่ายโน้นมากเกินไปนะ”
“โอย…เข้าข้างอะไร ฉันก็แฟร์ๆ บอกไปตามตรง หวังดีกับเธอทั้งนั้นแหละ ชื่อเสียงของเธอเอาไปแลกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมันคุ้มเสียที่ไหน” พีทซี่นิ่งไปครู่ราวคิดไตร่ตรอง “แต่เกด…บางทีคุณภูอาจไม่รู้เรื่องญาติเขาก็ได้นะ เป็นญาติแต่อาจไม่สนิทกัน”
“ไม่มีทางหรอก ข่าวออกคึกโครม ครอบครัวเขาก็ต้องพูดคุยกันบ้าง ทางที่ดีฉันต้องเอาอีตานั่นออกไปให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเขาไม่ย้าย ฉันก็จะทำให้ชีวิตเขาบัดซบที่สุด”
“อย่านะเกด”
“ถ้าเธอยังเป็นเพื่อนฉัน เธอก็เงียบไปเลยนะ” คราวนี้หญิงสาวเสียงแข็งกร้าว “เธอเป็นเพื่อนฉันก็ต้องอยู่ข้างฉัน ทำไมไปสนใจอีตานั่นนัก”
“ก็…เอาเถอะๆ จะทำอะไรก็ตามใจ แต่ใจของเธอควรเมตตากรุณาปราณีเขาบ้าง เขาไม่ผิดนะ แต่ถ้าเธอไปทำอะไรเขา เธอน่ะผิด”
พีทซี่ทั้งย้ำ ทั้งเตือน และทั้งภาวนาว่าเพื่อนสาวจะฟัง
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 8) โดย มานัส
มาด…ของชายหนุ่มรูปร่างสูงล่ำสันในกางเกงสีเทาเข้มเสื้อเชิ๊ตทำงานแขนยาวจากผ้าเนื้อดี และเน็คไทที่ดูเหมาะ ทำให้เขาเป็นที่สนใจยิ่งนักสำหรับผู้หญิงหลายคนที่ได้เห็น
และวันนี้อีกเช่นกันที่มีเสียงกระซิบกระซาบ หัวเราะเคอะเขินของบรรดาหญิงสาวที่อยู่ในลิฟต์ หลังจากคนที่เป็นที่ต้องตาเดินออกไปแล้ว
“คุณภูเก็ตหล่อแบบไม่เกรงใจใครเล้ย…” แล้วยังต่อด้วย “วันนี้มีการแอบไม่โกนหนวดอีก แต่ก็ดูดี๊ดี”
เสียงกรี๊ดกร๊าดซุบซิบยังคงมี จนกระทั่งใครบางคนเตือน “เสียดายที่นังแฟนของคุณภูเก็ตขี้หึง แถมแรงยังกะอะไร”
“ก็คุณภูเก็ตหล่ออย่างนี้ เป็นใครใครก็หึง”
“ไม่หึงซิแปลกคุณภูเก็ตทั้งหน้าตาดี การศึกษาฐานะดี ซ้ำคารมก็ดีด้วย สมแล้วที่เป็นเทพบุตรของสำนักงานใหญ่”
คำบอกนั่นเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนในกลุ่ม โดยไม่มีใครใส่ใจว่าผู้ชายอีกคนที่อยู่ในลิฟต์จะมีทีท่าอย่างไร
รอยยิ้มแสยะเพียงมุมปากของผู้ชายในชุดสูทผูกไทเต็มยศคนนั้น…ไม่มีใครเห็น
ไม่ต่างจากแววตาดุดันที่ปรากฏความไม่พอใจยิ่งยวดของเขา…ที่ไม่มีใครสักคนสนใจ
ไม่แม้กระทั่งจะมีผู้ใดสังเกตว่ามือขวาที่กำแฟ้มดำแน่นมีรอยแผลเป็นกรีดยาวตั้งแต่กลางหลังของมือ เลื้อยหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ
และไม่มีใครเห็นว่า ผู้ชายคนนั้นเดินออกจากลิฟต์ที่ชั้นใดของอาคารสำนักงานใหญ่
การสาวเท้าก้าวเดินของเขาลงหนักเพื่อกลบอาการกระเผลกเล็กน้อย รองเท้าหนังสีดำผูกเชือกเรียบร้อยขัดเป็นเงางาม มือซ้ายผลักบานประตูกระจกเปิดเข้าไปด้านในนั้นพลันผ่อนแรงเมื่อรู้สึกตัว
ผลัก...แรงไป
แต่ถึงกระนั้น คางเหลี่ยมก็ยังตึงเครียดเพราะกรามที่ขบแน่น ทำให้ดวงตาลึกดูแรงกล้าจริงจัง
“มารับตำแหน่ง” เสียงห้าวระบุชัดเจนถึงการมา ให้พนักงานที่อยู่อีกฟากโต๊ะรับรู้
“ที่จะเริ่มงานวันนี้ใช่ไหมคะ ชื่ออะไรคะ”
“ณัฐ” การบอกชื่อนั้นชัดเจน พอๆ กับการบอกนามสกุลของตน
“รอสักครูนะคะ”
การรอเพียงครู่ กลับกลายเป็นชั่วโมงกว่า แต่ณัฐก็ยังใจเย็นพอที่จะรอ
รอคุยกับผู้เป็นหัวหน้าฝ่าย แล้วไหนต้องรอ...ดาวเด่นของฝ่าย ที่เขารู้ว่าเข้ามาถึงที่ทำงานแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขึ้นมาที่ออฟฟิศ
“ณัฐจะมาร่วมงานกับเรา” คำแนะนำผู้ที่เริ่มทำงานวันแรกในอีกสองชั่วโมงต่อมานั้นกระชับห้วนๆ พอๆ กับที่ อีเจ๊ ประกาศ “จะมาเป็นหัวหน้าทีมบี”
หัวหน้าฝ่ายยังบรรยายถึงประสบการณ์ของผู้จะเป็นหัวหน้าทีมบี รวมถึงสาธยายประสบการณ์ทำงานไม่ว่าจะที่ฟอล์ริด้า ปารีส มอนเตรนิโกร และมาเลย์เซีย
การยิ้มรับทักทายจากบรรดาคนในฝ่ายต่างเปี่ยมด้วยมิตรไมตรี โดยไม่มีใครสังเกตเห็นไรฟันที่ขบแน่นของชายหนุ่มผู้เพิ่งเริ่มงานเป็นวันแรก
ทุกคนสนใจผู้มาใหม่ที่ดูดีพร้อมไม่ต่างจากดาวเด่นคนปัจจุบัน
แต่ทุกคนก็รู้ ใคร...ก็เทียบภูเก็ตได้ยาก
ดาวเด่นของฝ่าย
เทพบุตรของสำนักงานใหญ่ มีผลงานเข้าเป้า มีลูกค้า หลง คารมมานักต่อนัก
เพียงแต่ว่าก็มีบางคนที่สังเกต
“ไอ้รูปหล่อ…แกเจอแฝดแล้ว” สาธิณีเย้าเพื่อนสนิทผู้เป็นหัวหน้าทีม “หัวหน้าใหม่ของทีมโน้นล่อสูททอม ฟอร์ด เหมือนแกเด๊ะ รองเท้ากุชชี่ แถมนาฬิกา Patek Philip ปากกามอนต์บลางค์ แต่ท่ากระเป๋าจะหนักกว่าแกเยอะ”
“กระเป๋าหนักไม่ว่า ทำงานให้หนักก็แล้วกัน” คนถูกแหย่ไม่ใส่ใจมากกว่าการเงยหน้ายิ้มกว้าง แล้วก้มดูเอกสารที่ถืออยู่ในมือ “ทีมโน้นยอดตกมาเยอะ ฉันไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วว่ะ”
“ก็แต่ก่อนเขาขาดหัวนี่หว่า” คนพูดและคนฟังย่อมรู้ว่าหัวที่ขาดคือหัวหน้าผู้นำทีม
“ตอนนี้มีแล้ว ถ้าไม่เพิ่มยอด ไม่ใช่แค่เขา แต่เราทุกคนในฝ่ายก็จะหัวขาด” คำบอกนั่นราวสนทนาปรกติด้วยเรื่องไม่จริงจัง
“แกก็น่าจะควบรวม คุมมันทั้งสองทีม”
“แล้วเขี่ยอีเจ๊ทิ้งเหรอ” ภูเก็ตหันไปยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่เอาว่ะ…ไม่มีความคิดที่จะเลื่อยขาเก้าอี้ของอีเจ๊ หรือเธออยากทำ”
และแม้เขาไม่เคยคิด ‘เลื่อยขาเก้าอี้ของใคร’ แต่ความรู้สึกที่ได้รับจากผู้ร่วมงานคนใหม่กำลังบอกว่า ไม่แน่เขาอาจจะโดนเองในวันข้างหน้า
ในตอนแรกภูเก็ตคิดว่าตัวเองคิดระแวงไป เพียงเพราะผู้มาใหม่…เนี๊ยบในการแต่งตัว และมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับเขา แต่ที่ไม่เหมือนอย่างชัดเจนก็คือความเป็นมิตรที่มีให้เขา หรือหลายๆ คนในฝ่าย
ณัฐไม่สนใจใคร
ไม่ให้ความสนิทสนมกับใคร แม้กระทั่งคนในทีมตัวเอง
และแม้ภูเก็ตจะหยิบยื่นมิตรไมตรีให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้รับการตอบสนอง จนวันที่เลี้ยงต้อนรับผู้มาใหม่ในอีกอาทิตย์ต่อมา เขาต้องถามเพราะความสงสัย
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
“คุณไม่รู้จักผมแน่ๆ” คำตอบคลุมเครือ เสียงมีแววหยันที่เจ้าตัวพยายามกลบ ก่อนที่จะต่อด้วย “แต่ชื่อของคุณ ผมรู้จักก่อนที่จะเริ่มงาน”
“ผู้ดูแลลูกค้ารายใหญ่ รวยรูป รวยคารม” ใครในฝ่ายเสริมด้วยความขบขัน “ใครๆ ก็รู้จัก”
“จนถูกแบงก์คู่แข่งรุมซื้อตัว” สาธิณีเล่าในความจริงที่รู้กัน และรู้ว่าคนโดน ‘ซื้อ’ นั้นปฏิเสธไปแล้ว
เพราะภูเก็ตก็ประกาศกร้าว…ไม่ขอเป็นบ่าวหลายนาย
และถึงแม้เขาจะเป็นเป้าสนทนาที่คนส่วนใหญ่ในโต๊ะให้ความสนใจมากกว่าผู้ร่วมงานคนใหม่ แต่ภูเก็ตก็ยังพยายามดึงการสนทนาเพื่อให้คนมาใหม่มีส่วนร่วม เพียงแต่ไม่สำเร็จ เพราะณัฐก็ยังคงวางหน้าเฉยเย็นชา ไม่สนใจคำถามของใคร
“สั่งวิสกี้ผสมออนเดอะร๊อคดีกว่ามั๊งครับ เรานั่งข้างนอกในคืนที่อากาศร้อนด้วย” ภูเก็ตอุตส่าห์เตือนเมื่อได้ยินอีกฝ่ายสั่ง Single Malt สก็อต เพรียวๆ
“ผมอยากดื่ม” ณัฐยิ้มเพียงนิดเพื่อไม่ให้คำตอบของเขาห้วนเกินไป “ขวดนี้ผมจ่ายเอง”
“ขอโทษ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ภูเก็ตรีบบอก เกรงอีกฝ่ายเข้าใจผิด แล้วมองคนที่ยกแก้ววิสกี้ชั้นดีขึ้นมาจิบ
สายตาของชายหนุ่มเหลือบเห็นรอยแผลเป็นยาวที่ไล่จากกึ่งกลางหลังมือแล้วหายไปในแขนเสื้อ ทำให้ต้องถาม
“แผลนั่น…”
เขาเห็นแล้วถึงการชะงักของณัฐ สีหน้าบึ้งตึงบ่งบอกชัดว่าไม่พอใจ กรามขบแน่น ดูไม่เป็นมิตรเลย เพียงแต่เสียงเมื่อบอกกลับกลบอาการก่อนหน้าไปเกือบหมด
“ก็แผลธรรมดา” ทีท่ายักไหล่ไม่แยแส “ตอนอยู่นิวยอร์คผมเคยไปช่วยผู้หญิงคนนึงไว้ เลยโดนหางเลขไปด้วย”
คำบอกของณัฐเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาวๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ มีเพียงภูเก็ตที่ประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้
“เคยอยู่นิวยอร์ค? บังเอิญจังเลย ผมก็เคยอยู่นั่นเหมือนกัน”
“คงไม่ทันกันหรอก และผมก็อยู่ไม่นาน”
“แฝดแกจริงๆ ไอ้ภูเก็ตเอ๋ย” สาธิณีที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมากระซิบ “เคยอยู่นิวยอร์ค แถมคอไฮคลาสแบบเดียวกัน ล่อ Single Malt ซะด้วย”
“ไม่เหมือนหรอก” คนตอบย่อมรู้ คนๆ นั้นไม่รู้จักกาละเทสะ ไม่มีความเป็นมิตร ทว่าเมื่อตอบเพื่อน ภูเก็ตกลับบอกว่า “เขาคงมีตังค์จริงๆ ไม่บ่จี๊อย่างฉัน มีนามสกุลใหญ่ แต่มีแค่ตัวเท่านั้นเอง”
แสงวาบจากแฟลชกล้องรัวเร็วไม่หยุดยั้ง บรรดาคนที่ถูกถ่ายโดยเฉพาะพระนางที่เป็นตัวเด่นต่างยิ้มสู้ด้วยความเคยชิน เมื่อถ่ายเซ็ตหนึ่งแล้วก็ต้องมีเซ็ตต่อไปสำหรับการฟิตติ้งของละครเรื่องใหม่ การถ่ายรูปนั้นทั้งถ่ายเดี่ยว ถ่ายคู่ และถ่ายกลุ่ม
การจัดฉากจัดมุม ดูวุ่นวาย แต่ภาพที่ถูกถ่ายออกมา...สวย
“พี่เกดต้องไปถ่ายที่เปียโนด้วยนะคะ” เหมียวเปรี้ยวบอกนางเอกสาว ก่อนจะนำผู้เป็นนายจ้างไปที่เปียโนตัวใหญ่
การวางนิ้วบนคีย์ขาวและดำนั้นดูเป็นธรรมชาติสำหรับดาราสาวที่มีประสบการณ์อยู่หน้ากล้องเกือบสิบปี และเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว นางเอกสาวก็แถมด้วยการบรรเลงเพลงง่ายๆ ที่ได้เรียนมาตลอดสามสี่อาทิตย์
เพลงนั้นแสนง่ายจนนักข่าวไม่รู้สึกตื่นเต้น จะมีแต่บรรดาแฟนคลับของเธอที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดชื่นชม
พลันความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปที่ดาราสาวตัวรองคนหนึ่งที่นั่งลงหน้าเปียโนทันทีที่นางเอกสาวลุกออกไป
เพลงที่เล่นติดขัดเล็กน้อย กระท่อนกระแท่นบ้าง หากก็แสดงถึงความพยายามของผู้เล่น และเพลงนั้นถ้าเล่นได้ถูกคีย์ตรงจังหวะก็คงไพเราะน่าฟัง
และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ทั้งเสียงเพลงและคนบรรเลงก็เรียกความสนใจได้ เพราะแม้แต่ดาราดังอย่างเกษราต้องหันมอง
“ชื่อเพลงอะไร” คำถามของนักข่าวมีให้กับดาราตัวรองทันทีที่เธอเล่นจบ
“Moon River” การลากเสียงปรับสำเนียงเต็มไปด้วยด้วยจริต “เหมาะสำหรับละครเรื่องนี้ค่ะ เพราะนางเอกใช้ชีวิตแบบสาวสังคม แต่ไม่มีเพื่อนร่วมทาง เสียดายที่จอยซ์ไม่ได้เป็นนางเอก”
ความสนใจของนักข่าวและทีมงานนั้นพุ่งไปที่นักแสดงตัวประกอบดาวรุ่ง จนเกษรารู้สึกว่ารอบข้างเหลือแต่แฟนคลับของเธอเท่านั้น
หญิงสาวส่ายศีรษะเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ
จะเอาอะไรมากมายกับวงการมายา แต่อีตาภูเก็ตก็เถอะ…ถ้าไม่เล่นตัว ยอมสอนเพลงนั้นให้ ป่านนี้เธอคงขึ้นไปเล่นเพลงนี้เพื่อโต้กับนักแสดงโนเนมนั่น
“เย็นนี้เถอะ…จะตื้อให้ตายกันไปข้างเลย” เกษรามาดหมายเช่นนั้น
เพียงแต่ว่ากำหนดการโชว์ตัวให้กับสินค้าที่เธอเป็นพรีเซ็นต์เตอร์ทำให้ความคิดที่จะระรานผู้เช่าห้องนั้นหายไป จนกระทั่งอีกสองวันต่อมีที่พีทซี่วิ่งหน้าตาตื่นมาหาถึงสถานที่ถ่ายแบบ
ท่าทางของผู้จัดการส่วนตัวดูตลกแกมน่ารัก จนดาราดังต้องหัวเราะขบขัน ลืมความเหน็ดเหนื่อยของการทำงานตลอดทั้งเช้าไปจนหมดสิ้น
เพียงแต่ว่าคำบอกของพีทซี่พลันทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวต้องพลันหายไป
“นังเอ๋ อรจิราที่แท้เป็นญาติของคุณภู” การบอกรวดเร็วจนเจ้าตัวแทบไม่ได้หายใจ หากก็ไม่ลืมที่จะเรียกชื่อของ คู่กรณีอย่างสนิทสนม “ตอนแรกฉันก็ว่านามสกุลคุณภูฟังดูคุ้นๆ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแหละ พ่อของนังเอ๋ที่ชื่ออนุสรณ์เป็นอาของคุณภู”
“มิน่า” แววเสียงของหญิงสาวมีแววเครียดแค้น “อีตาภูเก็ตถึงกวนประสาทฉันนัก ไม่ยอมย้ายออกจากคอนโด คงจะร่วมมือกันแกล้งฉันให้ฉันสติแตก ไม่ได้แล้วต้องให้อีตานั่นออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ยอมให้อยู่ที่ห้องของฉันเด็ดขาด”
“แต่เขายังมีสัญญาอยู่นะ” พีทซี่เตือน “จะไล่ออกไปอย่างนี้เขาคงฟ้องร้องแน่ๆ อีกอย่างเธอเองก็ไม่ควรจะเป็นข่าวให้มากกว่านี้ ผู้ใหญ่ที่ช่องเขาไม่อยากให้เธอเป็นข่าวฉาวอีก”
“ช่าง! ฉันยอมเสียเงิน เอาเงินฟาดหัวให้มันออกไป แต่อีตาภูเก็ตต้องไม่อยู่ที่ห้องของฉัน”
“คุณภูเป็นหลานของพ่อยัยเอ๋นะ เขาก็ต้องมีเงิน เธอจะใช้เศษเงินไปฟาดหัวเขาคงไม่ได้ผลหรอก ย่าของคุณภูรวยจะตาย วันๆ ก็นั่งกินเงินดอกเบี้ยจากค่าที่ดินที่ให้เช่าเป็น ล้านๆ”
“ฉันไม่อยากเจอคนพวกนั้นนะพีทซี่ ทำไมฉันต้องมาเจอด้วย” เสียงของหญิงสาวสั่นด้วยความโมโหแกมอึดอัดใจ
“ถ้าเธอทนไม่ไหวจิรงๆ ก็กลับมาอยู่กับฉันก่อน เอาไว้ให้คุณภูย้ายออกไป จากนั้นเธอก็ค่อยจัดการเรื่องอะไรต่อมิอะไร”
“กว่าเขาจะไป ฉันก็คงอกแตกตายก่อนพอดี”
“เหอะน่า ทนๆ เอาหน่อย” ผู้เป็นเพื่อนพยายามปลอบ
“พีทซี่” เกษราหลิ่วตามอง “รู้สึกว่าเธอจะเข้าข้างฝ่ายโน้นมากเกินไปนะ”
“โอย…เข้าข้างอะไร ฉันก็แฟร์ๆ บอกไปตามตรง หวังดีกับเธอทั้งนั้นแหละ ชื่อเสียงของเธอเอาไปแลกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมันคุ้มเสียที่ไหน” พีทซี่นิ่งไปครู่ราวคิดไตร่ตรอง “แต่เกด…บางทีคุณภูอาจไม่รู้เรื่องญาติเขาก็ได้นะ เป็นญาติแต่อาจไม่สนิทกัน”
“ไม่มีทางหรอก ข่าวออกคึกโครม ครอบครัวเขาก็ต้องพูดคุยกันบ้าง ทางที่ดีฉันต้องเอาอีตานั่นออกไปให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเขาไม่ย้าย ฉันก็จะทำให้ชีวิตเขาบัดซบที่สุด”
“อย่านะเกด”
“ถ้าเธอยังเป็นเพื่อนฉัน เธอก็เงียบไปเลยนะ” คราวนี้หญิงสาวเสียงแข็งกร้าว “เธอเป็นเพื่อนฉันก็ต้องอยู่ข้างฉัน ทำไมไปสนใจอีตานั่นนัก”
“ก็…เอาเถอะๆ จะทำอะไรก็ตามใจ แต่ใจของเธอควรเมตตากรุณาปราณีเขาบ้าง เขาไม่ผิดนะ แต่ถ้าเธอไปทำอะไรเขา เธอน่ะผิด”
พีทซี่ทั้งย้ำ ทั้งเตือน และทั้งภาวนาว่าเพื่อนสาวจะฟัง
(ต่อ)